Crypto Payment Systems: การใช้คริปโตชำระเงินในชีวิตจริง

เริ่มโดย Support-3, ตุลาคม 21, 2025, 03:42:49 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

Support-3

ะบบการชำระเงินด้วยคริปโตเคอร์เรนซี (Crypto Payment Systems) คือ การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์จากการโอนมูลค่าแบบดั้งเดิม (ที่ต้องอาศัยธนาคารหรือสถาบันการเงินเป็นตัวกลาง) ไปสู่การทำธุรกรรมแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) โดยตรงระหว่างบุคคล (Peer-to-Peer) โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain)



แม้ว่าในช่วงแรก คริปโตฯ ส่วนใหญ่จะถูกมองว่าเป็น "สินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไร" (Speculative Asset) แต่ในปัจจุบัน แนวคิดในการนำมาใช้เป็น "สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน" (Medium of Exchange) ในชีวิตประจำวันก็เริ่มชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น บทความนี้จะเจาะลึกถึงระบบการชำระเงินด้วยคริปโตฯ ในแง่มุมต่างๆ ว่ามีการใช้งานจริงอย่างไร มีข้อดี ข้อจำกัด และอนาคตเป็นอย่างไร

กลไกการทำงาน คริปโตฯ เปลี่ยนเป็น "เงิน" ได้อย่างไร?



การชำระเงินด้วยคริปโตฯ ในชีวิตจริงไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด โดยแกนหลักของมันคือ การ "โอนย้ายกรรมสิทธิ์" ในสินทรัพย์ดิจิทัลจากกระเป๋าหนึ่งไปยังอีกกระเป๋าหนึ่ง
ฝั่งผู้ชำระ (ผู้ซื้อ)
       - ต้องมี Digital Wallet ผู้ใช้จำเป็นต้องมีกระเป๋าเงินดิจิทัล (Crypto Wallet) ซึ่งอาจเป็นแอปพลิเคชันบนมือถือ (Hot Wallet) หรืออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ (Cold Wallet) เพื่อจัดเก็บ Private Keys ที่ใช้ในการเข้าถึงคริปโตฯ ของตน
       - ต้องมีคริปโตฯ ต้องมีเหรียญหรือโทเคนดิจิทัลที่ร้านค้ายอมรับ เช่น Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH) หรือ Stablecoins (USDT, USDC)
       - กระบวนการชำระ โดยทั่วไปคือการสแกน QR Code หรือคัดลอกที่อยู่ Wallet (Wallet Address) ของผู้รับ (ร้านค้า) จากนั้นระบุจำนวนเงินและกดยืนยัน
       - ค่าธรรมเนียม (Gas Fee) ผู้ชำระจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเครือข่าย (Gas Fee หรือ Transaction Fee) เพื่อให้ธุรกรรมได้รับการยืนยันและบันทึกลงในบล็อกเชน

ฝั่งผู้รับ (ร้านค้า)
       - การรับชำระโดยตรง ร้านค้าสามารถแสดง Wallet Address ของตนเองเพื่อให้ลูกค้าโอนคริปโตฯ เข้ามาได้โดยตรง วิธีนี้ประหยัด แต่ร้านค้าต้องจัดการความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคาเอง
       - การใช้ตัวกลาง (Payment Gateway)
■    ร้านค้าส่วนใหญ่ในปัจจุบันที่รับคริปโตฯ มักใช้บริการตัวประมวลผลการชำระเงิน (Payment Processor) เช่น BitPay, Coinbase Commerce หรือในไทยก็มีผู้ให้บริการลักษณะนี้
■    ตัวกลางเหล่านี้จะสร้าง QR Code หรือหน้าชำระเงินให้ลูกค้า
■    การแปลงเป็นเงินเฟียตทันที จุดเด่นคือ บริการเหล่านี้มักจะ "ล็อกราคา" ณ ขณะที่ชำระ และแปลงคริปโตฯ ที่ได้รับเป็นเงินบาท ดอลลาร์ หรือสกุลเงินท้องถิ่น (Fiat Currency) ให้ร้านค้าทันที
■    วิธีนี้ช่วยให้ร้านค้า "ขจัดความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคา" (Volatility Risk) ไปได้ แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเล็กน้อยให้ผู้ให้บริการ

