History of Crypto Crashes บทเรียนจากเหตุการณ์ตลาดล่มสลาย

เริ่มโดย Support-3, ตุลาคม 26, 2025, 02:34:25 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

Support-3



ตลาดสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ขึ้นชื่อเรื่องความผันผวนที่รุนแรง ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดนี้ได้ผ่าน "การล่มสลาย" (Crashes) หรือ "ตลาดหมี" (Bear Markets) มาแล้วหลายครั้ง

เหตุการณ์เหล่านี้ แม้จะเจ็บปวดสำหรับนักลงทุน แต่ก็เต็มไปด้วยบทเรียนล้ำค่าที่ช่วยให้ระบบนิเวศนี้แข็งแกร่งขึ้น บทความนี้จะเจาะลึกเหตุการณ์การล่มสลายครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์คริปโตฯ และบทเรียนที่เราได้รับ

1. การล่มสลายของ Mt. Gox (2014) วิกฤต Exchange ยุคบุกเบิก
เหตุการณ์ "Mt. Gox" ถือเป็นการล่มสลายครั้งใหญ่ครั้งแรกที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลกคริปโตฯ และเป็นบทเรียนคลาสสิกเรื่องความเสี่ยงของการรวมศูนย์
ภาพรวมเหตุการณ์
●    จุดกำเนิด Mt. Gox (มาจาก "Magic The Gathering Online eXchange") เคยเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน Bitcoin (BTC) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีปริมาณการซื้อขายสูงถึง 70-80% ของตลาดทั้งหมดในช่วงพีค
●    การแฮ็ก ในช่วงปี 2011-2014, Mt. Gox ถูกโจมตีทางไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาถูกปกปิดไว้
●    การล่มสลาย ในเดือนกุมภาพันธ์ 2014, Mt. Gox หยุดการถอนเงินทั้งหมด และประกาศว่าถูกแฮ็ก ทำให้ Bitcoin ของลูกค้าหายไปประมาณ 850,000 BTC (มูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ในขณะนั้น)
●    ผลกระทบ บริษัทประกาศล้มละลาย ราคา Bitcoin ร่วงลงอย่างหนัก และสร้างความไม่เชื่อมั่นต่อ Exchange แบบรวมศูนย์ (CEX) ไปอีกนาน

บทเรียนที่สำคัญ
●    "Not your keys, not your coins" บทเรียนที่สำคัญที่สุดคือ หากคุณไม่ได้ถือ Private Keys (กุญแจส่วนตัว) ของคุณเอง คริปโตฯ นั้นก็ไม่ใช่ของคุณอย่างแท้จริง การฝากสินทรัพย์ไว้บน Exchange เท่ากับคุณกำลังไว้วางใจบุคคลที่สาม
●    ความเสี่ยงของการรวมศูนย์ (Centralization Risk) การที่ตลาดส่วนใหญ่ผูกอยู่กับ Exchange เดียวสร้างความเสี่ยงเชิงระบบ (Systemic Risk) เมื่อจุดศูนย์กลางนั้นล่มสลาย ตลาดทั้งระบบก็สั่นคลอน
●    ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ตลาดคริปโตฯ ในยุคแรกขาดมาตรฐานความปลอดภัยอย่างรุนแรง ทำให้เป็นเป้าหมายง่ายดายของแฮ็กเกอร์

2. ฟองสบู่ ICO และ Crypto Winter (2017-2018) บทเรียนจาก Hype
ยุค 2017 คือยุคตื่นทอง (Gold Rush) ของการระดมทุนแบบ Initial Coin Offering (ICO) ซึ่งนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์คริปโตฯ
ภาพรวมเหตุการณ์
●    กระแส ICO โปรเจกต์ต่างๆ สามารถระดมทุนหลายสิบล้านดอลลาร์ในเวลาเพียงไม่กี่นาที เพียงแค่มี "Whitepaper" (เอกสารนำเสนอโครงการ) โดยไม่ต้องมีผลิตภัณฑ์จริง
●    FOMO นักลงทุนรายย่อยแห่กันเข้ามาในตลาดด้วยความกลัวตกรถ (FOMO - Fear of Missing Out) ผลักดันราคา Altcoins (เหรียญทางเลือก) หลายตัวให้สูงขึ้นหลายร้อยหลายพันเท่า
●    การหลอกลวง (Scams) โปรเจกต์ ICO จำนวนมากกลายเป็นการหลอกลวง (Rug Pulls หรือ Exit Scams) ผู้สร้างโปรเจกต์หายตัวไปพร้อมกับเงินทุน
●    ฟองสบู่แตก เมื่อถึงจุดสูงสุดในเดือนมกราคม 2018 ตลาดก็เริ่มปรับฐานอย่างรุนแรง และเข้าสู่ "Crypto Winter" (ฤดูหนาวคริปโตฯ) ที่ยาวนาน
●    ผลกระทบ ราคา Bitcoin ลดลงกว่า 80% จากจุดสูงสุด และ Altcoins ส่วนใหญ่มีมูลค่าลดลง 90-99% หรือหายไปจากตลาดอย่างถาวร

