ข่าว:

กฏการเทรด 10 ข้อ โดย John Murphy

เริ่มโดย support-1, เมษายน 18, 2022, 01:50:04 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

support-1

1.Map the trends (หาแนวโน้ม)

เรียนรู้จากภาพใหญ่ – เริ่มต้นวิเคราะห์กราฟทางเทคนิคจาก Timeframe รายสัปดาห์ หรือรายเดือนก่อน (Long Term) เพื่อดูแนวโน้มในภาพใหญ่ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งการดูภาพระยะยาวนั้น จะช่วยให้มองแนวโน้มของตลาดได้ง่ายกว่าการมองภาพรวมระยะสั้น เมื่อพิจารณาถึงแนวโน้มในภาพใหญ่ได้แล้ว จากนั้นค่อยไปพิจารณาจาก Timeframe รายวัน หรือภาพรายชั่วโมงต่อ (Short Term)

บ่อยครั้งที่เวลามองภาพรวมระยะสั้น (Short Term) แล้วจะถูกตลาดสับขาหลอกอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้น เวลาเทรดภาพระยะสั้นก็ควรเทรดในฝั่งเดียวกับแนวโน้มระยะกลาง หรือแนวโน้มหลักจะดีกว่า เพราะจะช่วยให้การเทรดนั้นมีประสิทธิภาพที่มากขึ้น และโอกาสที่จะถูกสับขาหลอกก็จะน้อยลงตามไปด้วย

2. Spot the trend and go with it (จับแนวโน้ม และไปกับมัน)

จับแนวโน้ม และไปกับมัน – แนวโน้มประกอบด้วยหลายขนาด ได้แก่ ระยะยาว (Long Term), ระยะกลาง (Intermediate Term) และระยะสั้น (Short Term) ซึ่งในขั้นต้น เราจะดูว่าแนวโน้มขนาดไหนที่เราต้องการจะเทรด จากนั้นก็ให้เทรดทำทิศทางเดียวกับแนวโน้มนั้น เช่น แนวโน้มเป็นขาขึ้น ก็จะอยู่ฝั่ง Buy เป็นหลัก หรือ แนวโน้มขาลง ก็จะอยู่ฝั่ง Sell เป็นต้น และถ้าเราเทรดภาพระยะกลาง เราก็ควรดูกราฟ Timeframe รายวัน และรายสัปดาห์ ถ้าเราเทรดภาพระยะสั้น ก็ควรดูกราฟ Timeframe รายวัน และรายนาที โดยปกติจะใช้รายที่ยาวกว่ากำหนดทิศทางของแนวโน้ม และใช้ภาพที่สั้นกว่า ในการกำหนดจุดเข้าออก

3. Find the low and high of it (หาจุดต่ำสุด และจุดสูงสุดของรอบ)

หาจุดต่ำสุด และจุดสูงสุดของรอบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถใช้เป็นระดับแนวรับ และแนวต้านได้ ซึ่งจุดซื้อที่ดี คือบริเวณใกล้แนวรับ และจุดขายที่ดี คือบริเวณใกล้แนวต้าน

จุดต่ำสุด และ จุดที่เคยเป็นจุดสูงสุด (High เก่า) = แนวรับ

จุดสูงสุด และ จุดที่เคยเป็นจุดต่ำสุด (Low เก่า) = แนวต้าน

4. Know how far to backtrack (รู้วิธีการวัดรอบการพักตัว)

ในช่วงที่แนวโน้มขาขึ้นหรือขาลงก็ตาม จะมีช่วงการพักตัวเกิดขึ้น (Retracement) ซึ่งหากรู้ถึงช่วงการพักตัวดังกล่าวจะทำให้เราเทรดได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยในการวัดช่วงการพักตัวนั้น วิธีที่ง่ายที่สุดคือ 50% ของรอบ ส่วนขั้นต่ำจะอยู่ที่ 33% สูงสุดได้ไม่เกิน 67% (เพราะถ้าเกินจะแสดงถึงการเปลี่ยนแนวโน้มมากกว่า) หรือจะใช้ระดับ Fibonacci Retracements ในการวัดก็ได้ (38% และ 62%) ในช่วงการพักตัวระยะแรก (33%-38%) ถือเป็นจังหวะในการเข้าซื้อไม้แรกที่ดี

5. Draw the line (ลากเส้นแนวโน้ม)

Trend Line หนึ่งในเครื่องมือที่ง่ายและทรงประสิทธิภาพอย่างมาก เราเพียงแค่ลากจุด 2-3 จุดบนกราฟ เพื่อหาทิศทางของแนวโน้มของราคา โดย Uptrend Line จะลากจากจุดต่ำสุด สู่ จุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (แบบเอียงขึ้น) ส่วน Downtrend Line จะลากจาก จุดสูงสุด สู่ จุดสูงสุดที่ต่ำลง (แบบเอียงลง) ส่วนมากราคามักจะเกิดการ Pullback กลับหลังทดสอบเส้นดังกล่าว แล้ววิ่งต่อตามแนวโน้มเดิมของมันไปเรื่อยๆ แต่หากจังหวะที่ราคาทะลุเส้น Trend Line ก็จะเป็นสัญญาณในการเปลี่ยนแนวโน้มของราคานั่นเอง

