ข่าว:

กระทู้ล่าสุด

#1
พื้นฐาน Crypto / Altcoin คืออะไร? ความแตกต่างจา...
กระทู้ล่าสุด โดย Support-3 - เมื่อวานนี้ เวลา 01:53:00 หลังเที่ยง
วันนี้มาทำความรู้จักกับโลกของคริปโตเคอร์เรนซีที่น่าตื่นเต้นและน่าสนใจ++ ทุกคนคงรู้จัก Bitcoin กันดี แต่รู้หรือไม่ว่าในโลกคริปโตนั้นไม่ได้มีแค่ Bitcoin เท่านั้น? ยังมีเหรียญทางเลือกที่น่าสนใจอีกมากมายที่เรียกว่า "Altcoin" ซึ่งหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าในบางช่วงเวลาที่เรียกว่า "Alt Season" เหรียญเหล่านี้สามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า Bitcoin เสียอีก! ไปดูกันเลยค่ะ



Altcoin คืออะไร?
•    Altcoin คือ สกุลเงินดิจิทัลทางเลือกทั้งหมดที่ไม่ใช่ Bitcoin มาจากคำว่า "Alternative Coin" ปัจจุบันมีมากกว่า 11,000 สกุลเงิน และครองส่วนแบ่งตลาดคริปโตประมาณ 40% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด
•  เหรียญ Altcoin แต่ละตัวถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของ Bitcoin เช่น Ethereum ที่เพิ่มความสามารถด้านสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) หรือ Cardano ที่เน้นความเร็วและประหยัดพลังงาน
•    Altcoin มีทั้งแบบที่เป็น Utility Token สำหรับใช้งานในระบบนิเวศดิจิทัล, Governance Token สำหรับร่วมบริหารโครงการ และ Security Token ที่เชื่อมโยงกับสินทรัพย์ในโลกจริง
•    ระบบเศรษฐศาสตร์ของ Altcoin เรียกว่า Tokenomics ซึ่งกำหนดจำนวนเหรียญและการกระจายตัว บางเหรียญมีจำนวนจำกัด บางเหรียญสามารถสร้างเพิ่มได้ไม่จำกัด
•    นักลงทุนสามารถได้มาซึ่ง Altcoin ได้หลายวิธี ทั้งการซื้อขายในตลาด การทำ Staking เพื่อรับผลตอบแทน การทำ Yield Farming เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง หรือการเข้าร่วม ICO ในช่วงเริ่มต้นโครงการ
•    Altcoin ที่ได้รับความนิยมสูง เช่น Ethereum (ETH) ที่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับแอพพลิเคชั่นกระจายศูนย์, Binance Coin (BNB) ที่ใช้ในระบบนิเวศของ Binance, และ Cardano (ADA) ที่เน้นการพัฒนาอย่างมีหลักการทางวิชาการ
•  การลงทุนใน Altcoin สามารถทำได้ผ่านแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. โดยสามารถเริ่มต้นได้ด้วยเงินลงทุนเพียงหลักสิบบาท แต่ควรศึกษาข้อมูลให้ดีเพราะมีความเสี่ยงและความผันผวนสูง

Bitcoin คืออะไร?
•    Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลเหรียญแรกของโลกที่สร้างขึ้นในปี 2008 โดย Satoshi Nakamoto ที่นำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ให้เกิดการกระจายศูนย์อย่างแท้จริง
•  จุดเด่นของ Bitcoin คือเป็นระบบการเงินแบบ Peer-to-Peer ที่ไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางอย่างธนาคารหรือรัฐบาล ทำให้ทุกคนสามารถทำธุรกรรมถึงกันได้โดยตรง รวดเร็ว ค่าธรรมเนียมต่ำ และมีความปลอดภัยสูง
•    Bitcoin มีจำนวนจำกัดเพียง 21 ล้านเหรียญ โดยใช้ระบบ Proof-of-Work ในการขุดเหรียญใหม่ผ่านนักขุด (Miner) ที่ช่วยตรวจสอบธุรกรรมบนเครือข่าย
•    ทุก ๆ 4 ปี จะมีเหตุการณ์ Bitcoin Halving ที่ลดจำนวนรางวัลจากการขุดลงครึ่งหนึ่ง เกิดขึ้นทุก 210,000 บล็อก เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
•    Bitcoin ถูกออกแบบให้เป็นทั้งสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนและเป็นสินทรัพย์เก็บมูลค่า จึงมักถูกเรียกว่าเป็น "ทองคำดิจิทัล" เพราะมีคุณสมบัติคล้ายทองคำที่มีจำนวนจำกัดและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก
สามารถใช้ Bitcoin ในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ ปลอดภัย และโปร่งใส เพราะทุกธุรกรรมจะถูกบันทึกไว้บนบล็อกเชนที่ใครๆ ก็สามารถตรวจสอบได้นะคะ