Crypto Debit Cards (ทางลัดสู่การใช้งานจริง)
       - นี่คือหนึ่งในรูปแบบการใช้งานจริงที่แพร่หลายที่สุด
       - บริษัทต่างๆ เช่น Visa หรือ Mastercard ร่วมมือกับแพลตฟอร์ม Exchange (เช่น Binance, Crypto.com) ออกบัตรเดบิตที่ผูกกับบัญชีคริปโตฯ
       - วิธีการทำงาน เมื่อผู้ใช้รูดบัตรหรือแตะเพื่อจ่ายเงินที่ร้านค้าใดๆ (ที่รับ Visa/Mastercard) ระบบหลังบ้านจะทำการ "ขาย" คริปโตฯ ของผู้ใช้ในมูลค่าที่เท่ากับยอดซื้อ และจ่ายเป็น "เงินเฟียต" ให้กับร้านค้าทันที
       - สำหรับร้านค้า นี่คือการรับเงินเฟียตปกติ แต่สำหรับผู้ใช้ นี่คือการใช้คริปโตฯ ในการจับจ่ายซื้อของ

ข้อดีของการใช้คริปโตฯ ชำระเงิน
●    ธุรกรรมไร้พรมแดน (Borderless Transactions)
       - สามารถโอนมูลค่าไปได้ทั่วโลกโดยไม่มีข้อจำกัดด้านเขตแดน
       - กระบวนการเร็วกว่าการโอนเงินข้ามประเทศแบบดั้งเดิม (เช่น SWIFT) อย่างมาก จากหลายวันเหลือเพียงไม่กี่นาทีหรือชั่วโมง
●    ค่าธรรมเนียมที่อาจต่ำกว่า (Potential for Lower Fees)
       - สำหรับการโอนเงินจำนวนมาก หรือการโอนข้ามประเทศ การใช้คริปโตฯ (โดยเฉพาะบนเครือข่าย Layer 2 หรือบล็อกเชนที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ) อาจมีค่าใช้จ่ายโดยรวมถูกกว่าการผ่านตัวกลางธนาคารหลายทอด
       - หมายเหตุ: ค่าธรรมเนียมมีความผันผวนสูง (เช่น ค่า Gas บน Ethereum อาจแพงมากในช่วงที่เครือข่ายหนาแน่น)
●    การเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion)
       - ผู้คนที่ไม่มีบัญชีธนาคาร (Unbanked) หรือเข้าไม่ถึงบริการธนาคาร (Underbanked) เพียงแค่มีสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ต ก็สามารถรับ-ส่ง มูลค่าได้
●    การควบคุมสินทรัพย์โดยสมบูรณ์ (Self-Custody)
       - ผู้ใช้เป็นเจ้าของและควบคุมสินทรัพย์ของตนเองอย่างแท้จริง (ผ่าน Private Key) โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากตัวกลาง (ตราบใดที่เก็บรักษา Key ได้อย่างปลอดภัย)
●    ความโปร่งใส (Transparency)
       - ทุกธุรกรรมสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้บน Public Blockchain (แม้ว่าตัวตนผู้ใช้จะเป็นนามแฝง - Pseudonymous)
●    การลดการฉ้อโกงแบบ Chargeback
       - ธุรกรรมคริปโตฯ เมื่อได้รับการยืนยันแล้ว จะไม่สามารถย้อนกลับ (Irreversible) ได้ ซึ่งช่วยลดปัญหาการปฏิเสธการชำระเงินย้อนหลัง (Chargeback Fraud) ที่ร้านค้ามักต้องเผชิญในระบบบัตรเครดิต