บทเรียนที่สำคัญ
●    Hype vs. Utility ตลาดถูกขับเคลื่อนด้วยกระแส (Hype) และการเก็งกำไร มากกว่ามูลค่าการใช้งานจริง (Utility) หรือพื้นฐานของเทคโนโลยี
●    DYOR (Do Your Own Research) ความสำคัญของการศึกษาข้อมูลด้วยตนเอง อย่าลงทุนเพียงเพราะคนอื่นบอกว่าดี หรือเพราะกลัวตกรถ
●    การประเมินมูลค่า (Valuation) เป็นสิ่งสำคัญ โปรเจกต์ที่ไม่มีผลิตภัณฑ์แต่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์เป็นสัญญาณอันตรายของภาวะฟองสบู่
●    ความอดทนคือทุกสิ่ง ตลาดหมีสามารถกินเวลานานกว่าที่คิด (ในครั้งนี้กินเวลาเกือบ 2 ปี)

3. "Black Thursday" (มีนาคม 2020) บทเรียนจากวิกฤตโลก
การล่มสลายครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าคริปโตฯ ไม่ได้ "แยกขาด" (Decouple) จากตลาดการเงินดั้งเดิมเสมอไป โดยเฉพาะในยามวิกฤตระดับโลก
ภาพรวมเหตุการณ์
●    วิกฤต COVID-19 การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้เกิดความตื่นตระหนกไปทั่วโลก รัฐบาลต่างๆ ประกาศล็อกดาวน์
●    Risk-Off นักลงทุนทั่วโลกเทขายสินทรัพย์เสี่ยงทุกชนิด (ไม่ว่าจะเป็น หุ้น, น้ำมัน, ทองคำ และคริปโตฯ) เพื่อถือเงินสด
●    การล่มสลาย ในวันที่ 12 มีนาคม 2020 (Black Thursday) ราคา Bitcoin ร่วงลงกว่า 50% ภายใน 24 ชั่วโมง
●    วิกฤตสภาพคล่อง การเทขายอย่างรุนแรงทำให้เกิดการล้างพอร์ต (Massive Liquidations) ครั้งใหญ่ในตลาดอนุพันธ์ (Futures) โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มที่ใช้ Leverage สูงอย่าง BitMEX

บทเรียนที่สำคัญ
●    คริปโตฯ ยังคงเป็นสินทรัพย์เสี่ยง (Risk Asset) ในภาวะตื่นตระหนกขั้นสุด คริปโตฯ ถูกเทขายเหมือนสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ ไม่ได้ทำหน้าที่เป็น "Safe Haven" (สินทรัพย์หลบภัย) อย่างที่หลายคนคาดหวัง
●    อันตรายของ Leverage (อัตราทด) การใช้ Leverage สูงในตลาดที่ผันผวนคือหายนะ การล่มสลายครั้งนี้เกิดจากการบังคับขาย (Forced Selling) ของ Position ที่ใช้ Leverage
●    สภาพคล่องคือราชา เมื่อทุกคนต้องการขายพร้อมกัน สภาพคล่อง (Liquidity) ในตลาดอาจเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ราคาดิ่งลงอย่างรุนแรง