ความแตกต่างระหว่าง Bitcoin และ Altcoin
Bitcoin และ Altcoin มีบทบาทที่แตกต่างกันในระบบนิเวศคริปโต โดย Bitcoin เปรียบเสมือนทองคำดิจิทัลที่มั่นคงและน่าเชื่อถือ ในขณะที่ Altcoin เป็นเหมือนนวัตกรรมทางการเงินที่มีความหลากหลายและโอกาสเติบโตสูง แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่สูงกว่าเช่นกัน
มีรายละเอียดสำคัญดังนี้
ด้านจุดกำเนิดและการพัฒนา
o    Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลเหรียญแรกที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน สร้างโดย Satoshi Nakamoto ที่หายตัวไปอย่างลึกลับ ทำให้ไม่มีผู้ควบคุมระบบอย่างแท้จริง
o    Altcoin เป็นเหรียญที่พัฒนาขึ้นในภายหลัง โดยส่วนใหญ่มีองค์กรหรือทีมพัฒนาที่ชัดเจน ยังคงมีการพัฒนาและปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่อง
ด้านจุดประสงค์การใช้งาน
o    Bitcoin ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนและเก็บมูลค่า มีฟังก์ชันการใช้งานพื้นฐาน แต่ได้รับความเชื่อถือสูง จนได้ฉายาว่าเป็น "ทองคำดิจิทัล"
o    Altcoin มีจุดประสงค์การใช้งานที่หลากหลายกว่า เช่น การทำสัญญาอัจฉริยะ การสร้างแพลตฟอร์มกระจายศูนย์ หรือการใช้งานเฉพาะทางต่าง ๆ
ด้านการกระจายศูนย์
o    Bitcoin มีการกระจายศูนย์อย่างแท้จริง มีโหนดผู้ตรวจสอบธุรกรรมกระจายอยู่ทั่วโลก ทำให้การแก้ไขข้อมูลทำได้ยากมาก
o    Altcoin แม้จะใช้ระบบ DAO (Decentralized Autonomous Organization) แต่ยังมีทีมพัฒนาที่สามารถเข้ามาแก้ไขระบบได้ จึงไม่ได้กระจายศูนย์เท่า Bitcoin
ด้านความน่าเชื่อถือและความผันผวน
o    Bitcoin มีความน่าเชื่อถือสูง มูลค่าตลาดมากที่สุด และมีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด ทำให้ราคามีเสถียรภาพมากกว่า
o    Altcoin มีอัตราการเติบโตที่สูงมาก แต่ก็มาพร้อมความผันผวนที่สูงเช่นกัน เนื่องจากมูลค่าตลาดและสภาพคล่องที่น้อยกว่า
ด้านเทคโนโลยี
o    Bitcoin มีฟังก์ชันการใช้งานพื้นฐาน เน้นความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือเป็นหลัก
o    Altcoin ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนรุ่นใหม่กว่า สามารถแก้ไขข้อบกพร่องของ Bitcoin และเพิ่มความสามารถใหม่ ๆ เช่น ความเร็วในการทำธุรกรรม หรือการประหยัดพลังงาน
ด้านจำนวนและการสร้างเหรียญ
o    Bitcoin มีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ และใช้ระบบ Proof-of-Work ในการขุด โดยมี Halving ทุก 4 ปีเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
o    Altcoin มีทั้งแบบจำกัดและไม่จำกัดจำนวน ขึ้นอยู่กับ Tokenomics ของแต่ละเหรียญ และมีวิธีการได้มาที่หลากหลาย เช่น Staking, Yield Farming หรือ ICO
ด้านการยอมรับในระดับสากล
o    Bitcoin ได้รับการยอมรับในระดับโลก มีประเทศและบริษัทขนาดใหญ่นำไปใช้เป็นทางการ บางประเทศถึงขั้นประกาศให้เป็นสกุลเงินที่ถูกกฎหมาย
o    Altcoin ยังได้รับการยอมรับในวงจำกัด ส่วนใหญ่จะเป็นที่นิยมในกลุ่มนักลงทุนคริปโต หรือผู้ใช้งานเฉพาะในระบบนิเวศของแต่ละเหรียญ
ด้านความเสี่ยงในการลงทุน
o    Bitcoin มีความเสี่ยงต่ำกว่าเมื่อเทียบกับคริปโตอื่น ๆ เพราะมีประวัติการซื้อขายยาวนาน มีสภาพคล่องสูง และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
o    Altcoin มีความเสี่ยงสูงกว่า มีโอกาสที่ราคาจะพุ่งขึ้นหรือร่วงลงอย่างรุนแรง บางเหรียญอาจล้มเหลวและหายไปจากตลาด
ด้านการพัฒนาในอนาคต
o    Bitcoin มีการพัฒนาที่ค่อนข้างช้าและระมัดระวัง เน้นรักษาเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือของระบบเป็นหลัก
o    Altcoin มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง มีการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้
ด้านการนำไปใช้งานจริง
o    Bitcoin เน้นการใช้งานเป็นสื่อกลางในการชำระเงินและเก็บมูลค่า มีร้านค้าและธุรกิจจำนวนมากทั่วโลกยอมรับ
o    Altcoin มีการใช้งานที่หลากหลายในโลก DeFi, NFT, Gaming และ Web3 แต่ส่วนใหญ่ยังจำกัดอยู่ในวงการคริปโตเป็นหลัก

ข้อดีและข้อเสียของ Altcoin
ข้อดีของ Altcoin
1.    มีการพัฒนาและแก้ไขจุดอ่อนของ Bitcoin ทำให้มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าในหลายด้าน เช่น ความเร็วในการทำธุรกรรม การประหยัดพลังงาน
2.    มีความหลากหลายในการใช้งาน ทั้งสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract), DeFi, NFT, Gaming และอื่น ๆ ทำให้ตอบโจทย์ความต้องการได้มากกว่า
3.    มีโอกาสเติบโตสูง เนื่องจากหลายโครงการยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เมื่อประสบความสำเร็จอาจให้ผลตอบแทนที่สูงมาก
4.    มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เพราะมีทีมพัฒนาที่ชัดเจนและยังทำงานอยู่
5.    สามารถสร้างรายได้ผ่านการ Staking หรือ Yield Farming ซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนแบบดั้งเดิม
6.    เหมาะสำหรับการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนคริปโต เพราะมีให้เลือกหลากหลายและราคาถูกกว่า Bitcoin
7.    มีระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เชื่อมโยงกัน ทำให้เกิดการใช้งานจริงและสร้างมูลค่าเพิ่ม
8.    สามารถเริ่มต้นลงทุนได้ด้วยเงินจำนวนน้อย เพราะราคาต่อเหรียญถูกกว่า Bitcoin มาก
9.    มีโอกาสในการสร้างชุมชนและการมีส่วนร่วมสูง ผ่านระบบ DAO และ Governance Token
10.    มีความยืดหยุ่นในการพัฒนาและปรับปรุงระบบสูง เพราะไม่ติดข้อจำกัดด้านการกระจายศูนย์เท่า Bitcoin
ข้อเสียของ Altcoin
1.    มีความผันผวนสูงมาก ราคาสามารถพุ่งขึ้นหรือร่วงลงอย่างรุนแรงได้ในเวลาอันสั้น
2.    มีความเสี่ยงสูงที่โครงการจะล้มเหลวหรือถูกทิ้งร้าง เพราะมีการแข่งขันสูงและหลายโครงการยังไม่มีการใช้งานจริง
3.    สภาพคล่องต่ำกว่า Bitcoin ทำให้การซื้อขายในปริมาณมากอาจส่งผลกระทบต่อราคารุนแรง
4.    มีความเสี่ยงจากการถูกแฮ็ก โดยเฉพาะในโครงการใหม่ที่ยังไม่ได้รับการทดสอบมากพอ
5.    การยอมรับในวงกว้างยังน้อยกว่า Bitcoin มาก ทำให้การนำไปใช้งานจริงทำได้จำกัด
6.    ยากต่อการประเมินมูลค่าที่แท้จริง เพราะหลายโครงการยังไม่มีรายได้หรือการใช้งานจริง
7.    มีความเสี่ยงจากการเป็นโครงการหลอกลวง (Scam) เนื่องจากมีเหรียญใหม่เกิดขึ้นมากมาย
8.    ขาดความต่อเนื่องในการพัฒนา หากทีมผู้พัฒนาเปลี่ยนใจหรือย้ายไปทำโครงการอื่น
9.    มีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ เพราะหลายประเทศยังไม่มีกฎหมายรองรับชัดเจน
10.    การแข่งขันสูงระหว่าง Altcoin ด้วยกันเอง ทำให้ยากที่จะคาดเดาว่าเหรียญไหนจะอยู่รอดในระยะยาว