ความท้าทายและข้อจำกัดในโลกแห่งความจริง
●    ความผันผวนของราคา (Volatility)
       - นี่คือ "อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด"
       - มูลค่าของคริปโตฯ (เช่น BTC, ETH) อาจแกว่งตัว 5-10% ภายในวันเดียว
       - การรับชำระค่ากาแฟ 100 บาทในวันนี้ พรุ่งนี้มูลค่าคริปโตฯ ที่รับมาอาจเหลือ 90 บาท ทำให้ร้านค้าไม่สามารถวางแผนต้นทุนหรือกำไรได้
       - ทางแก้: การหันมาใช้ Stablecoins (เหรียญที่ตรึงมูลค่าไว้กับเงินเฟียต เช่น USDT, USDC ที่ตรึงกับดอลลาร์สหรัฐฯ) กำลังเป็นทางออกหลักสำหรับปัญหาการชำระเงิน
●    ความสามารถในการขยายขนาด (Scalability)
       - บล็อกเชนหลักๆ เช่น Bitcoin หรือ Ethereum (Layer 1) ยังประมวลผลธุรกรรมได้ช้า (Transactions Per Second - TPS) เมื่อเทียบกับระบบการเงินหลัก (เช่น Visa ที่ทำได้หลายหมื่น TPS)
       - ทำให้เกิดภาวะ "คอขวด" เมื่อมีคนใช้เยอะ ส่งผลให้ธุรกรรมช้าและค่าธรรมเนียมพุ่งสูง
       - ทางแก้: การพัฒนาโซลูชั่น Layer 2 (เช่น Lightning Network ของ Bitcoin, Arbitrum/Optimism ของ Ethereum) เพื่อช่วยให้ธุรกรรมเร็วขึ้นและถูกลง
●    ประสบการณ์การใช้งาน (User Experience - UX)
       - ยังคงซับซ้อนสำหรับคนทั่วไป
       - การจัดการ Wallet Address (ที่ยาวและจำยาก)
       - ความเสี่ยงในการทำธุรกรรมผิดพลาด (โอนผิดที่อยู่ = สูญเงินถาวร)
       - การรักษา Private Key ที่หากสูญหายก็เท่ากับสูญเสียเงินทั้งหมด
●    ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ (Regulatory Uncertainty)
       - กฎหมายและข้อบังคับในหลายประเทศ (รวมถึงไทย) ยังไม่ชัดเจน
       - การกำกับดูแลด้านภาษี (Taxation) มีความซับซ้อน ว่าจะคิดภาษี ณ จุดที่ซื้อ, จุดที่ใช้จ่าย, หรือจุดที่แปลงกลับเป็นเงินเฟียต
       - ความกังวลด้านการฟอกเงิน (AML) และการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (CFT)
●    การยอมรับในวงกว้าง (Mass Adoption)
       - ร้านค้าส่วนใหญ่ในชีวิตจริงยังไม่พร้อมที่จะรับคริปโตฯ โดยตรง เนื่องจากอุปสรรคที่กล่าวมาทั้งหมด

ตัวอย่างการใช้งานจริงในปัจจุบัน
●    การชำระเงินข้ามพรมแดน (Remittance) เป็นหนึ่งในการใช้งานที่ "จริง" ที่สุด โดยเฉพาะในประเทศที่ค่าเงินอ่อนค่ารุนแรง หรือระบบธนาคารมีปัญหา ผู้คนใช้คริปโตฯ (โดยเฉพาะ Stablecoins) ในการโอนเงินกลับบ้าน เพื่อความรวดเร็วและค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า
●    ประเทศที่ยอมรับเป็นทางการ (Legal Tender) เช่น เอลซัลวาดอร์ ที่ประกาศให้ Bitcoin เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ทำให้ร้านค้าต้องรับ Bitcoin (แม้ว่าในทางปฏิบัติจะยังมีปัญหาการใช้งาน)
●    การซื้อสินค้ามูลค่าสูง เช่น อสังหาริมทรัพย์ รถยนต์หรู หรือนาฬิกา การใช้คริปโตฯ ช่วยประหยัดค่าธรรมเนียมการโอนเงินก้อนใหญ่ได้
●    การซื้อสินค้าออนไลน์ (E-commerce) ร้านค้าออนไลน์หลายแห่ง โดยเฉพาะที่ขายสินค้าดิจิทัล หรือบริการที่เน้นความเป็นส่วนตัว (เช่น บริการ VPN) มักจะรับชำระด้วยคริปโตฯ
●    การใช้จ่ายผ่าน Crypto Debit Cards ดังที่กล่าวไป นี่คือวิธีที่คนส่วนใหญ่ "ใช้" คริปโตฯ ซื้อของในชีวิตประจำวัน โดยการแปลงเป็นเฟียต ณ จุดขาย