4. การล่มสลายของ LUNA/Terra (พฤษภาคม 2022) บทเรียนจาก Algorithmic Stablecoin
เหตุการณ์นี้คือการล่มสลายของระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เคยใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก และเป็นบทเรียนราคาแพงเกี่ยวกับความเปราะบางของ Algorithmic Stablecoin
ภาพรวมเหตุการณ์
●    ระบบนิเวศ Terra นำโดยเหรียญ LUNA และ Stablecoin ที่ชื่อว่า TerraUSD (UST)
●    กลไก: UST ไม่ได้มีสินทรัพย์ค้ำประกันแบบดั้งเดิม (เช่น ดอลลาร์ หรือ BTC) แต่ใช้กลไกอัลกอริทึมในการ "เผา" (Burn) และ "สร้าง" (Mint) เหรียญ LUNA เพื่อรักษามูลค่า $1
●    การ De-peg ในเดือนพฤษภาคม 2022, UST เริ่มสูญเสียการตรึงมูลค่า $1 (De-peg) อาจเกิดจากการโจมตี หรือความตื่นตระหนกของตลาด
●    Death Spiral เมื่อ UST หลุด $1 ผู้คนแห่กันถอน UST ไปแลกเป็น LUNA (ตามกลไก) ทำให้ LUNA ถูกผลิตออกมามหาศาล (Hyper-inflation) และราคาร่วงลง -> ยิ่งทำให้คนขาดความเชื่อมั่นใน UST -> วนกลับไปที่จุดเริ่มต้น เกิดเป็น "ภาวะหมุนวนแห่งความตาย"
●    ผลกระทบ มูลค่าของ LUNA และ UST ลดลงเกือบ 100% ภายในไม่กี่วัน เงินลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์หายไป สร้างโดมิโนเอฟเฟกต์ (Contagion) ไปยังบริษัทอื่นๆ ที่ลงทุนใน Terra เช่น Three Arrows Capital (3AC)

บทเรียนที่สำคัญ
●    ความเปราะบางของ Algorithmic Stablecoins โมเดลที่ค้ำประกันด้วยเหรียญที่ตัวเองสร้างขึ้น (แบบ LUNA/UST) มีความเสี่ยงสูงมากเมื่อเจอกับแรงกดดันมหาศาล
●    "Too Big to Fail" ไม่มีจริง แม้จะเป็นโปรเจกต์ที่ใหญ่และได้รับการสนับสนุนจากกองทุนมากมาย ก็สามารถล้มเหลวได้ในพริบตา
●    ความเสี่ยงเชิงระบบ (Systemic Risk) การล้มของหนึ่งโปรเจกต์ยักษ์ใหญ่ สามารถส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมได้

5. การล่มสลายของ FTX (พฤศจิกายน 2022) วิกฤตศรัทธาและความโปร่งใส
การล่มสลายของ FTX อาจเป็นเหตุการณ์ที่ทำลายความเชื่อมั่นมากที่สุดนับตั้งแต่ Mt. Gox เพราะเป็นการล่มสลายของ "ฮีโร่" ในวงการ และเผยให้เห็นการฉ้อโกงครั้งใหญ่
ภาพรวมเหตุการณ์
●    ยักษ์ใหญ่ CEX FTX เป็น Exchange อันดับ 2 ของโลก มีภาพลักษณ์ที่ดี น่าเชื่อถือ และมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลืออุตสาหกรรม
●    การเปิดโปง สื่อ (CoinDesk) เปิดเผยงบดุลของ Alameda Research (บริษัทเทรดในเครือ FTX) ว่าถือเหรียญ FTT (โทเคนของ FTX) ไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นการใช้สินทรัพย์ที่ตัวเองสร้างขึ้นมาค้ำประกัน
●    Bank Run Binance (คู่แข่งอันดับ 1) ประกาศว่าจะเทขายเหรียญ FTT ทั้งหมดที่มี ทำให้เกิดความตื่นตระหนก นักลงทุนแห่ถอนเงินออกจาก FTX (Bank Run)
●    การล่มสลาย FTX ไม่สามารถรองรับการถอนเงินได้ และในที่สุดก็ยอมรับว่าได้นำ "เงินฝากของลูกค้า" ไปให้ Alameda Research กู้ยืมและนำไปใช้ผิดประเภท ทำให้เกิดช่องโหว่หลายพันล้านดอลลาร์
●    ผลกระทบ FTX ประกาศล้มละลาย ผู้ก่อตั้ง (Sam Bankman-Fried) ถูกจับกุม ความเชื่อมั่นต่อ CEX ทั้งหมดดิ่งลงเหว