สรุป
•    Altcoin คือ สกุลเงินดิจิทัลทั้งหมดที่ไม่ใช่ Bitcoin รู้จักกันในนามที่เรียกว่า "เหรียญทางเลือก" ที่ถูกพัฒนาขึ้นภายหลังโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน
•    แต่ละ Altcoin มีจุดประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกัน เช่น การทำสัญญาอัจฉริยะ การสร้างเกม หรือการเป็นแพลตฟอร์มสำหรับ DeFi
•    ปัจจุบันมี Altcoin มากกว่า 11,000 สกุล คิดเป็น 40% ของมูลค่าตลาดคริปโตทั้งหมด โดย Ethereum (ETH) เป็น Altcoin ที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุด
•    Altcoin มีทั้งข้อดีที่มีการพัฒนาและฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายกว่า Bitcoin และข้อเสียที่มีความผันผวนสูงและความเสี่ยงในการล้มเหลวของโครงการ
•    การลงทุนใน Altcoin จึงเหมาะสำหรับผู้ที่เข้าใจเทคโนโลยีและยอมรับความเสี่ยงสูงได้ ควรศึกษาข้อมูลโครงการให้ดีและกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงนั้นเอง
#2
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / ต่อ: Forex Signal
กระทู้ล่าสุด โดย narjant - กุมภาพันธ์ 07, 2025, 12:49:02 หลังเที่ยง
#3
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / Forex Signal
กระทู้ล่าสุด โดย narjant - กุมภาพันธ์ 07, 2025, 12:47:19 หลังเที่ยง
สัญญาณเทรด 7/2/2025

Sell : EURUSD

จุดเข้า : ตอนนี้

TP : 1.02700

SL :  1.04800
=============
Sig Telegrame
#4
การวิเคราะห์ทางเทคนิค / วิธีในการดูแนวโน้มระหว่างวันร่...
กระทู้ล่าสุด โดย support-1 - กุมภาพันธ์ 07, 2025, 02:27:23 ก่อนเที่ยง
สำหรับเทรดเดอร์ทุกคน แนวโน้มเป็นภาพรวมของตลาดขณะที่ต้องการจะกระทำการเทรด มันเป็นเสมือนสายน้ำที่เอาขึ้นทั้งสิ้นได้แล้วก็สามารถต่ำลงทั้งสิ้นได้เหมือนกัน สำหรับเทรดเดอร์รายวัน แนวโน้มของตลาดระหว่างวันนั้นสามารถสร้างไม่เหมือนกันระหว่าง SESSION ของกำไรกับการขาดทุนได้ โดยการเทรดไปกับแนวโน้มระหว่างวัน

เนื่องมาจากแนวโน้มเป็นภาพรวมที่ดูเหมือนกับว่าจะถูกลบออกจากการเคลื่อนไหวของแผนภูมิราคาในขณะนี้ โดยเหตุนี้เทรดเดอร์เป็นจำนวนมากจะถูกลวงล่อให้ออกจากการเคลื่อนไหวของแผนภูมิราคาหรือออกมาจากสมการแนวโน้ม พวกเขาใช้เส้นค่าถัวเฉลี่ยราคาเคลื่อน ที่อยู่ไกลเพื่อระบุแนวโน้มของตลาดและไม่คิดถึงต้นสายปลายเหตุสำหรับเพื่อการเคลื่อนของแผนภูมิราคา เทรดเดอร์กลุ่มนี้ไม่มีวัสดุรับรองที่สำคัญ

การใช้อินดิเคเตอร์เพื่อเจาะจงแนวโน้มระหว่างวันนั้นมีเหตุผล แต่ถ้าเกิดพวกเราเชื่อมโยงพวกเขากับการเคลื่อนไหวของแผนภูมิราคาได้ พวกเราจะสามารถเพิ่มความรู้ความเข้าใจของพวกเขาได้

1. อินดิเคเตอร์เส้นค่าถัวเฉลี่ยราคาเคลื่อนกับ PRICE ACTION

แนวทางแบบนี้จะใช้อินดิเคเตอร์เส้นค่าถัวเฉลี่ยราคาเขยื้อน SMA20 คู่กับการเคลื่อนไหวของแผนภูมิราคา เพื่อแจกแจงแนวโน้มระหว่างวัน โดยเบื้องต้นแล้วพวกเรากำลังมองหาการถอยกลับของกระบวนการทำ HH ในตอนแนวโน้มขาขึ้นเพื่อรับรองตลาดวัวกระทิง เวลาที่มองหาการถอยกลับของแผนภูมิราคา LL เพื่อรับรองตลาดหมีด้วยเหมือนกัน


