DeFi Composability การผสมผสานโปรโตคอลเพื่อสร้างบริการทางการเงินรูปแบบใหม่

เริ่มโดย Support-3, วันนี้ เวลา 01:06:42 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

Support-3

DeFi Composability



      ในโลกของการเงินแบบดั้งเดิม (Traditional Finance - TradFi) ระบบการเงินมักถูกสร้างขึ้นแบบ "ไซโล" (Siloed) กล่าวคือ ธนาคารหนึ่งแห่งจะมีระบบภายในที่เป็นปิด ไม่สามารถเชื่อมต่อกับธนาคารอื่นหรือแอปพลิเคชันภายนอกได้อย่างอิสระ แต่ในโลกของ Decentralized Finance (DeFi) หัวใจสำคัญที่ทำให้ระบบนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดดคือแนวคิดที่เรียกว่า "Composability" หรือความสามารถในการประกอบร่างกันได้ ซึ่งเปรียบเสมือนตัวต่อ LEGO ทางการเงิน (Money LEGOs)

นิยามและหลักการทำงานของ DeFi Composability
      DeFi Composability คือ ความสามารถของแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (dApps) และโปรโตคอลต่างๆ บนบล็อกเชน (โดยเฉพาะ Ethereum) ในการสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล และทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ โดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาต (Permissionless)

ความหมายในเชิงเทคนิค
       ในทางเทคนิค Composability เกิดขึ้นได้เพราะ Smart Contracts (สัญญาอัจฉริยะ) บนบล็อกเชนสาธารณะนั้นเป็น Open Source และมีความเป็นมาตรฐาน (Standardized)
       ● Interoperability (การทำงานร่วมกัน) Smart Contract หนึ่งสามารถเรียกใช้งานฟังก์ชันของ Smart Contract อีกตัวหนึ่งได้ ตัวอย่างเช่น โปรโตคอล A สามารถเรียกใช้สภาพคล่อง (Liquidity) จากโปรโตคอล B ได้โดยตรงผ่าน Code
       ● Atomic Transactions (ธุรกรรมแบบอะตอมมิค) การผสมผสานนี้สามารถเกิดขึ้นได้ใน "ธุรกรรมเดียว" (Single Transaction) หมายความว่าคำสั่งหลายๆ ขั้นตอนที่เกี่ยวเนื่องกับหลายโปรโตคอล จะต้องสำเร็จทั้งหมด หรือหากมีจุดไหนล้มเหลว ธุรกรรมทั้งหมดจะถูกยกเลิก (Revert) ทันที เพื่อป้องกันความผิดพลาดของยอดเงิน

ทำไมถึงเรียกว่า Money LEGOs?
ลองจินตนาการว่าแต่ละโปรโตคอลคือตัวต่อ LEGO
       ● LEGO ตัวที่ 1 (Uniswap) ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนเหรียญ
       ● LEGO ตัวที่ 2 (Compound) ทำหน้าที่ปล่อยกู้และรับฝากสินทรัพย์
       ● LEGO ตัวที่ 3 (MakerDAO) ทำหน้าที่สร้าง Stablecoin (DAI)

       นักพัฒนาสามารถนำ LEGO ทั้งสามตัวนี้มาต่อกันเพื่อสร้าง "ยานอวกาศ" (บริการทางการเงินใหม่) ได้ เช่น สร้างระบบที่รับฝาก ETH (MakerDAO) เพื่อกู้ DAI ออกมา แล้วนำ DAI ไปฝากกินดอกเบี้ย (Compound) และนำดอกเบี้ยที่ได้ไปแลกเป็นเหรียญอื่น (Uniswap) ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

เลเยอร์ของโครงสร้าง Composability (The DeFi Stack)



เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าการผสมผสานเกิดขึ้นได้อย่างไร เราต้องมองโครงสร้างของ DeFi เป็นชั้นๆ (Layers) ซึ่งแต่ละชั้นจะเอื้อให้ชั้นที่อยู่เหนือกว่าทำงานได้
Layer 1: Settlement Layer (ชั้นการชำระบัญชี)
นี่คือรากฐานที่สุด (เช่น Ethereum Blockchain) ทำหน้าที่บันทึกสถานะความถูกต้องของธุรกรรมและเก็บรักษาสินทรัพย์ กฎเกณฑ์ทุกอย่างถูกบังคับใช้ที่ชั้นนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครโกงระบบได้
Layer 2: Asset Layer (ชั้นสินทรัพย์)
คือมาตรฐานของโทเคนต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้นบน Layer 1 ส่วนใหญ่คือมาตรฐาน ERC-20 (สำหรับ Fungible Token) หรือ ERC-721 (สำหรับ NFT) การมีมาตรฐานเดียวกันทำให้สินทรัพย์จากแอปหนึ่ง สามารถนำไปใช้ในอีกแอปหนึ่งได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลงค่า
Layer 3: Protocol Layer (ชั้นโปรโตคอล)
นี่คือชั้นของ Smart Contracts ที่กำหนดกฎเกณฑ์ทางการเงินเฉพาะทาง เช่น
       ● Decentralized Exchanges (DEXs) Uniswap, Curve
       ● Lending Protocols Aave, Compound
       ● Derivatives Synthetix, dYdX โปรโตคอลเหล่านี้ทำงานเป็นอิสระ แต่เปิดช่องทาง (API/ABI) ให้คนอื่นมาเชื่อมต่อได้
Layer 4: Application / Aggregation Layer (ชั้นแอปพลิเคชัน)
ชั้นบนสุดคือส่วนที่ผู้ใช้งาน (User Interface) สัมผัส หรือเป็นจุดที่นำโปรโตคอลใน Layer 3 มามัดรวมกัน (Aggregation) เพื่อสร้างบริการที่ดีกว่า เช่น
       ● Yield Aggregators (e.g., Yearn Finance) ที่จะคอยย้ายเงินฝากของเราไปยังโปรโตคอลใน Layer 3 ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดโดยอัตโนมัติ
       ● DEX Aggregators (e.g., 1inch) ที่จะดึงราคาจากหลายๆ DEX เพื่อให้ผู้ใช้ได้เรทแลกเปลี่ยนที่ดีที่สุด