บทเรียนที่สำคัญ
บทเรียนจาก Mt. Gox ถูกลืม ปัญหา "Not your keys, not your coins" กลับมาอีกครั้ง การฝากเงินไว้กับ CEX คือการไว้ใจพวกเขา 100%
●    ความเสี่ยงจากคู่สัญญา (Counterparty Risk) อันตรายของการที่ Exchange และบริษัทเทรดมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและขาดความโปร่งใส
●    ความจำเป็นของ Proof of Reserves หลังเหตุการณ์ FTX ทำให้เกิดกระแสตื่นตัวเรียกร้องให้ CEX ทั้งหลายต้องแสดง "หลักฐานการถือครองสินทรัพย์" (Proof of Reserves) เพื่อพิสูจน์ว่ามีเงินของลูกค้าอยู่จริง
●    อย่าเชื่อถือบุคคล (Don't trust, verify) แม้แต่บุคคลที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือที่สุดในวงการก็สามารถล้มเหลวหรือทุจริตได้

สาเหตุหลักของตลาดล่มสลาย (Causes of Market Crashes)



การล่มสลายของตลาดไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว แต่เป็นผลพวงของหลายปัจจัยที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกัน โดยสามารถแบ่งสาเหตุหลักได้ดังนี้:
A. ปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic Factors)
ปัจจัย "ภายนอก" ที่ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ทุกประเภท รวมถึงคริปโตฯ
●    นโยบายการเงินที่ตึงตัว
       - การขึ้นอัตราดอกเบี้ย เมื่อธนาคารกลาง (เช่น US Federal Reserve) ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ต้นทุนการกู้ยืมจะสูงขึ้น และการฝากเงินในธนาคารให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น
       - ผลกระทบ นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะ "Risk-Off" คือย้ายเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยง (เช่น หุ้นเทคโนโลยี และ Crypto) ไปยังสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า (เช่น พันธบัตร หรือเงินสด)
●    ภาวะเงินเฟ้อสูง แม้ในตอนแรกคริปโตฯ (โดยเฉพาะ Bitcoin) จะถูกมองว่าเป็น "สินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ" แต่ในทางปฏิบัติ เมื่อเงินเฟ้อสูงจนควบคุมไม่อยู่และบีบให้ธนาคารกลางต้องขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรง ตลาดคริปโตฯ ก็มักจะถูกเทขายเช่นเดียวกับสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ
●    ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว บริษัทมีรายได้ลดลง ผู้คนตกงาน นักลงทุนจะขาดความเชื่อมั่นและสภาพคล่อง ทำให้เกิดการเทขายสินทรัพย์เพื่อถือเงินสด
●    เหตุการณ์ "หงส์ดำ" (Black Swan Events)
       - เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดและส่งผลกระทบรุนแรง เช่น การระบาดใหญ่ของ COVID-19 (มีนาคม 2020) หรือการเกิดสงคราม (เช่น รัสเซีย-ยูเครน)
       - สิ่งเหล่านี้สร้างความตื่นตระหนกทั่วโลก (Global Panic) และนำไปสู่การเทขายสินทรัพย์ทุกอย่างพร้อมกัน (Everything Bubble Burst)

B. ปัจจัยภายในตลาด (Internal Market Factors)
ปัจจัยที่เกิดขึ้นจากกลไกและจิตวิทยาของนักลงทุนในตลาดนั้นๆ
●    ภาวะฟองสบู่ (Speculative Bubbles)
       - การเก็งกำไรที่เกินควร ราคาของสินทรัพย์พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วโดยปราศจากปัจจัยพื้นฐานรองรับ (เช่น ยุคฟองสบู่ ICO ปี 2017)
       - นักลงทุนเข้าซื้อเพราะความโลภและกลัวตกรถ (FOMO) เมื่อราคาถึงจุดสูงสุดและไม่มีแรงซื้อใหม่เข้ามา ฟองสบู่ก็พร้อมที่จะแตก
●    การใช้ Leverage ที่สูงเกินไป (Over-Leveraging)
       - นี่คือ "ตัวเร่ง" ที่สำคัญที่สุดในตลาดคริปโตฯ นักลงทุนใช้เงินกู้ยืม (Margin หรือ Futures) เพื่อขยายขนาดการลงทุน
       - เมื่อราคาลดลงถึงจุดที่กำหนด สถานะ (Position) เหล่านี้จะถูก "บังคับขาย" หรือ "ล้างพอร์ต" (Liquidation)
●    ความตื่นตระหนกและการเทขาย (Panic Selling)
       - เมื่อราคาเริ่มร่วงลงอย่างหนัก นักลงทุน (โดยเฉพาะรายย่อย) จะเกิดความกลัวและเทขายสินทรัพย์ที่ถืออยู่เพื่อตัดขาดทุน (Stop Loss) หรือรักษาส่วนที่เหลือ
       - การเทขายนี้จะยิ่งกดดันให้ราคาลดลงอีก ก่อให้เกิดเป็นวงจร