729.png

ทดลองมองหาสิ่งพวกนี้ เพื่อการันตีแนวโน้มขาขึ้น :

1. แผนภูมิราคาพากเพียรจะไปสัมผัสเส้นค่าถัวเฉลี่ยเขยื้อน
2. แผนภูมิราคายังคงต่ำลงยิ่งกว่าเส้นค่าถัวเฉลี่ยราคาเคลื่อนอย่างต่ำหนึ่งแท่ง
3. เมื่อแผนภูมิราคาปรับพฤติกรรมขึ้นไปสูงขึ้นยิ่งกว่าเส้นค่าถัวเฉลี่ยราคาแล้ว แผนภูมิราคาจำเป็นจะต้องทำระดับย้อนกลับมาสู่เส้นค่าถัวเฉลี่ยราคาอีกที
4. ต่อไปแผนภูมิราคาจะทำตำแหน่งสูงมากขึ้น เพื่อเป็นการรับรองตลาดวัวกระทิงแผนภูมิราคาจึงควรทำระดับที่ค่อนข้างสูงกว่าแผนภูมิแท่งที่อยู่เหนือเส้นค่าถัวเฉลี่ย

ถ้าอยากการันตีแนวโน้มตลาดขาลง ระหว่างวันให้มองหาสิ่งต่อแต่นี้ไป :

1. แผนภูมิราคาจะมานะแตะต้องค่าถัวเฉลี่ยเคลื่อน
2. แผนภูมิราคายังคงสูงขึ้นมากยิ่งกว่าเส้นค่าถัวเฉลี่ยราคาอย่างต่ำหนึ่งแท่ง
3. ภายหลังที่แผนภูมิราคาปรับนิสัยลงไปแตะต้องเส้นค่าถัวเฉลี่ยแล้ว แผนภูมิราคาจะทำขั้นสูงขึ้นมาเพื่อแตะต้องเส้นค่าถัวเฉลี่ยอีกรอบ ก่อนที่จะแผนภูมิราคาจะลงไปสู่ตลาดขาลงอีกครั้ง
4. แนวโน้มตลาดหมีจะรับรองได้ ต่อเมื่อแผนภูมิราคาทำระดับที่ค่อนข้างต่ำกว่า แผนภูมิแท่งเทียนแท่งที่ต่ำสุด

2. ช่อง CHANNEL ของแผนภูมิราคากับ PRICE ACTION

ในแนวทางลำดับที่สองนี้แทนที่จะใช้ค่าถัวเฉลี่ยเขยื้อนแบบง่ายเพียงแต่เส้นเดียว พวกเราจะใช้สองเส้นโดยพวกเราจะยังคงใช้เส้นค่าถัวเฉลี่ยราคา SMA20 โดยการผลิตให้เป็นช่อง CHANNEL ด้วยเส้นแรก APPLY HIGHT และก็อีกเส้น APPLY LOW พวกเราจะได้เส้นผลสร้างวิถีทางราคาเพื่อช่วยพวกเราสำหรับเพื่อการมองหาแนวโน้มระหว่างวัน

ด้วยเหตุว่าอินดิเคเตอร์ตัวนี้ การทำงานสลับซับซ้อนกว่าแบบแรกฉะนั้นการแปลความหมายก็เลยง่ายดายยิ่งกว่า เมื่อแผนภูมิแท่งเทียนราคาสองแท่งอยู่เหนือช่อง CHANNEL อย่างสมบูรณ์พวกเราจะกำหนดว่าเป็นแถวโน้มขาขึ้น และก็เมื่อแผนภูมิราคาสองแท่งอยู่ข้างล่างของช่อง CHANNEL พวกเราจะกำหนดให้เป็นแถวโน้มขาลง

แบบอย่างข้างล่างชี้ให้เห็นว่าช่อง CHANNEL ช่วยระบุแนวโน้มความเคลื่อนไหวระหว่างวันได้ยังไง

• ถึงแม้ว่าตลาดจะมากขึ้นอย่างเร็วตั้งแต่ระยะนี้เปิดขึ้นตามแนวทางนี้พวกเราสามารถระบุแนวโน้มโค ณ จุดนี้เพียงแค่นั้น

• แท่งทั้งคู่นี้แปลงแนวโน้มระหว่างวันเป็นขาขึ้น

730.png

มีหลายแนวทางสำหรับเพื่อการสร้างช่อง CHANNEL นี้ นอกเหนือจากการใช้เส้นค่าถัวเฉลี่ยราคาเขยื้อน APPLY HIGH แล้วก็ APPLY LOW คุณยังสามารถใช้ KELTNER BANDS รวมทั้ง BOLLINGER BANDS ได้ด้วย รวมทั้งเพราะช่อง CHANNEL กลุ่มนี้ผลิตขึ้นแตกต่างคุณต้องปรับกฎในการระบุแนวโน้มระหว่างวันของคุณด้วย

3. การใช้กรอบขณะที่สูงมากขึ้น

จากที่กล่าวเอาไว้ภายในส่วนแรกเนื้อหานี้ว่า แนวโน้มเป็นภาพใหญ่ มันเป็นมุมมองในระดับที่สูงขึ้นของตลาด เพราะฉะนั้นแนวทางหนึ่งที่ได้รับความนิยมสำหรับการระบุแนวโน้มระหว่างวันเป็นมองการเคลื่อนไหวของแผนภูมิราคาในกรอบในขณะที่สูงมากขึ้น

กระบวนการนี้ พวกเราบางทีอาจมองแนวทางแนวโน้มกรอบเวลาราย 4 ชั่วโมงแม้กระนั้นมากระทำเทรดในกรอบเวลา 5 นาทีได้ ด้วยการพยายามอิงตามแนวโน้มของกรอบเวลาใหญ่ไว้ อาทิเช่นกรอบเวลาใหญ่มีลัษณะทิศทางเป็นตลาดวัวกระทิง เมื่อพวกเราจะกระทำการเทรดในกรอบเวลา 5 นาทีพวกเราจะย้ำการเทรด BUY มากยิ่งกว่าการเทรด SELL หรือถ้าเกิดพวกเราเทรดทั้งยัง BUY แล้วก็ SELL พวกเราบางทีอาจจะปิดคำบัญชา SELL แล้วถือคำบัญชา BUY ไว้มากยิ่งกว่า

