Mining vs Staking: วิธีการยืนยันธุรกรรมที่แตกต่างกัน

เริ่มโดย Support-3, กุมภาพันธ์ 01, 2025, 10:48:23 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

Support-3

เมื่อพูดถึงคริปโตเคอเรนซี เราอาจได้ยินคำว่า Mining และ Staking อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งทั้งสองคำนี้เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ระบบคริปโตสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยและน่าเชื่อถือ มาทำความเข้าใจแต่ละระบบกันอย่างง่ายๆ ดีกว่าค่ะ


Mining คืออะไร?
•    Mining คือ การขุดคริปโต เปรียบเสมือนการแข่งขันแก้ปริศนาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน โดยใช้คอมพิวเตอร์พิเศษที่มีประสิทธิภาพสูง ใครแก้ปริศนาได้เร็วที่สุดจะได้รับรางวัลเป็นเหรียญคริปโต
•    เราสามารถเปรียบ Mining เหมือนการแข่งวิ่งมาราธอน ที่นักวิ่ง (นักขุด) ต้องใช้พลังงานและความพยายามในการวิ่งแข่งกัน คนที่วิ่งถึงเส้นชัยก่อนจะได้รับรางวัล การขุดคริปโตก็เช่นกัน ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ที่แรงมากในการแข่งขัน
•    Mining หรือการขุดเหรียญคริปโต เป็นกระบวนการที่เปรียบเสมือนการทำงานเป็น "ผู้ตรวจสอบธุรกรรม" บนเครือข่ายบล็อกเชน โดยใช้พลังการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ในการแข่งขันแก้โจทย์ทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น เราสามารถเปรียบ Mining เหมือนการแข่งขันวิ่งมาราธอน ที่มีองค์ประกอบดังนี้:
•    นักวิ่ง คือ นักขุด (Miners) ที่ต้องใช้ทั้งพลังงานและความพยายามในการแข่งขัน
•    การวิ่งแข่ง คือ การแก้โจทย์ทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน ใครแก้ได้เร็วที่สุดจะเป็นผู้ชนะ
•    เส้นชัย คือ การได้เป็นผู้ยืนยันธุรกรรมในบล็อกนั้นๆ
•    รางวัล คือ เหรียญคริปโตที่ได้รับจากการขุดสำเร็จ และค่าธรรมเนียมจากธุรกรรมที่ตรวจสอบ
สิ่งที่จำเป็นสำหรับการทำ Mining มีดังนี้
1.    อุปกรณ์พิเศษ: เช่น ASIC miners สำหรับขุด Bitcoin หรือการ์ดจอประสิทธิภาพสูง (GPU) สำหรับเหรียญอื่นๆ เปรียบเสมือนรองเท้าวิ่งคุณภาพดีที่นักวิ่งต้องมี
2.    พลังงานไฟฟ้า: ต้องใช้ไฟฟ้าจำนวนมากเพื่อให้เครื่องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง เหมือนพลังงานที่นักวิ่งต้องใช้ตลอดการแข่งขัน
3.    ระบบระบายความร้อน: เพื่อไม่ให้อุปกรณ์ร้อนเกินไปจนเสียหาย เหมือนการที่นักวิ่งต้องมีระบบดูแลร่างกายที่ดี
ข้อควรรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Mining
•    ยิ่งมีกำลังการประมวลผลมาก โอกาสชนะการแข่งขันก็ยิ่งสูง เหมือนนักวิ่งที่ซ้อมมาดีย่อมมีโอกาสชนะมากกว่า
•    การแข่งขันจะยากขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนผู้เข้าร่วม เหมือนการแข่งวิ่งที่มีคู่แข่งเก่งๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
•    ต้นทุนในการทำ Mining ค่อนข้างสูง ทั้งค่าอุปกรณ์และค่าไฟฟ้า แต่หากทำสำเร็จก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดี
Mining จึงเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายบล็อกเชน โดยใช้ทรัพยากรจริง (พลังการประมวลผลและพลังงานไฟฟ้า) เป็นหลักประกันว่าผู้เข้าร่วมจะทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์