C. ปัจจัยเฉพาะของคริปโตฯ (Crypto-Specific Catalysts)
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในระบบนิเวศของคริปโตฯ เอง และส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่
●    การล่มสลายของโปรเจกต์ขนาดใหญ่ (Systemic Failures)
       - ตัวอย่าง (LUNA/Terra) การล่มสลายของ Algorithmic Stablecoin (UST) ที่สูญเสียการตรึงมูลค่า (De-peg) นำไปสู่ "Death Spiral" ที่ทำลายระบบนิเวศทั้งหมด และกองทุน LFG ต้องเทขาย Bitcoin ที่ถือไว้เพื่อพยุงราคา ยิ่งทำให้ตลาดพังทลาย
       - ตัวอย่าง (FTX) การล่มสลายของ Exchange ยักษ์ใหญ่ที่เกิดจากการฉ้อโกงและการนำเงินลูกค้าไปใช้ผิดประเภท สร้างความเสียหายและความไม่เชื่อมั่นอย่างรุนแรง
●    การโจมตีหรือแฮ็ก (Hacks & Exploits) การที่โปรโตคอล DeFi หรือสะพานข้ามเชน (Bridges) ถูกแฮ็กและสูญเสียเงินทุนมหาศาล สามารถทำลายความเชื่อมั่นในโปรเจกต์นั้นๆ หรือทั้งระบบได้
●    การ "Bank Run" บนแพลตฟอร์ม
       - เมื่อมีข่าวลือหรือความไม่แน่นอน นักลงทุนจะแห่กันไปถอนเงินออกจาก Exchange หรือโปรโตคอล DeFi พร้อมกัน
       - หากแพลตฟอร์มนั้นขาดสภาพคล่อง (เช่น นำเงินลูกค้าไปลงทุนต่อแบบ FTX หรือ Celsius) ก็จะไม่สามารถรองรับการถอนเงินได้และต้องประกาศล้มละลาย
●    การปราบปรามทางกฎหมาย (Regulatory Crackdowns)
       - การที่รัฐบาลประเทศสำคัญ (เช่น สหรัฐฯ หรือจีน) ประกาศแบนการทำธุรกรรม, การขุด, หรือฟ้องร้อง Exchange/โปรเจกต์ ต่างๆ สร้างความไม่แน่นอนและกระตุ้นให้เกิดการเทขาย