4.การฉุด เส้น TREND LINE

731.png

เทรดเดอร์สาย PRICE ACTION จะถูกใจเส้น TREND LINE มากมาย เนื่องจากมันมีสาระสำหรับอีกทั้งการวิเคราะห์ทั้งยังกรอบระหว่างวันรวมทั้งกรอบระยะยาว

ด้วยการเชื่อมต่อจุด PIVOT ทำให้พวกเราจะได้มองเห็นเส้น TREND LINE ของความเอียงชันรวมทั้งจุดสำคัญที่ไม่เหมือนกัน การตีความหมายรากฐานของเส้น TREND LINE เป็นแนวโน้มการกลับตัวคราวหลังเส้น TREND LINE หลักถูก BREAK ไปได้แล้ว

วิธีการแบบนี้ง่ายดายเสียยิ่งกว่าเนื่องจากไม่จำเป็นต้องใช้อินดิเคเตอร์ใดๆก็ตามแน่ๆว่าการดูด้วยแผนภูมิไม่จะดำเนินงานได้เร็วกว่าการรอคอยอินดิเคเตอร์ ประเมินผลก่อนแสดงผล อย่างไรก็แล้วแต่เพื่อมันดำเนินงานได้คุณต้องมีความถนัดการลากเส้น TREND LINE

แนวทางที่เยี่ยมที่สุดสำหรับในการค้นหาแนวโน้มระหว่างวัน

ไม่มีกระบวนการระบุแนวโน้มระหว่างวันที่เพอร์เฟ็ค พวกเราชอบมองเห็นแบบอย่างอยู่ตลอดว่าตลาดบางครั้งอาจจะกลับมา มีทิศทางเสมือนแนวโน้มก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาได้หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีหลายสาเหตุที่พวกเราจะการันตีแนวโน้มเฉพาะเมื่อแผนภูมิราคาเริ่มมีการถอยกลับอย่างเต็มกำลังแล้ว

กรณีดังกล่าวมาแล้วข้างต้นไม่สามารถที่จะหลบหลีกได้ นี่เป็นเหตุผลที่พวกเราจะต้องมีการตั้ง STOP LOSS เพื่อให้ความหมายเสี่ยงของพวกเรา

ในแต่ละแนวทางข้างต้นอีกทั้ง 4 ล้วนมีจุดอ่อนเฉพาะของมันเอง

สำหรับทั้งคู่แนวทางแรก พวกเราจำต้องพึ่งพิงอินดิเคเตอร์ พวกเราจำต้องตกลงใจในขณะการหวนกลับของอินดิเคเตอร์พวกนี้ ถ้าหากว่าไม่มีช่วงการหวนกลับที่สมควรพวกเราบางทีอาจจะพลาดการเทรดไปได้

สำหรับวิธีการใช้กรอบขณะที่สูงมากขึ้นนั้น ขึ้นกับการเลือกกรอบในขณะที่สูงมากขึ้นของพวกเรา กรอบในเวลาที่สูงมากขึ้นสะท้อนถึงแนวโน้มระหว่างวัน กรอบเวลา 30 นาทีรวมทั้งกรอบเวลารายชั่วโมงจะได้รับความนิยมในกลุ่มเทรดเดอร์รายวัน

สำหรับวิธีการใช้เส้น TREND LINE มีความท้าที่แจ้งชัดเป็นการลากเส้นที่จะควรจะมีความหมาย หัวข้อสำคัญเป็นการลากเส้น TREND LINE ที่ใกล้เคียงแล้วก็เกี่ยวข้องกัน
#5
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / บทวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค Forex...
กระทู้ล่าสุด โดย support-2 - กุมภาพันธ์ 07, 2025, 01:39:47 ก่อนเที่ยง
GBPCAD
GbpCad 07-02.png
ภาพในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง ราคาสร้างรูปแบบที่บ่งบอกถึงโอกาสที่จะกลับตัวลงอย่าง Head and Shoulder จากนั้นราคาได้ร่วงลงมาปิดอยู่ใต้เส้น Neckline เป็นสัญญาณยืนยันว่ารูปแบบกลับตัวที่เกิดขึ้นสมบูรณ์ จากภาพดังกล่าวทำให้เรามองว่ามีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวลงตาม Chart Pattern ที่เกิด มองหาจังหวะเข้า Sell โดยตั้งจุดตัดขาดทุนและคาดหวังเป้าหมายทำกำไรตามภาพประกอบ

EURUSD
EurUsd 07-02.png
ภาพในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง ราคาสร้างรูปแบบที่บ่งบอกถึงโอกาสที่จะกลับตัวขึ้นอย่าง Bullish QM Pattern
ตำแหน่งปัจจุบัน ราคาย่อตัวกลับลงมาที่ Support สัมพันธ์กับ Fibonacci Retracement 78.6% แล้วมีแรงซื้อกลับขึ้นมา จากภาพดังกล่าวทำให้เรามองว่าราคากำลังจะกลับตัวขึ้นต่อตาม Pattern ที่เกิด มองหาจังหวะเข้า Buy โดยตั้งจุดตัดขาดทุนและคาดหวังเป้าหมายทำกำไรตามภาพประกอบ
#6
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / ต่อ: Forex Signal
กระทู้ล่าสุด โดย narjant - กุมภาพันธ์ 06, 2025, 01:03:29 หลังเที่ยง
Sell : GBPJPY

จุดเข้า : ตอนนี้

TP : 190.135

SL :  192.135
=================
Sig Telegrame
#7
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / ต่อ: Forex Signal
กระทู้ล่าสุด โดย narjant - กุมภาพันธ์ 06, 2025, 12:55:29 หลังเที่ยง
Sell : AUDJPY