Staking คืออะไร?
Staking คือ Staking เป็นวิธีการมีส่วนร่วมในการตรวจสอบธุรกรรมบนเครือข่ายบล็อกเชนที่ใช้ระบบ Proof of Stake (PoS) โดยการนำเหรียญคริปโตมาวางเป็นหลักประกัน เพื่อได้รับสิทธิ์ในการตรวจสอบและรับผลตอบแทน
•    เป็นวิธีที่แตกต่างจาก Mining โดยสิ้นเชิง แทนที่จะใช้พลังคอมพิวเตอร์แข่งขันกัน Staking ใช้วิธีการนำเหรียญคริปโตมาฝากไว้กับระบบ เหมือนการฝากเงินในธนาคารเพื่อรับดอกเบี้ย
•    เราสามารถเปรียบ Staking เหมือนการวางเงินมัดจำเพื่อเช่าบ้าน ถ้าเราดูแลบ้านดี เราก็จะได้เงินมัดจำคืนพร้อมค่าเช่า แต่ถ้าเราทำผิดกฎ เราก็อาจถูกริบเงินมัดจำ Staking ก็เช่นกัน ถ้าเราทำหน้าที่ดีในการตรวจสอบธุรกรรม เราก็จะได้ผลตอบแทน แต่ถ้าเราพยายามโกงระบบ เราก็จะถูกริบเหรียญที่วางไว้
เข้าใจ Staking ผ่านตัวอย่างง่ายๆ สามารถเปรียบ Staking เหมือนการฝากเงินในธนาคาร
•    เงินฝาก = เหรียญคริปโตที่นำมาวางประกัน
•    ดอกเบี้ย = รางวัลจากการทำ Staking
•    ระยะเวลาฝาก = ระยะเวลาล็อคเหรียญ
•    การทำผิดกฎ = ถูกริบเงินประกัน