สกุลเงินที่รองรับ และ ช่องทางในการใช้คริปโตชำระเงินในชีวิตจริง
ในการใช้คริปโตฯ ชำระเงินจริง ไม่ใช่ทุกสกุลเงินจะเหมาะสม หรือทุกช่องทางจะสะดวกเหมือนกัน ปัจจุบันระบบนิเวศนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ กลุ่มสกุลเงินที่ใช้ชำระ และ กลุ่มช่องทางที่ใช้รับชำระ

สกุลเงินคริปโตฯ ที่นิยมใช้ชำระเงิน (The "What")



ไม่ใช่ทุกเหรียญที่ถูกสร้างมาเพื่อการชำระเงิน บางเหรียญเหมาะกับการเก็บมูลค่า (Store of Value) บางเหรียญเหมาะกับการใช้ในระบบนิเวศของตน (Utility Token) แต่สำหรับ "การจ่ายเงิน" สกุลเงินที่ได้รับความนิยมมีดังนี้:

กลุ่มที่ 1 Stablecoins (เหรียญคงมูลค่า)
       - นี่คือกลุ่มที่ "สำคัญที่สุด" และ "เหมาะสมที่สุด" สำหรับการชำระเงินในชีวิตจริง
       - ทำไมถึงนิยม เพราะมูลค่าของมัน "คงที่" โดยมักจะผูก (Peg) ไว้กับเงินเฟียต เช่น 1 USDT = 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ (โดยประมาณ)
       - ประโยชน์ ร้านค้าและผู้ซื้อไม่ต้องกังวลเรื่องความผันผวนของราคา กาแฟราคา 100 บาท ก็คือการจ่าย Stablecoin มูลค่า 100 บาท วันพรุ่งนี้มูลค่าก็ยังเท่าเดิม
       - สกุลเงินหลัก
■    Tether (USDT) ได้รับความนิยมสูงสุดในตลาดโลก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาและใช้ในการโอนเงินข้ามพรมแดน
■    USD Coin (USDC) ได้รับความนิยมสูงในสหรัฐอเมริกาและยุโรป มักถูกมองว่ามีความโปร่งใสและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่เข้มงวดกว่า
■    DAI Stablecoin รูปแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) ที่ได้รับความนิยมในโลก DeFi

กลุ่มที่ 2 Bitcoin (BTC)
       - สถานะ เป็นสกุลเงินแรกและมีมูลค่าตลาดสูงสุด แต่ในทางปฏิบัติ "ไม่เหมาะ" กับการซื้อของในชีวิตประจำวัน (เช่น ซื้อกาแฟ)
       - ทำไมไม่เหมาะ (บน Layer 1) ค่าธรรมเนียมสูง (ในบางช่วง) และธุรกรรมช้า (รอการยืนยันนาน)
       - ทางแก้ (ช่องทางที่ทำให้ใช้ได้จริง)
■    Lightning Network (Layer 2) นี่คือเทคโนโลยีที่สร้างขึ้นมา "เพื่อ" ให้ Bitcoin ใช้ชำระเงินได้จริง ทำให้การโอน BTC เกิดขึ้นแทบจะทันที และมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำมาก (ใกล้เคียงศูนย์)
■    การใช้งานจริง ร้านค้าในเอลซัลวาดอร์ หรือร้านค้าที่ "ตั้งใจ" รับ Bitcoin มักจะใช้ Wallet ที่รองรับ Lightning Network

