เริ่มลงทุน Cryptocurrency อย่างไร

เริ่มโดย support-1, กุมภาพันธ์ 21, 2022, 03:53:06 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

support-1

Cryptocurrency คืออะไร?

Cryptocurrency (คริปโตเคอร์เรนซี) หรือที่หลายคนมักเรียกย่อๆ ว่า "คริปโต" ได้รับการยอมรับว่าเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหนึ่ง กำลังได้รับความสนใจจากบรรดานักลงทุนในปัจจุบัน และเมื่อพูดถึงคริปโตก็มักเชื่อมโยงกับเงินดิจิทัลอย่าง "Bitcoin" ทั้งหมดนี้มีความเชื่อมโยงกันอย่างไร

Cryptocurrency คือ สินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหนึ่งที่ต้องอาศัยการเข้ารหัส โดยคำว่า "Crypto" หมายถึง การเข้ารหัส ส่วนคำว่า "Currency" หมายถึง สกุลเงิน ทำให้คริปโตเคอร์เรนซีเป็นเงินดิจิทัลที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นสกุลเงินในอนาคต ที่จะเข้ามามีบทบาทในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัลด้วยกัน

ความน่าสนใจอยู่ที่กลไกสำหรับการซื้อขายสินทรัพย์คริปโต จะแปรผันตามราคากลางในตลาด ซึ่งในปัจจุบัน "Cryptocurrency" ยังไม่ถือเป็นเงินตราตามกฎหมาย เนื่องจากไม่มีหน่วยงานสากล หรือรัฐบาลใดเข้ามาควบคุมจัดการ ทำให้บางครั้งคริปโตก็ถูกเรียกว่า "สกุลเงินเสมือน" แบ่งออกเป็นสกุลเงินต่างๆ มากมาย หรือที่เรามักเรียกว่า "เหรียญ" เช่น เหรียญบิตคอยน์ เป็นต้น

ส่วนเงินตราที่ได้รับการยอมรับตามกฎหมาย จะต้องถูกกำหนดโดยรัฐเท่านั้น เช่น ธนบัตร และเหรียญกษาปณ์สกุลเงินต่างๆ ของแต่ละประเทศที่เราใช้กันในปัจจุบัน

คำถามที่นักลงทุนมือใหม่อาจยังสงสัยคือ คริปโตสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินปกติได้หรือไม่? คำตอบคือ แลกเปลี่ยนได้ โดยจะต้องซื้อขายแลกเปลี่ยนผ่านหน่วยงานที่ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

หลักการทำงานของ "Cryptocurrency" เป็นอย่างไร?
การทำงานของเงินดิจิทัล Cryptocurrency สกุลต่างๆ จะถูกบันทึกในระบบที่เรียกว่า "Blockchain" (บล็อกเชน) ซึ่งจะช่วยบันทึกข้อมูลว่าใครเป็นเจ้าของเหรียญสกุลเงินใดบ้าง โดยระบบ Blockchain สามารถส่งสัญญาณแจ้งข้อมูลดังกล่าวให้ทุกคนในเครือข่ายรับรู้ได้  ระบบ Blockchain ช่วยให้การชำระเงินออนไลน์ รวมถึงการทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ระหว่างบุคคล เป็นไปอย่างน่าเชื่อถือ ปลอดภัย และรับรองความถูกต้องได้ ไม่จำเป็นต้องมีคนกลางมีดำเนินการก็ได้

สกุลเงิน Cryptocurrency มีอะไรบ้าง?
สกุลเงินคริปโตที่รู้จักกันดีที่สุดคือ "Bitcoin" (บิตคอยน์) เป็นสกุลเงินดิจิทัลแรกของโลก จึงถือว่าเก่าแก่ที่สุด ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา Bitcoin เข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงลักษณะการดำเนินธุรกรรมต่างๆ ระหว่างบุคคล สามารถตรวจสอบได้ จึงทำให้นักลงทุนรุ่นใหม่หันมาสนใจลงทุนกับบิตคอยน์มากขึ้น

นอกจาก Bitcoin แล้ว จริงๆ แล้วยังมีคริปโตอีกหลายสกุลเงินที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน โดยเฉพาะสกุลเงินที่ได้รับการรับรองจาก ก.ล.ต. ของประเทศไทย เช่น Ethereum, Litecoin, Bitcoin Cash, Ripple, Binance Coin, Cardano, Ripple (XRP) และ Dogecoin เป็นต้น