สถานการณ์ของ Crypto เมื่อเกิดเหตุการณ์ล่มสลาย



เมื่อการล่มสลายเกิดขึ้น ตลาดคริปโตฯ จะมีลักษณะเฉพาะที่รุนแรงและรวดเร็วกว่าตลาดดั้งเดิม ดังนี้:
●    กราฟสีแดงทั้งกระดาน (Sea of Red)
       - สินทรัพย์ดิจิทัลเกือบทุกสกุล (ทั้ง Bitcoin, Ethereum และ Altcoins) จะมีราคาดิ่งลงพร้อมกันอย่างรุนแรงภายใน 24 ชั่วโมง
       - Altcoins ที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีพื้นฐานอ่อนแอกว่าจะร่วงลงหนักกว่า Bitcoin (เช่น BTC อาจลง 20% แต่ Altcoins อาจลง 40-60%)
●    การล้างพอร์ตต่อเนื่อง (Massive Liquidations Cascade)
       - นี่คือกลไกสำคัญของการล่มสลายในยุคใหม่
       - เมื่อราคา BTC ร่วงลง 10% -> สถานะ Long ที่ใช้ Leverage 10x จะถูกล้างพอร์ต (บังคับขาย)
       - การบังคับขายนี้จะสร้างแรงขายมหาศาล กดให้ราคาลงไปอีก -> ทำให้สถานะ Long ที่ใช้ Leverage 5x ถูกล้างพอร์ตตาม
       - เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็น "โดมิโน" หรือ "น้ำตก" (Waterfall) ทำให้ราคาดิ่งลงอย่างรวดเร็วและลึกมากภายในไม่กี่ชั่วโมง
●    สภาพคล่องเหือดหาย (Liquidity Disappears)
       - ในภาวะตื่นตระหนก "ผู้ซื้อ" (Bids) จะหายไปจากตลาด ไม่มีใครกล้า "ช้อนซื้อ"
       - ผู้ที่ต้องการขาย (Asks) จะต้องตั้งราคาขายที่ต่ำลงเรื่อยๆ เพื่อให้ขายได้ ทำให้ราคาตกลงอย่างรวดเร็ว (Slippage สูงมาก)
●    "Bank Run" บน Exchange และ DeFi
       - นักลงทุนจะแห่กันถอนเงิน (ทั้งคริปโตฯ และ Stablecoins) ออกจาก Exchange แบบรวมศูนย์ (CEX) และโปรโตคอล DeFi เพื่อเก็บไว้ในกระเป๋าเงินส่วนตัว (Self-Custody)
●    บริการหยุดชะงัก (Service Halts)
       - Exchange หลายแห่งอาจ "ล่ม" หรือ "ปิดปรับปรุง" ชั่วคราว เนื่องจากปริมาณการใช้งานที่สูงเกินไป หรือในบางกรณี (เช่น FTX) คือการ "หยุดการถอน" เพื่อป้องกันการล้มละลาย
●    ภาวะตื่นตระหนกสุดขีด (Extreme Fear)
       - ดัชนี "Fear & Greed Index" จะลดลงไปอยู่ที่ระดับ "Extreme Fear" (ความกลัวสุดขีด)
       - โซเชียลมีเดียจะเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง การตัดพ้อ และข่าวร้าย
●    การส่งต่อวิกฤต (Contagion)
       - การล่มสลายของ entity หนึ่ง จะส่งผลกระทบต่อ entity อื่นที่เชื่อมโยงกัน
       - เช่น LUNA ล่ม -> กองทุน Three Arrows Capital (3AC) ที่ลงทุนใน LUNA ล้มละลาย -> 3AC ที่กู้ยืมเงินจาก Celsius และ Voyager ไม่สามารถคืนเงินได้ -> Celsius และ Voyager ล้มละลายตาม
●    พาดหัวข่าว "Crypto is Dead" สื่อกระแสหลักจะเริ่มรายงานข่าวการล่มสลาย และมักจะมีบทวิเคราะห์ว่า "วงจรคริปโตฯ จบลงแล้ว" หรือ "นี่คือจุดจบของ Bitcoin"

บทสรุป บทเรียนที่ต้องเรียนรู้ (ซ้ำแล้วซ้ำเล่า)
ประวัติศาสตร์การล่มสลายของตลาดคริปโตฯ มักมีรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน แม้รายละเอียดจะต่างกันไป บทเรียนสำคัญที่นักลงทุนทุกคนควรจดจำไว้ มีดังนี้
      1. การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) คือหัวใจ ตลาดนี้ผันผวนสูง อย่าลงทุนด้วยเงินที่คุณยอมเสียไม่ได้ (เงินร้อน, เงินกู้) และการกระจายความเสี่ยง (Diversification) ยังคงเป็นหลักการที่สำคัญ
       2. Hype เกิดขึ้นชั่วคราว พื้นฐานอยู่ถาวร อย่าไล่ตามกระแส (FOMO) โดยปราศจากความเข้าใจ ให้มองหาคุณค่าที่แท้จริง (Utility) ของเทคโนโลยี
      3. ตระหนักถึงความเสี่ยงของ "คนกลาง" ไม่ว่าจะเป็น Exchange (Mt. Gox, FTX) หรือโปรโตคอล (Terra) การรวมศูนย์อำนาจหรือความไว้วางใจไว้ที่จุดเดียวก่อให้เกิดความเสี่ยงเสมอ (พิจารณาการเก็บสินทรัพย์ด้วยตัวเอง หรือ Self-Custody)
       4. Leverage คือดาบสองคม มันสามารถขยายผลกำไร และก็สามารถล้างพอร์ตของคุณได้ในพริบตา จงใช้มันอย่างระมัดระวังที่สุด
       5. ประวัติศาสตร์มักซ้ำรอย การล่มสลายคือส่วนหนึ่งของวัฏจักร มันจะคัดกรองโปรเจกต์ที่ไม่ดีออกไป และผลักดันให้ตลาดเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้นในระยะยาว