จุดเข้า : ตอนนี้

TP : 94.400

SL :  98.450
=================
Sig Telegrame
#8
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / บทวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค Forex...
กระทู้ล่าสุด โดย support-2 - กุมภาพันธ์ 06, 2025, 02:11:02 ก่อนเที่ยง
BTCUSD
BtcUsd 06-02.png
ภาพในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง แม้ว่าโครงสร้างในกรอบเวลานี้จะดูเหมือนว่าเป็นขาลง แต่ในภาพที่ใหญ่กว่าจะเห็นว่าเป็นการพักตัวในแนวโน้มขาขึ้น แผนการเทรดของ BTCUSD จะเน้นการเข้าเทรดในฝั่ง Buy เมื่อราคาลงมาใกล้ที่บริเวณตำแหน่ง Support โดยมีเป้าหมายทำกำไรอยู่ที่ Resistance และจะตัดขาดทุนเมื่อราคาปิดตำกว่าตำแหน่ง SL ตามภาพประกอบ

NZDCAD
NzdCad 06-02.png
ภาพในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง ราคาสร้างรูปแบบที่บ่งบอกถึงโอกาสที่จะกลับตัวขึ้นอย่าง Bullish QM Pattern
ตำแหน่งปัจจุบัน ราคาย่อตัวกลับลงมาที่ Fibonacci Retracement 61.8% แล้วมีแรงซื้อกลับเข้ามา จากภาพดังกล่าวทำให้เรามองว่าราคากำลังจะกลับตัวขึ้นต่อตาม Pattern ที่เกิด มองหาจังหวะเข้า Buy โดยตั้งจุดตัดขาดทุนและคาดหวังเป้าหมายทำกำไรตามภาพประกอบ

USDCHF
UsdChf 06-02.png
ภาพในกรอบเวลา Daily โครงสร้างของราคามีสวิงไฮและสวิงโลวล่าสุดสูงขึ้นเมื่อเทียบกับสวิงก่อนหน้า จากภาพดังกล่าวทำให้เรามองว่าแนวโน้มในกรอบเวลานี้อยู่ในขาขึ้น
ตำแหน่งปัจจุบัน ราคาย่อตัวกลับลงมาที่ Support Trendline ถัดลงไปด้านล่างมี Support เป็นตำแหน่งที่เรามองว่ามีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวขึ้นต่อตามแนวโน้มเดิมจากบริเวณนี้ มองหาสัญญาณกลับตัวขึ้นเพื่อเข้า Buy โดยตั้งจุดตัดขาดทุนและคาดหวังเป้าหมายทำกำไรตามภาพประกอบ
#9
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / Forex Signal
กระทู้ล่าสุด โดย narjant - กุมภาพันธ์ 06, 2025, 01:56:23 ก่อนเที่ยง
#10
พื้นฐาน Crypto / Halving: เหตุการณ์สำคัญที่ส่งผ...
กระทู้ล่าสุด โดย Support-3 - กุมภาพันธ์ 05, 2025, 01:23:20 หลังเที่ยง
Bitcoin Halving คืออะไร?
•    Bitcoin Halving คือ การลดจำนวนรางวัล Bitcoin ที่นักขุดจะได้รับจากการขุดสำเร็จลงครึ่งหนึ่งทุกๆ 210,000 บล็อก (ประมาณ 4 ปี) ตามที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้ในระบบโดย Satoshi Nakamoto ผู้สร้าง Bitcoin
•    เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น เราสามารถเปรียบเทียบได้กับการทำเหมืองทอง - เมื่อขุดทองได้มากขึ้นเรื่อยๆ ทองที่เหลือในเหมืองก็จะน้อยลงและยากขึ้นที่จะขุดพบ Bitcoin ก็เช่นกัน การ Halving ทำให้รางวัลจากการขุดลดลงครึ่งหนึ่งเป็นระยะๆ เช่น จากเดิมที่เคยได้ 50 Bitcoin ต่อบล็อก ก็จะลดลงเหลือ 25 Bitcoin แล้วต่อมาก็ลดลงเหลือ 12.5 Bitcoin และในปัจจุบันเหลือ 6.25 Bitcoin ต่อบล็อก
•    กลไกนี้ถูกออกแบบมา เพื่อควบคุมอัตราการสร้าง Bitcoin ใหม่เข้าสู่ระบบ ไม่ให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ และทำให้ Bitcoin มีความหายากมากขึ้นตามกาลเวลา เหมือนกับทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด



Bitcoin Halving เหตุการณ์ครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2555)
•    วันที่เกิดเหตุการณ์: 28 พฤศจิกายน 2012 - เป็นการ Halving ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ Bitcoin ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่พิสูจน์ว่ากลไกที่ Satoshi Nakamoto ออกแบบไว้สามารถทำงานได้จริง
•    ผู้ขุดที่สร้างประวัติศาสตร์: SlushPool ใช้เครื่องขุด Radeon HD 5800 ในการขุดบล็อกที่เกิด Halving ซึ่งในยุคนั้นถือว่าเป็นเครื่องขุดที่มีประสิทธิภาพสูง และ SlushPool ก็เป็นหนึ่งในพูลขุดที่เก่าแก่และน่าเชื่อถือที่สุด
•    การเปลี่ยนแปลงของรางวัล: ลดลงจาก 50 Bitcoin เหลือ 25 Bitcoin ต่อบล็อก ซึ่งเป็นการลดรางวัลครั้งแรกที่ทำให้อัตราการสร้าง Bitcoin ใหม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
•    ราคา ณ วันที่เกิด Halving: $12.35 - ในขณะนั้น Bitcoin ยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก ราคาจึงยังต่ำมาก
•    ราคาหลังผ่านไป 150 วัน: $127.00 - แสดงให้เห็นการเติบโตที่น่าทึ่งถึง 928% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในบรรดาการ Halving ทั้งหมด
•    ผลกระทบต่อวงการ: การ Halving ครั้งแรกนี้ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและพิสูจน์ว่าระบบการควบคุมอุปทานของ Bitcoin สามารถทำงานได้ตามที่ออกแบบไว้