ไม่เพียงเท่านั้น เริ่มมีผู้ประกอบการธุรกิจในไทยที่เปิดรับชำระค่าสินค้าและบริการเป็นสกุลเงินดิจิทัล ทำให้คนไทยสามารถนำ Bitcoin มาซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Cryptocurrency จะได้รับการยอมรับในฐานะสินทรัพย์ดิจิทัล และสกุลเงินสำหรับซื้อขาย-แลกเปลี่ยนในอนาคต แต่ทุกการลงทุนก็มีความเสี่ยง ดังนั้นผู้ที่สนใจอยากจะเข้าสู่วงการคริปโต ก็ควรศึกษาข้อมูลที่จำเป็นก่อนการลงทุนเสมอ



forexduck

BitPay ทำบัตรเดบิตวีซ่าคริปโตแล้ว ต่อไปน่าจะใช้งานได้สะดวกกันมากขึ้น

narjant

5 อินดิเคเตอร์ 'แบบง่ายๆ' ที่คนเทรดคริปโท 'ต้องรู้'� เพื่อที่จะได้อ่านเกมออก!!
════════════════
รู้หรือไม่ว่ายังมีอินดิเคเตอร์แบบง่ายๆ แต่...ใครหลายคนอาจมองข้าม วันนี้มัดรวมมาให้แล้ว 5 ดัชนีชี้วัดเกี่ยวกับตลาดคริปโท ที่พอจะช่วยคาดการณ์อนาคตได้ เพื่อนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจวางกลยุทธ์การลงทุนตามสไตล์คุณ 
.
1️⃣. สัญญาณ Whale Alert! 
.
ถ้าเทรดหุ้นเราจะดูสัญญาณ "บิ๊กล็อต" แต่ถ้าเทรดเหรียญเราจะดูสัญญาณ "Whale Alert" ซึ่งขาใหญ่ในตลาดคริปโทเราจะเรียกว่า "วาฬ"  นั่นเอง การเคลื่อนไหวของวาฬเข้าๆ ออกๆ จากเอ็กซ์เช้นจ์ อย่างน้อยเป็นสัญญาณเตือนที่เราอาจจะคาดการณ์ได้ว่าจะส่งผลบวกหรือลบต่อราคาเหรียญ เพราะมันเป็นการแจ้งเตือน 'ธุรกรรมที่มีมูลค่าสูง' ซึ่งมักจะมีนัยสำคัญต่อราคา
.
เราสามารถติดตามความเคลื่อนไหวผ่านทวิตเตอร์ @whale_alert ซึ่งแต่ละการแจ้งเตือนจะมีจำนวน emoji ที่แสดงถึงความน่าสนใจของการแจ้งเตือนนั้นๆ ยิ่งมี emoji มากยิ่งน่าสนใจ โดย 1 emoji จะแทนมูลค่ารวม 10 ล้านดอลลาร์
.
การแจ้งเตือนธุรกรรมมีทั้งแบบ Wallet-Exchange, มีแบบ Exchange-Wallet, Wallet-Wallet และ Exchage-Exchange อีกด้วย ซึ่งก็จะอยู่ที่การวิเคราะห์ของแต่ละคนว่าวาฬจะโอนกันไปโอนกันมาเพื่ออะไร
.
เช่น หากพบการโอนจาก Wallet-Exchange ก็ต้องตั้งคำถามว่าโอนไปเพื่อเตรียมขายหรือไม่? (แต่เราไม่มีทางรู้ใจเจ้า เค้าอาจจะขายหรือโอนไปไว้เฉยๆ ก็ได้) หรือโอนจาก Exchange-Wallet ก็ต้องตั้งคำถามแล้วว่า โอนออกไปเก็บไว้เหรอแบบนี้จะทำให้เหรียญที่หมุนเวียนยิ่งมีน้อยลงไหม และโอกาสที่เหรียญนั้นๆ จะถูกเทขายก็จะน้อยลงแล้วหรือไม่ เพราะโอนออกไปเก็บไว้ข้างนอกแล้ว เป็นต้น 
.
[เรื่องที่เกี่ยวข้อง : คู่มืออ่านเกม 'บิ๊กล็อต' ผ่าน 'Whale Alert' ที่คนเทรด Crypto ดูกัน]
https://www.efinancethai.com/LastestNews/LatestNewsMain.aspx?ref=C&id=RzJDR05FNlhZQUE9
.
2️⃣ Fear & Greed Index
.
Fear & Greed Index เป็นดัชนีที่จะช่วยบอกเราว่า ณ ขณะนั้น อารมณ์ของตลาดเป็นอย่างไร โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งใหญ่ๆ  Fear (หวาดกลัว) หรือ Greed (โลภ) โดยมีค่ากลางคือ Neutral
.