วิธีการทำ Staking 3 รูปแบบ
1. Direct Staking มีรายละเอียดดังนี้
•    ทำเองโดยตรงกับเครือข่าย: การทำ Direct Staking หมายถึงการที่คุณเชื่อมต่อกับเครือข่ายบล็อกเชนโดยตรง โดยไม่ผ่านคนกลาง คุณต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ validator node ในคอมพิวเตอร์ของคุณเอง และต้องทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อตรวจสอบธุรกรรม
•    ต้องมีความรู้ทางเทคนิคสูง: คุณจำเป็นต้องเข้าใจการทำงานของบล็อกเชนอย่างลึกซึ้ง รู้วิธีการติดตั้งและดูแล node สามารถแก้ไขปัญหาทางเทคนิคได้เอง และต้องเข้าใจเรื่องความปลอดภัยของระบบเป็นอย่างดี เพราะหากทำผิดพลาดอาจสูญเสียเหรียญที่วางประกันได้
•    ต้องมีเหรียญจำนวนมากพอ: แต่ละเครือข่ายจะกำหนดจำนวนเหรียญขั้นต่ำที่ต้องวางประกัน เช่น Ethereum ต้องใช้ 32 ETH เป็นอย่างน้อย ซึ่งมีมูลค่าสูงมาก บางเครือข่ายอาจกำหนดจำนวนน้อยกว่า แต่ก็ยังต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างมาก
•    ได้ผลตอบแทนเต็มจำนวน: เนื่องจากไม่ต้องแบ่งผลตอบแทนให้คนกลาง คุณจะได้รับรางวัลทั้งหมดจากการตรวจสอบธุรกรรมและการสร้างบล็อกใหม่ ซึ่งประกอบด้วยเหรียญใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นและค่าธรรมเนียมธุรกรรมทั้งหมด
2. Delegated Staking มีรายละเอียดดังนี้
•    ฝากให้คนอื่นทำแทน: คุณไม่ต้องดำเนินการเองทั้งหมด แต่ฝากเหรียญไว้กับผู้ให้บริการ Staking ที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น ศูนย์ซื้อขายคริปโต หรือ staking pool ที่มีชื่อเสียง พวกเขาจะจัดการเรื่องเทคนิคทั้งหมดให้
•    ง่าย ไม่ต้องมีความรู้ทางเทคนิค: คุณเพียงแค่ต้องรู้วิธีการโอนเหรียญและเลือกผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องการตั้งค่า node หรือการดูแลระบบ เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการทำ staking แต่ไม่มีความรู้ทางเทคนิคมากนัก
•    ใช้เหรียญจำนวนน้อยก็ได้: ผู้ให้บริการจะรวบรวมเหรียญจากผู้ใช้หลายคนเข้าด้วยกัน ทำให้คุณสามารถร่วม staking ได้แม้มีเหรียญไม่มาก บางที่อาจเริ่มต้นได้ด้วยเงินเพียงไม่กี่ร้อยบาท
•    มีค่าธรรมเนียมบางส่วน: ผู้ให้บริการจะหักค่าธรรมเนียมจากผลตอบแทนที่คุณได้รับ โดยทั่วไปอยู่ที่ 5-20% ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแต่ละราย ค่าธรรมเนียมนี้เป็นค่าตอบแทนสำหรับการจัดการระบบและการรับประกันความปลอดภัย
3. Liquid Staking มีรายละเอียดดังนี้
•    รูปแบบใหม่ที่ได้โทเค็นพิเศษแทน: เมื่อคุณนำเหรียญไป stake คุณจะได้รับโทเค็นพิเศษที่แทนมูลค่าของเหรียญที่คุณล็อคไว้ เช่น เมื่อ stake ETH คุณจะได้รับ stETH ที่มีมูลค่าเท่ากับ ETH ที่คุณวางไว้
•    สามารถนำโทเค็นไปใช้ต่อได้: โทเค็นที่ได้รับสามารถนำไปทำธุรกรรมอื่นๆ ได้ เช่น นำไปให้กู้ยืมในแพลตฟอร์ม DeFi เพื่อรับผลตอบแทนเพิ่ม หรือใช้เป็นหลักประกันในการกู้ยืม ทำให้เงินของคุณทำงานได้หลายทาง
•    มีความยืดหยุ่นสูง: ไม่ต้องรอจนครบกำหนดระยะเวลาล็อค คุณสามารถซื้อขายโทเค็นได้ตลอดเวลาในตลาดรอง ถ้าต้องการเงินด่วน ก็ขายโทเค็นได้ทันที
•    เหมาะกับผู้ที่ต้องการสภาพคล่อง: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความคล่องตัวในการใช้เงิน ไม่อยากผูกมัดเงินไว้นานเกินไป และต้องการโอกาสในการทำกำไรเพิ่มเติมจากการใช้โทเค็น
ข้อดีของการทำ Staking
1.    ประหยัดพลังงาน
•    ใช้พลังงานน้อยกว่า Mining มาก
•    เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
2.    ต้นทุนต่ำ
•    ไม่ต้องซื้ออุปกรณ์ราคาแพง
•    ใช้เพียงคอมพิวเตอร์ทั่วไป
3.    รายได้สม่ำเสมอ
•    ผลตอบแทนคาดการณ์ได้
•    ไม่ผันผวนเหมือน Mining
สิ่งที่ต้องระวังในการทำ Staking
1.    การล็อคเหรียญ
•    ไม่สามารถนำเหรียญมาใช้ได้ระหว่างทำ Staking
•    ต้องวางแผนสภาพคล่องให้ดี
2.    ความเสี่ยงจากราคา
•    ถ้าราคาเหรียญลดลงระหว่างล็อค อาจขาดทุนได้
•    ควรศึกษาโครงการให้ดีก่อนลงทุน
3.    ความเสี่ยงทางเทคนิค
•    ระบบอาจมีปัญหาหรือถูกแฮ็ก
•    ควรเลือกแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ


ความแตกต่างระหว่าง Mining และ Staking แบบเข้าใจง่าย


1. กลไกการทำงานพื้นฐาน
Mining: ใช้พลังการประมวลผลของคอมพิวเตอร์แข่งกันแก้โจทย์ทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน เพื่อสร้างบล็อกใหม่
Staking: ใช้การนำเหรียญคริปโตมาวางเป็นหลักประกัน เพื่อขอสิทธิ์ในการตรวจสอบและยืนยันธุรกรรม

2. การใช้พลังงาน
Mining: ใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมากในการประมวลผล อาจสูงถึงหลายพันกิโลวัตต์ต่อวัน
Staking: ใช้พลังงานน้อยมาก เพียงพอให้คอมพิวเตอร์ทำงานปกติ ประมาณไม่กี่วัตต์ต่อวัน

3. อุปกรณ์ที่ต้องใช้
Mining: ต้องใช้ฮาร์ดแวร์เฉพาะทางราคาแพง เช่น ASIC miners หรือการ์ดจอประสิทธิภาพสูง
Staking: ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไปได้ หรือบางกรณีแค่มีสมาร์ทโฟนก็เพียงพอ

4. เงินลงทุนเริ่มต้น
Mining: ต้องลงทุนสูงในอุปกรณ์ อาจหลักแสนถึงหลักล้านบาท
Staking: ใช้เพียงเงินสำหรับซื้อเหรียญมาวางประกัน อาจเริ่มต้นที่หลักพันบาท