6. Follow that average (ใช้เส้นค่าเฉลี่ย)

เส้นค่าเฉลี่ย (Moving Average) ช่วยให้จับจังหวะในการซื้อขายได้ และยังเป็นตัวช่วยในการยืนยันทิศทางของแนวโน้มได้เช่นเดียวกัน โดยการใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้นตัดกัน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่นิยมในการหาสัญญาณการเทรด (Trading Signals) ซึ่งค่าเฉลี่ยที่นิยม คือ  20 กับ 50 วัน โดยสัญญาณซื้อหรือขายจะเกิดขึ้นเมื่อ เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้นตัดกัน (สั้นตัด ยาว ขึ้นเป็นสัญญาณ ซื้อ, ส่วนสั้นตัดยาวลง เป็นสัญญาณขาย)

เส้นค่าเฉลี่ย (Moving Average) ใช้เทรดในช่วงที่ตลาดเป็น Trend ได้อย่างดี

7. Learn the turns (จับรอบการแกว่งตัว)

Track Oscillators (Indicator พวกที่มีเลขวัด 0-100) ช่วยบอกว่าภาวะของราคาตอนนั้น Overbought หรือ Oversold พวกเครื่องมือ Oscilator จะคอยเป็นตัวเตือนเราระดับต้น ๆ ก่อนเลยว่า แนวโน้มของราคามีโอกาสเปลี่ยนแปลง เพราะว่ามันขึ้นมามากไปแล้ว หรือมันลงมามากไป 2 เครื่องมือที่เป็นที่นิยมอย่างมากในวงการเทคนิคคอล คือ RSI และ Stochastic

RSI > 70 แสดงถึง Overbought
RSI < 30 แสดงถึง Oversold ส่วน Stochastic > 80 แสดงถึง Overbought
Stochastic < 20 แสดงถึง Oversold

และถ้าเกิดสัญญาณ Divergence ในเครื่องมือดังกล่าว ก็จะเป็นสัญญาณเตือนว่าราคามีโอกาสเปลี่ยนแนวโน้มได้เช่นเดียวกัน

Oscilator ใช้ในช่วงที่ตลาดเป็น Sideway ได้ดี

8. Know the warnings signs (รู้ถึงสัญญาณเตือน)

เครื่องมือ MACD เป็นเครื่องมือที่จะบอกสัญญาณการเข้า ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเส้นระยะสั้นตัดเส้นระยะยาว (ตัดขึ้น) และทั้ง 2 เส้นต้องอยู่เหนือระดับ 0 ส่วน สัญญาณขายจะเกิดขึ้นเมื่อเส้นระยะสั้นตัดกับเส้นระยะยาว (ตัดลง) และทั้ง 2 เส้นต้องอยู่ต่ำกว่าระดับ 0

ภาพรายสัปดาห์ของ MACD จะมีน้ำหนักต่อการตัดสินใจมากกว่าภาพรายวัน

9. Trend or not a trend (ดูว่าเป็นราคาช่วงนั้นเคลื่อนอย่างมีแนวโน้มหรือไม่)

ADX Indicator เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราดูว่าสภาวะตลาดตอนนั้นเป็นอย่างไร (มีแนวโน้ม หรือไม่มีแนวโน้ม) เพื่อให้กำหนดกลยุทธ์การลงทุนได้ดีขึ้น
โดยปกติเมื่อ ADX อยู่ในช่วงการปรับตัวขึ้น แสดงถึง ภาวะที่ตลาดมีแนวโน้ม เส้นค่าเฉลี่ย ใช้งานได้ดีในช่วงนี้
ส่วนถ้า ADX อยู่ในช่วงการปรับตัวลง แสดงถึง ภาวะตลาดไม่มีแนวโน้ม พวก Oscilator จะใช้งานได้ดี

10. Know the confirming signs (สังเกตสัญญาณยืนยัน)

ให้สังเกตปริมาณการซื้อขาย (Volume) จะเป็นตัวช่วยยืนยันภาพการวิเคราะห์ของเรา โดย Volume ควรไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้ม เช่น แนวโน้มขาขึ้น ช่วงที่ราคาปรับตัวขึ้นควรมีพร้อมกับปริมาณ Vol. ที่หนาแน่น (มันแสดงถึงเงินจำนวนใหม่ที่เข้ามาซื้อ หนุนราคาไปต่อ) ขณะที่ช่วงย่อตัวในแนวโน้ม Vol. ก็ควรหดตัวตาม ส่วนในขาลงก็ตรงกันข้าม

ทั้งหมดนี่เป็นเพียงแค่พื้นฐานการเทรดเท่านั้น สำหรับใครที่เข้ามาอยู่ในตลาด Forex สักพักแล้ว ก็จะรู้ว่านี่ไม่ใช่ทั้งหมดของการเทรด ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่นักลงทุนต้องศึกษาเกี่ยวกับเทคนิคการเทรด และที่จะขาดไปไม่ได้เลยก็คือวินัยในการเทรด ถ้าหากขาดสิ่งนี้ไป จะทำให้การเทรดนั้นไม่มีประสิทธิภาพตามไปด้วยนั่นเอง