กลุ่มที่ 3 สกุลเงินทางเลือก (Altcoins) ที่เน้นความเร็ว
       - มีเหรียญจำนวนมากที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยมีเป้าหมายเพื่อเป็น "เงินสดดิจิทัล" ที่ดีกว่า Bitcoin (เร็วกว่าและถูกกว่า)
       - สกุลเงินที่พบบ่อย
■    Litecoin (LTC) หนึ่งในเหรียญที่เก่าแก่ที่สุด มักถูกเรียกว่า "เงิน" (Silver) ในขณะที่ Bitcoin เป็น "ทอง" (Gold) มีความเร็วและค่าธรรมเนียมที่ดีกว่า BTC
■    Bitcoin Cash (BCH) แยกตัว (Fork) ออกมาจาก Bitcoin โดยมีเป้าหมายชัดเจนคือการเป็น "เงินสดอิเล็กทรอนิกส์แบบ Peer-to-Peer"
■    เหรียญบนเครือข่ายความเร็วสูง (เช่น Solana (SOL), Polygon (MATIC), Avalanche (AVAX)) เครือข่ายเหล่านี้มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำมากและรวดเร็ว ทำให้เริ่มถูกนำไปรวมในระบบ Payment Gateway สมัยใหม่

ช่องทางการชำระเงินในชีวิตจริง (The "How")
นี่คือวิธีการที่ร้านค้าและผู้คน "เชื่อมต่อ" กันเพื่อทำการชำระเงิน โดยแบ่งเป็นช่องทางหลักๆ ดังนี้:
ช่องทางที่ 1 บัตรเดบิตคริปโต (Crypto Debit Cards) - (ช่องทางที่ง่ายที่สุด)
       - นี่คือ "สะพานเชื่อม" ที่สำคัญที่สุดระหว่างโลกคริปโตฯ และโลกร้านค้าดั้งเดิม
       - วิธีการทำงาน
1.    ผู้ให้บริการ (เช่น Binance, Crypto.com, Coinbase) ร่วมมือกับ Visa หรือ Mastercard
2.    ผู้ใช้เติมคริปโตฯ (เช่น BTC, ETH, USDT) เข้าไปใน Wallet ของบัตร
3.    เมื่อผู้ใช้นำบัตรไป "รูด" หรือ "แตะ" ที่เครื่อง EDC ของร้านค้าทั่วไป
4.    ระบบหลังบ้านจะทำการ "ขาย" คริปโตฯ ของผู้ใช้ในมูลค่าที่เท่ากับยอดซื้อ และจ่ายเป็น "เงินเฟียต" (เงินบาท/ดอลลาร์) ให้กับร้านค้าทันที
       - ข้อดี ร้านค้า "ไม่จำเป็นต้องรับคริปโตฯ" เลย ร้านค้าได้เงินเฟียตตามปกติ ผู้ใช้สามารถใช้จ่ายคริปโตฯ ของตนได้ทุกที่ที่รับ Visa/Mastercard
       - ข้อจำกัด ผู้ใช้ต้องเสียค่าธรรมเนียมแอบแฝงในการแลกเปลี่ยน ณ จุดขาย และอาจมีประเด็นเรื่องภาษี (Capital Gains Tax)