ดัชนีนี้จะมีตัวเลขประกอบ  0-100 ซึ่ง 0 คือสุดเข็มไมล์ฝั่ง Fear และ 100 คือสุดเข็มฝั่ง Greed เพื่อบอกระดับของความกลัวว่าแค่  Fear(หวาดกลัว) หรือ Extreme Fear (หวาดกลัวอย่างมาก) เช่นเดัยวกับฝั่ง Greed เพื่อบอกระดับความโลภว่าแค่ Greed (โลภ) หรือเข้าขั้น Extreme Greed (โลภอย่างมาก)
.
เมื่อเราเห็น Fear & Greed Index ก็สามารถนำไปประกอบการตัดสินใจในการลงทุน อย่างเช่น กรณีเกิดสถานะ Extreme Fear หรือหวาดกลัวอย่างมาก ก็อาจจะมีสายย่อเลือกจังหวะนี้ในการเข้าซื้อสะสม หรือในช่วงที่เข้าขั้น Extreme Greed หลายคนเพิ่งกระโดดเข้ามาลงทุน ขณะที่บางคนเลือกที่จะขายออกในช่วงนี้ เป็นต้น
.
[เรื่องที่เกี่ยวข้อง : วัดอารมณ์ตลาด หวาดกลัว –โลภ ด้วย Fear & Greed Index]
https://www.efinancethai.com/LastestNews/LatestNewsMain.aspx?ref=A&id=VnVyU1d5c0dKaWc9
https://twitter.com/BitcoinFear
.
3️⃣  พฤติกรรมสถาบัน
.
ถ้าเราอ่านข่าวอย่างผิวเผิน มันอาจจะดูธรรมดาไม่ได้น่าสนใจอะไร แต่หากลองนำมาวิเคราะห์ต่อ อาจนำไปสู่คำถามที่ว่า คริปโทเคอร์เรนซีมีดีอะไร? ทำไมเหล่านักลงทุนสถาบันหรือองค์กรต่างๆ จึงได้เข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาลงทุนในเหรียญ การเข้ามาลงทุนขุด การเข้ามาลงทุนในสตาร์ทอัพบล็อกเชน-คริปโท สิ่งเหล่านี้สะท้อนอะไร ทำไมขาใหญ่เอาเงินมาใส่ในวงการนี้
.
ซึ่งอาจจะเป็นเพียงแค่การเข้ามาทำกำไรระยะสั้น หรือการลงทุนในระยะยาวก็ตามที แต่อย่างน้อยสะท้อนภาพว่ารายใหญ่ลงมาตลาดนี้แล้วนะ และในอนาคตตลาดนี้จะยังเป็นของรายย่อยอย่างเราๆ อยู่มั๊ย หรือว่าในที่สุดแล้วก็จะเป็นรายใหญ่อีกเช่นเคยที่ครองตลาด
.
อย่าลืมว่าเมื่อใดก็ตามที่รายใหญ่ "เริ่มตื่น" โอกาสของรายย่อยจะริบหรี่ลง เพราะขึ้นชื่อว่ารายใหญ่ สถาบันใหญ่ องค์กรใหญ่ พวกนี้เงินทุนหนาขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาที่จะเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้เล่นแค่นั้นเอง เข้ามาแบบหวังแข่งขันก็อีกแบบ เข้ามาร่วมก็อีกแบบ เหล่านี้คือสิ่งที่เราจะได้เห็นมากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทในตลาดหุ้นทุกกลุ่ม สถาบันการเงินต่างๆ ซึ่งรวมถึงธนาคารพาณิชย์ และอุตสาหกรรมต่างๆ บนโลกใบนี้ ที่ถนนทุกสายวิ่งสู่โลกของคริปโทเคอร์เรนซี
.
หากนึกภาพไม่ออกอาจจะนึกถึงเทสลา ของอีลอนมัสก์นี่ก็รายใหญ่เช่นกัน บริษัทเทสลาเริ่มเข้าซื้อบิตคอยน์ตั้งแต่ไตรมาสแรกปี64 ซึ่งเป็นการดำเนินตามรายใหญ่ตัวจริงเสียงจริงผู้มาก่อนกาลอย่างบริษัท MicroStrategy ของนายไมเคิล เซย์เลอร์ ที่แปลงเงินสดแทบจะทุกดอลลาร์เป็นบิตคอยน์ เพราะมองว่าระบบการเงินจากนี้ไปกำลังจะเปลี่ยนแปลงสู่ Bitcoin Standard!!!   
.
ดังนั้น พฤติกรรมของสถาบัน จึงเป็นอีกหนึ่งอินดิเคเตอร์ที่สะท้อนกระแสนิยมของคริปโทเคอร์เรนซีได้เป็นอย่างดี โดยเราสามารถติดตามข่าวสารคริปโทเคอร์เรนซีได้จากสื่อต่างๆ รวมทั้งจาก Crypto by efinanceThai 
.
4️⃣  โซเชียลมีเดีย
.