ประโยชน์มหาศาลของการผสมผสาน (The Power of Composability)
Composability คือ เครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมใน DeFi ด้วยเหตุผลสำคัญดังนี้
นวัตกรรมที่ไร้ขอบเขต (Permissionless Innovation)
       นักพัฒนาไม่จำเป็นต้องสร้างทุกอย่างใหม่ตั้งแต่ศูนย์ (Reinventing the wheel) หากต้องการสร้างแอปพลิเคชันซื้อขายที่ต้องมีการกู้ยืมด้วย พวกเขาสามารถดึงระบบกู้ยืมของ Aave มาใช้ได้เลย ไม่ต้องสร้างระบบกู้ยืมเอง สิ่งนี้ทำให้เกิดการพัฒนาที่รวดเร็วมาก (Rapid Prototyping)
ประสิทธิภาพของเงินทุน (Capital Efficiency)
ในโลก TradFi สินทรัพย์มักจะ "อยู่นิ่ง" แต่ใน DeFi สินทรัพย์เดียวกันสามารถถูกใช้งานได้หลายต่อ (Rehypothecation)
       ● ตัวอย่าง คุณฝาก ETH ใน Aave ได้รับ aToken (หลักฐานการฝาก) -> นำ aToken ไปค้ำประกันเพื่อกู้ Stablecoin -> นำ Stablecoin ไปทำ Yield Farming ในอีกโปรโตคอลหนึ่ง
       ● เงินก้อนเดียวสามารถสร้างมูลค่าได้ในหลายโปรโตคอลพร้อมกัน
ปรากฏการณ์เครือข่าย (Network Effects)
        ยิ่งมีโปรโตคอลเชื่อมต่อกันมากเท่าไหร่ ระบบนิเวศโดยรวมก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น โปรโตคอลใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวสามารถมีสภาพคล่องมหาศาลได้ทันที เพียงแค่เชื่อมต่อกับโปรโตคอลที่มีอยู่แล้ว (Bootstrapping Liquidity)

กรณีศึกษาจริง การผสมผสานสร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้อย่างไร



เพื่อให้เห็นภาพ "ความละเอียด" ของการทำงานร่วมกัน ลองดูตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงและซับซ้อนเหล่านี้:
A. Flash Loans (เงินกู้ชั่วพริบตา)
Flash Loans คือสุดยอดนวัตกรรมที่เกิดขึ้นได้เพราะ Composability เท่านั้น
       ● หลักการ คุณสามารถกู้เงินจำนวนมหาศาล (เช่น 100 ล้านดอลลาร์) โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่มีข้อแม้ว่า "ต้องคืนเงินภายในบล็อกธุรกรรมเดียวกัน"
       ● กระบวนการผสมผสาน
           1.    กู้เงินจาก Aave (Flash Loan)
           2.    นำเงินไปซื้อเหรียญราคาถูกที่ Uniswap
           3.    นำเหรียญไปขายแพงที่ SushiSwap (Arbitrage)
           4.    นำกำไรส่วนต่างเก็บไว้ และคืนเงินต้นพร้อมค่าธรรมเนียมให้ Aave
       ● ทั้งหมดนี้เขียนอยู่ใน Smart Contract เดียว หากขั้นตอนใดล้มเหลว ธุรกรรมทั้งหมดจะถูกยกเลิกเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น
B. Yield Farming & Vampire Attacks
       ● SushiSwap Vampire Attack SushiSwap เปิดตัวโดยไม่มีสภาพคล่องของตัวเอง แต่ใช้ Composability โดยบอกผู้ใช้ว่า "ให้นำ LP Token (หลักฐานการฝากเงิน) จาก Uniswap มาฝากที่ SushiSwap แล้วเราจะให้เหรียญ SUSHI เป็นรางวัล"
       ● วิธีนี้ SushiSwap สามารถดูดสภาพคล่องจาก Uniswap มาได้โดยตรง เพราะ Smart Contract ของ SushiSwap สามารถอ่านและเข้าใจ LP Token ของ Uniswap ได้