ช่องทางที่ 2 ผู้ให้บริการประมวลผลการชำระเงิน (Payment Processors/Gateways)
       - นี่คือช่องทางสำหรับ "ร้านค้า" ที่ต้องการรับคริปโตฯ อย่างเป็นทางการ (ส่วนใหญ่ใช้กับ E-commerce หรือร้านค้าขนาดใหญ่)
       - วิธีการทำงาน
1.    ร้านค้าสมัครใช้บริการ (เช่น BitPay, Coinbase Commerce, Coingate)
2.    เมื่อลูกค้าเลือกจ่ายด้วยคริปโตฯ ระบบจะสร้าง QR Code หรือหน้าชำระเงินขึ้นมา
3.    ลูกค้าสแกนและจ่ายด้วย Wallet ของตนเอง
4.    จุดเด่น ผู้ให้บริการเหล่านี้มักมีตัวเลือกให้ร้านค้า "รับเป็นเงินเฟียตทันที" (Instant Fiat Settlement)
       - ข้อดี ร้านค้าไม่ต้องรับความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคา
       - ข้อจำกัด ร้านค้าต้องเสียค่าธรรมเนียมให้บริการ (ประมาณ 1%)

ช่องทางที่ 3 การโอนโดยตรง (Direct Wallet-to-Wallet / P2P)
       - นี่คือวิธีการ "กระจายศูนย์" อย่างแท้จริง ไม่มีตัวกลาง
       - วิธีการทำงาน
1.    ร้านค้า (มักเป็นร้านเล็กๆ หรือบุคคล) แสดง QR Code ของ Wallet Address ส่วนตัว (เช่น MetaMask, Trust Wallet)
2.    ลูกค้าใช้แอปฯ Wallet ของตนเอง สแกน และโอนเหรียญ (เช่น โอน USDT บนเครือข่าย TRC20 หรือ BEP20 ที่ค่าธรรมเนียมถูก) ให้ร้านค้าโดยตรง
       - ข้อดี ไม่มีค่าธรรมเนียมตัวกลาง (มีเพียงค่า Gas Fee ของเครือข่าย)
       - ข้อจำกัด ร้านค้า "ต้องรับความเสี่ยงด้านความผันผวนเอง" (หากไม่ได้รับเป็น Stablecoin) และต้องจัดการ Wallet ด้วยตนเอง

ช่องทางที่ 4 แอปพลิเคชันและเครือข่ายเฉพาะทาง
       - Lightning Network Wallets สำหรับการรับ-จ่าย Bitcoin โดยเฉพาะ (เช่น Wallet of Satoshi, Muun Wallet) เพื่อความเร็วและค่าธรรมเนียมที่ต่ำมาก
       - Web3/DApps Payments การใช้คริปโตฯ เพื่อจ่ายค่าบริการในโลก Web3 เช่น การซื้อ NFT, การซื้อไอเทมในเกม Blockchain (GameFi) ซึ่งถือเป็นการใช้จ่ายในชีวิตจริง(ในโลกดิจิทัล)

บทสรุป
ระบบการชำระเงินด้วยคริปโตเคอร์เรนซี (Crypto Payment Systems) ได้พิสูจน์แล้วว่ามีศักยภาพสูงในการปฏิวัติวิธีการโอนมูลค่า โดยเฉพาะในด้านความเร็ว, การลดต้นทุนธุรกรรมข้ามพรมแดน, และการเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงิน
อย่างไรก็ตาม การจะก้าวไปสู่การเป็น "กระแสหลัก" ในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญ 3 ประการ คือ ความผันผวนของราคา, ความซับซ้อนในการใช้งาน (UX), และ ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ[/i]
ปัจจุบัน การใช้งานจริงที่เติบโตอย่างชัดเจนที่สุดคือการใช้ Stablecoins สำหรับการโอนเงินข้ามพรมแดน และการใช้ Crypto Debit Cards สำหรับการจับจ่ายในชีวิตประจำวัน (ซึ่งเป็นการแปลงกลับเป็นเงินเฟียต) อนาคตของการชำระเงินด้วยคริปโตฯ จึงไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะใช้ Bitcoin ซื้อกาแฟ แต่มีแนวโน้มสูงที่จะเป็นการใช้ Stablecoins หรือแม้แต่สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (CBDCs) ที่ทำงานบนเทคโนโลยีบล็อกเชน เพื่อให้ได้ประโยชน์ด้านประสิทธิภาพ โดยที่ยังคงรักษาเสถียรภาพของมูลค่าไว้ได้