Bitcoin Halving เหตุการณ์ครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2559)
•    วันที่เกิดเหตุการณ์: 9 กรกฎาคม 2016 - เกิดขึ้นในช่วงที่ Bitcoin เริ่มได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันมากขึ้น
•    การเปลี่ยนแปลงของรางวัล: ลดลงจาก 25 Bitcoin เหลือ 12.5 Bitcoin ต่อบล็อก ทำให้อัตราการสร้าง Bitcoin ใหม่ลดลงอีกครึ่งหนึ่ง
•    ราคา ณ วันที่เกิด Halving: $650.63 - ราคาเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับ Halving ครั้งแรก สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของตลาดและการยอมรับที่มากขึ้น
•    ราคาหลังผ่านไป 150 วัน: $758.81 - แม้จะเพิ่มขึ้นเพียง 16.6% แต่ถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้นที่มั่นคงและแสดงให้เห็นว่าตลาดเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น

Bitcoin Halving เหตุการณ์ครั้งที่ 3 (พ.ศ. 2563)
•    วันที่เกิดเหตุการณ์: 11 พฤษภาคม 2020 - เกิดขึ้นในช่วงการระบาดของ COVID-19 ทำให้นักลงทุนทั่วโลกเริ่มมองหาสินทรัพย์ทางเลือกเพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยเฉพาะจากภาวะเงินเฟ้อที่เกิดจากการอัดฉีดเม็ดเงินของธนาคารกลางทั่วโลก
•    การเปลี่ยนแปลงของรางวัล: ลดลงจาก 12.5 Bitcoin เหลือ 6.25 Bitcoin ต่อบล็อก การลดลงครั้งนี้ทำให้อัตราเงินเฟ้อของ Bitcoin ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และยิ่งตอกย้ำคุณสมบัติการเป็น "ทองคำดิจิทัล" ของ Bitcoin
•    ผลกระทบต่อนักขุด: การลดรางวัลครั้งนี้ส่งผลให้นักขุดรายย่อยหลายรายต้องออกจากตลาด เนื่องจากต้นทุนการขุดสูงขึ้นเมื่อเทียบกับรายได้ที่ลดลง ทำให้เกิดการรวมศูนย์ของการขุดมากขึ้นในมือของบริษัทขุดขนาดใหญ่
•    ราคา ณ วันที่เกิด Halving: $8,821.42 - ราคานี้สะท้อนถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Bitcoin และการยอมรับในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะจากนักลงทุนสถาบันที่เริ่มมองว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง
•    ราคาหลังผ่านไป 150 วัน: $10,943.00 - การเพิ่มขึ้น 24% แสดงให้เห็นว่าตลาดยังคงตอบรับในเชิงบวกต่อการลดลงของอุปทาน แม้จะอยู่ในช่วงวิกฤต COVID-19
•    ผลกระทบระยะยาว: การ Halving ครั้งนี้เกิดขึ้นในจังหวะที่โลกการเงินกำลังเปลี่ยนแปลง ทำให้ Bitcoin ได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันมากขึ้น และเริ่มมีการยอมรับ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์ทางเลือกอย่างจริงจัง

Bitcoin Halving เหตุการณ์ครั้งที่ 4 (พ.ศ. 2567)
•    วันที่เกิดเหตุการณ์: 19 เมษายน 2024 - เป็นการ Halving ครั้งแรกหลังจากที่ SEC สหรัฐฯ อนุมัติ Spot Bitcoin ETF ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้นักลงทุนสถาบันสามารถเข้าถึง Bitcoin ได้ง่ายขึ้นผ่านช่องทางที่คุ้นเคย
•    การเปลี่ยนแปลงของรางวัล: ลดลงจาก 6.25 Bitcoin เหลือ 3.125 Bitcoin ต่อบล็อก การลดลงครั้งนี้ยิ่งทำให้ Bitcoin กลายเป็นสินทรัพย์ที่หายากมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ความต้องการจากนักลงทุนสถาบันเพิ่มสูงขึ้น
•    ผลกระทบต่อนักขุด: การลดรางวัลครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อุตสาหกรรมการขุด Bitcoin มีการพัฒนาอย่างมาก มีการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น และมีประสิทธิภาพในการขุดที่สูงขึ้น ทำให้นักขุดสามารถปรับตัวรับมือกับรางวัลที่ลดลงได้ดีขึ้น
•    ราคา ณ วันที่เกิด Halving: $64,968.87 - เป็นราคาที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของการเกิด Halving สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับอย่างกว้างขวางของ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำ
•    ความสำคัญทางเศรษฐกิจ: การ Halving ครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ระบบการเงินโลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล การลดลงของอุปทานใหม่ในช่วงนี้อาจส่งผลให้ราคา Bitcoin มีความผันผวนสูงขึ้น เนื่องจากความต้องการจากนักลงทุนสถาบันที่เพิ่มขึ้น
•    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมคริปโต: การ Halving ครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำความเป็นสินทรัพย์หายากของ Bitcoin และอาจส่งผลให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ในการทำเหมืองและการใช้งาน Bitcoin มากขึ้น
•    มุมมองในอนาคต: คาดว่าการ Halving ครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่สำหรับ Bitcoin ที่จะได้รับการยอมรับในฐานะสินทรัพย์ทางการเงินระดับโลกมากขึ้น โดยเฉพาะจากสถาบันการเงินและนักลงทุนรายใหญ่


อ้างอิงภาพประกอบ: crypyo . com

การคาดการณ์ในอนาคต
เริ่มต้น (มกราคม 2009)
•    รางวัลเริ่มต้นอยู่ที่ 50 BTC ต่อบล็อก
•    นี่เป็นช่วงแรกของ Bitcoin ที่เพิ่งถูกสร้างขึ้น
Halving ครั้งที่ 1 (พฤศจิกายน 2012)
•    รางวัลลดลงเหลือ 25 BTC ต่อบล็อก
•    เป็นการพิสูจน์ครั้งแรกว่าระบบการลดรางวัลทำงานได้ตามที่ออกแบบ
Halving ครั้งที่ 2 (กรกฎาคม 2016)
•    รางวัลลดลงเหลือ 12.5 BTC ต่อบล็อก
•    เกิดขึ้นในช่วงที่ Bitcoin เริ่มได้รับความสนใจในวงกว้าง
Halving ครั้งที่ 3 (พฤษภาคม 2020)
•    รางวัลลดลงเหลือ 6.25 BTC ต่อบล็อก
•    เกิดขึ้นในช่วงการระบาดของ COVID-19
การคาดการณ์ในอนาคต
•    Halving ครั้งที่ 4 (2024): รางวัลจะลดลงเหลือ 3.125 BTC ต่อบล็อก
•    Halving ครั้งที่ 5 (2028): รางวัลจะลดลงเหลือ 1.5625 BTC ต่อบล็อก