C. Tokenized Strategies (เช่น Yearn Vaults)
ผู้ใช้ฝากเหรียญเข้าไปใน Yearn Finance (Vault) ระบบของ Yearn จะทำหน้าที่เป็น "หุ่นยนต์ผู้จัดการกองทุน"
           1.    รับเหรียญจากผู้ใช้
           2.    เช็คว่า Aave, Compound, หรือ dYdX ที่ไหนดอกเบี้ยดีสุด
           3.    ย้ายเงินไปที่นั่น
           4.    เมื่อได้กำไร (Token) มา ก็จะทำการขาย Token นั้นกลับเป็นเหรียญต้นทาง แล้วทบต้น (Compound) เข้าไปใหม่
           5.    ผู้ใช้ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากถือเหรียญของ Yearn ไว้

ความเสี่ยง ดาบสองคมของ Composability
แม้จะมีประโยชน์มหาศาล แต่การเชื่อมต่อกันอย่างหนาแน่นก็นำมาซึ่งความเสี่ยงระดับวิกฤต (Systemic Risk)
1 ความเสี่ยงแบบโดมิโน (Contagion Risk)
เนื่องจากโปรโตคอล A เชื่อมกับ B และ B เชื่อมกับ C หากโปรโตคอล A ถูกแฮ็กหรือล้มเหลว:
●    สินทรัพย์ใน B ที่อิงมูลค่าจาก A อาจจะด้อยค่าลงทันที
●    ผู้ใช้ใน C ที่ใช้สินทรัพย์จาก B เป็นหลักประกัน อาจถูกบังคับขาย (Liquidation)
●    ตัวอย่าง หาก Stablecoin หลักอย่าง DAI หลุด Peg (มูลค่าไม่เท่ากับ 1 ดอลลาร์) โปรโตคอล DeFi เกือบทั้งหมดที่ใช้ DAI จะพังครืนลงมาเหมือนบ้านไพ่ (House of Cards)
2 ความซับซ้อนที่ตรวจสอบยาก (Complexity)
  เมื่อมีการซ้อนทับกันหลายชั้น (Money LEGOs ต่อกันสูงเกินไป) การตรวจสอบความปลอดภัย (Audit) จะทำได้ยากมาก เพราะเราไม่ได้ตรวจสอบแค่ Code ของเรา แต่ต้องตรวจสอบว่า Code ของเราจะทำปฏิกิริยาอย่างไรกับ Code ของคนอื่น ซึ่งอาจมีการอัปเดตเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
3 ค่าธรรมเนียม (Gas Costs)
       ยิ่งธุรกรรมมีความซับซ้อน (เรียกใช้หลาย Smart Contract ในครั้งเดียว) ค่าธรรมเนียมในการประมวลผล (Gas) ก็จะยิ่งสูงขึ้น ทำให้ผู้รายย่อยอาจเข้าถึงบริการที่ซับซ้อนได้ยากในช่วงที่เครือข่ายหนาแน่น

อนาคตของ Composability ยุค Multi-Chain และ Layer 2
       ปัจจุบัน DeFi กำลังขยายตัวออกจาก Ethereum ไปสู่ Layer 2 (เช่น Arbitrum, Optimism) และเชนอื่นๆ (เช่น Solana, Avalanche) สิ่งนี้สร้างความท้าทายใหม่
       ● Fragmentation (การกระจัดกระจาย) Composability มักจะทำงานได้ดีที่สุดภายในเชนเดียวกัน (Synchronous) แต่การข้ามเชน (Asynchronous) นั้นทำได้ยากและช้ากว่า
       ● Cross-Chain Composability อนาคตของ DeFi คือ การแก้ปัญหานี้ โดยการสร้างมาตรฐานการสื่อสารข้ามเชน (เช่น LayerZero หรือ Chainlink CCIP) เพื่อให้เราสามารถกู้เงินจากเชนหนึ่ง และไปวางค้ำประกันในอีกเชนหนึ่งได้อย่างราบรื่น

บทสรุป
       DeFi Composability ไม่ใช่แค่ฟีเจอร์ทางเทคนิค แต่เป็นปรัชญาพื้นฐานของการเงินยุคใหม่ มันเปลี่ยนจากการสร้างระบบแบบ "ป้อมปราการ" (ธนาคาร) มาเป็น "สนามเด็กเล่น" ที่ทุกคนสามารถนำชิ้นส่วนที่มีอยู่มาประกอบสร้างสิ่งใหม่ได้
       แม้จะมีความเสี่ยงจากการเชื่อมโยงที่ซับซ้อน แต่ศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมที่เติบโตแบบ Exponential นั้นคุ้มค่าต่อการพัฒนา หากเปรียบเทียบกับอินเทอร์เน็ต เราอาจกำลังอยู่ในยุคที่เว็บไซต์ต่างๆ เริ่มลิงก์หากันได้ ซึ่งนำไปสู่การปฏิวัติข้อมูลข่าวสาร DeFi Composability ก็กำลังทำสิ่งเดียวกันนั้น แต่ทำกับ "มูลค่า" และ "เงินตรา" ของโลก