5. ความรู้ที่ต้องมี
Mining: ต้องเข้าใจทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ การตั้งค่าระบบ การระบายความร้อน
Staking: ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางเทคนิคมาก โดยเฉพาะถ้าใช้บริการ Delegated Staking

6. ระยะเวลาได้รับผลตอบแทน
Mining: ได้รับทันทีเมื่อขุดบล็อกสำเร็จ แต่ไม่แน่นอนว่าจะสำเร็จเมื่อไหร่
Staking: ได้รับตามกำหนดเวลาที่แน่นอน เช่น รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน

7. ความสม่ำเสมอของรายได้
Mining: รายได้ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับการแข่งขันและความยากในการขุด
Staking: รายได้สม่ำเสมอ สามารถคำนวณผลตอบแทนได้ล่วงหน้า

8. ความเสี่ยงจากอุปกรณ์
Mining: มีความเสี่ยงจากอุปกรณ์เสียหาย เสื่อมสภาพ หรือล้าสมัย
Staking: แทบไม่มีความเสี่ยงด้านอุปกรณ์ เพราะใช้อุปกรณ์น้อย

9. สภาพคล่อง
Mining: สามารถขายเหรียญที่ขุดได้ได้ทันที
Staking: ต้องล็อคเหรียญไว้ตามระยะเวลาที่กำหนด ไม่สามารถถอนได้ทันที

10. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
Mining: สร้างผลกระทบสูงจากการใช้พลังงานมาก
Staking: เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพราะใช้พลังงานน้อย

11. การแข่งขัน
Mining: มีการแข่งขันสูง ต้องแข่งกับนักขุดทั่วโลก
Staking: แข่งขันน้อยกว่า เพราะผลตอบแทนขึ้นอยู่กับจำนวนเหรียญที่วาง

12. ค่าดูแลรักษา
Mining: มีค่าใช้จ่ายสูงทั้งค่าไฟและค่าซ่อมบำรุงอุปกรณ์
Staking: แทบไม่มีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา

13. ความยืดหยุ่น
Mining: สามารถเปลี่ยนไปขุดเหรียญอื่นได้ตามความเหมาะสม
Staking: ต้องผูกติดกับเหรียญที่เลือก Stake ไว้ตามระยะเวลา

14. การเริ่มต้นและหยุด
Mining: สามารถเริ่มและหยุดได้ตลอดเวลา
Staking: ต้องทำตามระยะเวลาที่กำหนด ไม่สามารถหยุดกลางคันได้

15. ผลกระทบจากราคาไฟฟ้า
Mining: ได้รับผลกระทบมากจากราคาไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลง
Staking: แทบไม่ได้รับผลกระทบจากราคาไฟฟ้า

16. การขยายกิจการ
Mining: ต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์เพิ่ม ใช้เงินลงทุนสูง
Staking: ขยายได้ง่ายเพียงแค่ซื้อเหรียญเพิ่ม

17. ความเสี่ยงจากกฎหมาย
Mining: อาจถูกควบคุมเรื่องการใช้พลังงานหรือเสียงรบกวน
Staking: มีความเสี่ยงน้อยกว่าเพราะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

18. การทำงานร่วมกับผู้อื่น
Mining: สามารถรวมกลุ่มทำ Mining Pool ได้
Staking: สามารถทำ Delegated Staking หรือ Liquid Staking ได้

19. ผลตอบแทนเมื่อเทียบกับเงินลงทุน
Mining: อัตราผลตอบแทนไม่แน่นอน ขึ้นกับหลายปัจจัย
Staking: อัตราผลตอบแทนชัดเจน มักอยู่ที่ 5-15% ต่อปี

20. ความเสี่ยงจากความผิดพลาด
Mining: เสียหายเฉพาะค่าไฟและค่าเสื่อมของอุปกรณ์
Staking: อาจสูญเสียเหรียญที่วางประกันได้หากทำผิดกฎ

โดยสรุป
•    Mining เหมาะกับผู้ที่มีเงินทุนสูง มีความรู้ทางเทคนิค และพร้อมรับความเสี่ยงเพื่อผลตอบแทนที่อาจสูงกว่า
•    Staking เหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนระยะยาว ชอบผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ และไม่ต้องการยุ่งยากกับการดูแลอุปกรณ์