•    สิ่งที่น่าสนใจคือ การกำหนดวันที่แน่นอนของ Halving ทำได้ยาก เนื่องจากความเร็วในการสร้างบล็อกไม่คงที่ ปัจจุบันเร็วกว่า 10 นาทีต่อบล็อกที่ออกแบบไว้แต่แรก เพราะมีกำลังการขุด (hashrate) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เราสามารถประมาณการได้จากจำนวนบล็อกที่เหลือก่อนถึงจุด Halving
•    การลดลงของรางวัลนี้เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยควบคุมอัตราเงินเฟ้อของ Bitcoin และรักษามูลค่าในระยะยาว โดยทำให้ Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่มีความหายากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลา

ผลกระทบของ Halving ต่อราคา Bitcoin
การ Halving สามารถส่งผลต่อราคา Bitcoin ได้ใน 2 ด้านหลักๆ
1.    ด้านรางวัลการขุด: เมื่อรางวัลถูกลดลงครึ่งหนึ่ง จะช่วยส่งเสริมการเติบโตของเครือข่ายอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน เพราะการลดอัตราการสร้าง Bitcoin ใหม่นี้เป็นการรับประกันว่าปริมาณ Bitcoin ทั้งหมดจะมีจำกัดและคงที่ตามที่ถูกออกแบบไว้
2.    ด้านอัตราเงินเฟ้อ: หลังจากการ Halving อัตราเงินเฟ้อของ Bitcoin จะลดลง เนื่องจากปริมาณ Bitcoin ใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดมีน้อยลง ซึ่งส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างอุปสงค์และอุปทานในตลาด
อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักวิเคราะห์ตลาดและผู้มีส่วนร่วมในตลาด โดยแบ่งเป็น 2 ฝ่าย:
•    ฝ่ายที่เชื่อว่าราคาจะเพิ่มขึ้น: เชื่อว่าการ Halving จะทำให้ราคา Bitcoin เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงจะนำไปสู่ความต้องการที่สูงขึ้น และส่งผลให้มูลค่าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
•    ฝ่ายที่เชื่อว่าราคาจะไม่เปลี่ยนแปลง: มองว่าตลาดได้คำนึงถึงผลกระทบของ Halving ไว้แล้ว (priced in) ดังนั้นเหตุการณ์นี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาของ Bitcoin อย่างมีนัยสำคัญ
สรุปคือ แม้ว่าการ Halving จะมีผลต่อปัจจัยพื้นฐานของ Bitcoin อย่างชัดเจน แต่ผลกระทบต่อราคายังคงเป็นประเด็นที่มีความเห็นแตกต่างกันในวงการ เนื่องจากราคาขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างนอกเหนือจากการ Halving

ทสรุป
•    ผลกระทบหลักของ Bitcoin Halving ต่อผู้ถือ Bitcoin คือ เป็นเหตุการณ์ที่ช่วยลดอัตราเงินเฟ้อของ Bitcoin โดยการลดจำนวนเหรียญใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาด
•    ในทางทฤษฎี การลดลงของอุปทานใหม่นี้อาจส่งผลดีต่อราคาในระยะยาว หากความต้องการยังคงมีอยู่หรือเพิ่มขึ้น ตามประวัติศาสตร์ ราคา Bitcoin มักมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นหลังการเกิด Halving แต่ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าจะเกิดขึ้นทุกครั้ง
•    Halving เป็นกลไกที่ถูกออกแบบมาเพื่อรักษามูลค่าระยะยาวของ Bitcoin
•    ผู้ลงทุนไม่ควรกังวลจนเกินไป แต่ควรใช้เป็นโอกาสในการทบทวนกลยุทธ์การลงทุน
•    การตัดสินใจลงทุนควรพิจารณาจากปัจจัยรอบด้าน ไม่ใช่แค่ Halving เพียงอย่างเดียว
•    เน้นการลงทุนอย่างมีวินัยและมีแผนระยะยาวที่ชัดเจน
ปัจจัยอื่นๆ ที่ควรพิจารณาร่วมกับ Halving
- สภาวะตลาดการเงินโดยรวมและเศรษฐกิจโลก
- การยอมรับและการนำไปใช้งานจริงของ Bitcoin ในวงกว้าง
- กฎระเบียบและนโยบายของรัฐบาลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซี
- การพัฒนาทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมในวงการ Blockchain
- การเข้ามาของนักลงทุนสถาบันและผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ เช่น ETF
คำแนะนำสำหรับผู้ถือ Bitcoin
•    ไม่ควรใช้ Halving เป็นปัจจัยเดียวในการตัดสินใจลงทุน
•    ควรศึกษาและติดตามปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ อย่างรอบด้าน
•    มีแผนการลงทุนระยะยาวที่ชัดเจนและไม่หวังผลตอบแทนระยะสั้นจากเหตุการณ์ Halving
•    บริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ไม่ลงทุนเกินกว่าที่รับความเสี่ยงได้
•    ติดตามข่าวสารและพัฒนาการของตลาดอย่างสม่ำเสมอ
ข้อควรระวัง
•    ราคา Bitcoin มีความผันผวนสูง แม้จะมี Halving ก็ตาม
•    อย่าเชื่อการคาดการณ์ราคาที่ไม่มีเหตุผลรองรับ
•    ควรระมัดระวังการลงทุนตามกระแสหรือความคาดหวังจากการ Halving เพียงอย่างเดียว
•    ตระหนักว่าอดีตไม่ได้เป็นเครื่องการันตีผลลัพธ์ในอนาคต