อันนี้สังเกตได้ง่ายมาก และทุกคนก็น่าจะเห็นเหมือนกัน เพราะคนไทยส่วนใหญ่ก็เล่นเฟซบุ๊กกันอยู่แล้ว หากช่วงไหนก็ตามที่คุณเห็นว่าเลื่อนๆ ฟีดไปก็เจอแค่ภาพแคปกราฟราคา และมันเหมือนจะมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ทั้งจากคนรอบตัวที่ไม่เคยสนใจเรื่องนี้เลย วันดีคืนดีเจอแคปกราฟเต็มฟีด แบบนี้แหละสันนิษฐานไว้ได้เลยว่าสัญญาณช่วงปลายของตลาดกระทิงใกล้เข้ามาแล้ว งานปาร์ตี้กำลังจะปิดฉากลงในไม่ช้า
.
ซึ่งรอบที่ผ่านมาหรือ ATH ครั้งล่าสุด 69,000 ดอลลาร์ เป็นงานปาร์ตี้ที่ยาวนานเกือบ 1 ปีกว่าจะขึ้นมาถึงระดับนี้ได้ ตลาดคึกคักมากตลอดเส้นทางของกระทิง อารมณ์คนเทรดก็คึกคักเต็มฟีด จากนั้นไม่นานตลาดก็พลิกกลับเข้าสู่ขาลงอีกครั้ง และลงอย่างต่อเนื่องนับแต่เดือน พ.ย.ปี64 ตราบจนถึงช่วงที่กำลังเขียนบทความอยู่นี้ (เดือน เม.ย.65) ก็นับว่า 6 เดือนแล้ว       
.
5️⃣  คนใกล้ตัวถามเรื่องบิตคอยน์
.
อีกหนึ่งสัญญาณที่คนมักพูดถึงกันและก็เป็นที่น่าสังเกตว่าดูมันจะสมเหตุสมผลดีเหมือนกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่พี่แทกซี่  คุณป้าแม่บ้าน หรือแม้กระทั่งเพื่อนบ้านมาถามคุณเรื่องบิตคอยน์ ให้ระวังไว้เลยว่าตลาดอาจเข้าขั้นบูมสุดๆ เพราะมันได้มาอยู่ในจุดที่กระจายไปทุกกลุ่มผู้ลงทุนแล้ว จากเดิมที่กระจุกตัวอยู่กับกลุ่มคนที่สนใจศึกษากับมันจริงๆ
.
มันก็จะเหมือนข้อ 4 คือ สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าใกล้ถึงเวลาตลาดแตกและกลับสู่รอบขาลงอีกครั้งแล้ว เพราะว่าช่วงที่ตลาดบูมสุดๆ มันเหมือน "ใช้ดีบอกต่อ" อารมณ์แบบการตลาดในธุรกิจขายตรง คือเมื่อเทรดแล้วมันได้กำไรก็ใจชื้น ได้กำไรแล้วก็อวดต่อบนโลกโซเชียล (เอาซะหน่อย) มันจะสะพัดไวมาก ไม่ใช่แค่เรา แต่ใครๆ ก็ได้กำไร และยิ่งเป็นอะไรที่ลงง่ายได้เร็ว 24/7 ช่วงขาขึ้นจิ้มเข้าเหรียญไหนก็กำไรไปหมดจนอาจจะเผลอเข้าข้างตัวเองไปว่า "เรานี่เทรดเก่งงง" เผลอๆ มารู้ตัวอีกทีตลาดก็เอากำไรคืนไปหมดแล้ว 
.
ช่วงนี้กลุ่มคนที่เคยเลียบๆ เคียงๆ มาถามเราว่า ซื้อยังไง ลงทุนยังไง อาจจะเงียบหายไปบ้าง (ไม่ต้องแปลกใจ) เชื่อเถอะว่าเราจะเห็นเขาเหล่านั้นกลับมาอีกครั้งในวันที่ตลาดเบ่งบาน จะด้วยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม สภาพแวดล้อมจะพาไปบรรยากาศแบบนั้นจะกลับมาอีกครั้ง และแน่นอนว่านั่นคือจังหวะที่ตลาดเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น เป็นจังหวะที่เล่นง่าย ใครๆ ก็อยากเข้ามาหากำไรในจังหวะแบบนี้ ขนาดสาย Hodl ยังต้องหาเหล็กมาทับมือ "กลัวลั่นกดขาย!!"   
.
👉มีคำกล่าวอมตะของ Warren Buffett  มหาเศรษฐีหุ้นระดับโลกที่ว่า "จงกล้าในยามที่คนอื่นกลัว และกลัวในยามที่คนอื่นกล้า"  เราอาจลองนำมาปรับใช้กับการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีได้ และฝากไว้ว่าไม่ว่าจะกลยุทธ์ดีแค่ไหน สิ่งสำคัญที่ต้องเอาให้อยู่คือ "อารมณ์ของตัวเอง"!
===================
จาก ไลน์ : BIDEN CRYPTO KING   :D  :D  :D