การวาง STOP LOSS เหมือนไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะเทรดเดอร์ส่วนมากมุ่งเน้นแต่การหาตำแหน่งในการเข้าเทรดให้ได้กำไรหรือการเข้าเทรดให้ไม่ขาดทุน การวาง STOP LOSSอาจมีเรื่องราวเป็นซีรีย์กันเลยทีเดียว โอกาสหน้าเราจะมาเจาะลึกเรื่องราวของ STOP LOSSกันต่อไป วิธีการตั้งค่า STOP LOSS
ประเภทของการวาง STOP LOSSที่พบมากที่สุดคือ STOP LOSSตาม PERCENTAGE ของเงินทุนในพอร์ตที่ตัวเทรดเดอร์เองมีอยู่สำหรับการเทรด (อาจมีหลายพอร์ต) และนี่คือสูตรการคำนวณโดยยึดจากสัดส่วนของเงินทุนในพอร์ตเป็นหลัก
ตัวอย่างเช่นหากคุณมีพอร์ตเทรด FOREX จำนวน $10,000 และคุณตั้งกฎไว้ว่าคุณต้องการเสี่ยงไม่เกิน 2% ของพอร์ตของคุณในการเทรดแต่ละครั้งที่คุณเข้าทำการเทรด
วิธีคำนวณมีดังนี้
- ให้คิด 2% จากเงินทุนในพอร์ต $10,000 = $200
- คำถามต่อไปที่คุณต้องตอบคือ : PIP จำนวนเท่าไหร่ที่มีค่า = $200
- สมมติว่าคุณต้องการเทรดคู่สกุลเงิน EUR/JPY 100,000 หน่วยและแต่ละ PIP ในกรณีนี้จะประมาณ $10/PIP ซึ่งหมายถึง STOP LOSSที่ใหญ่ที่สุดที่คุณสามารถทำได้คือ 20 PIPS ($200 หารด้วย $10/PIP)
- การตั้งค่า STOP LOSSของคุณคือ 20 PIPS จากตำแหน่งการเข้าเทรดของคุณ
- ตั้งค่า STOP LOSSแล้วเข้าเทรด แล้วมาพบกับปัญหากันต่อ
2 ปัญหาหลักเกี่ยวกับการวาง STOP LOSS ตามสัดส่วน PERCENTAGE ของพอร์ตการเทรดของคุณคือ
ปัญหาที่ #1: การเคลื่อนไหวของคู่สกุลเงินที่เลือกมีการเคลื่อนไหวมากกว่า PERCENTAGE ที่เราตั้งค่าไว้
เป็นการวาง STOP LOSSไว้ที่ 20 PIPS อย่างที่คุณตั้งกฎไว้ แต่มีการเคลื่อนไหวของกราฟราคามากกว่า 20 PIPS ให้มาดูภาพตัวอย่างด้านล่างนี้อาจจะทำให้คุณมองเห็นภาพและทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น
จากภาพตัวอย่างคุณเปิดตำแหน่งการเทรด SELL ที่คู่สกุลเงิน EUR/JPY และวางตำแหน่ง STOP LOSSที่ 20 PIPS ของคุณตามที่แสดงในภาพด้านล่าง
(https://docs.google.com/uc?id=1qYVBhnnO2katJLo6YDUVpPoCo34zptZa)
ภาพตัวอย่างที่สองด้านล่างลงไปอีกแสดงให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากคุณเข้าทำการเทรดแล้ว
(https://docs.google.com/uc?id=1RV9Q-5XtUoUPEitVfUYS9Lb-T6tJ7_45)
ในที่นี้ใช้กราฟราคากรอบเวลา 4 ชั่วโมงของ EUR/JPY และคู่สกุลเงินนี้มีการเคลื่อนไหวโดยเฉลี่ยประมาณ 50-80 จุดในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง? ดังนั้นในกรณีนี้เมื่อคุณทราบถึงพฤติกรรมนี้แล้ว การวาง STOP LOSSควรถูกวางอย่างน้อย 80 PIPS จากตำแหน่งที่คุณเข้าทำการเทรด
ถึงตอนนี้หากคุณทำการเทรดที่ 1 LOT STANDARD โดยมี STOP LOSSที่ 80 PIPS เท่ากับว่าความเสี่ยงของคุณนั่นคือ $800 ที่คุณกำลังจะเสี่ยงซึ่งมันคือ 8% ของพอร์ตการเทรดของคุณที่คุณกำลังเสี่ยงและนี่คือปัญหา เพราะคุณไม่ต้องการเสี่ยงที่ 8% ของพอร์ตการเทรดของคุณ ซึ่งหมายความว่าคุณไม่ต้องการที่จะเข้าเทรดกับการวาง STOP LOSSที่น่าอึดอัดขนาดนั้น แต่คุณยังคงต้องวาง STOP LOSSที่ประมาณ 80 PIPS ซึ่งหมายความต่อไปอีกว่าคุณไม่สามารถทำการเทรดที่ 1 LOT STANDARD ได้
ทางแก้ไขของปัญหานี้คือ มีบางอย่างที่เล็กกว่าสามารถทำการเทรดได้ง่ายกว่า นั่นคือขนาด LOT ที่คุณสามารถทำการเทรดได้ ปัญหาต่อมาคือหากการวาง STOP LOSSของคุณถูกใช้งาน จะทำให้คุณสูญเสีย 2% ของพอร์ตของคุณได้หรือไม่? คำตอบที่ได้คือให้คุณเข้าเทรดที่ 0.25 LOT
ดังนั้นหากคุณต้องการจะเทรดที่ 0.25 LOT ที่มีการวาง STOP LOSS ประมาณ 80 PIPS นี่จะเป็นการทำให้ความเสี่ยงในการเทรดของคุณอยู่ที่ 2% ($800 X 0.25 LOT = ความเสี่ยง $200 ซึ่งเป็น 2% ของพอร์ตในการเทรดของคุณ)
ปัญหาที่ #2: การคำนวณ PERCENTAGE ตามขนาดของพอร์ตที่ใช้ในการเทรดจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงอยู่เสมอ
ดังนั้นหากคุณเทรดเสีย สิ่งนี้จะลดขนาดพอร์ตการเทรดของคุณและคุณจะต้องคำนวณ PERCENTAGE ความเสี่ยงที่คุณตั้งไว้ใหม่ตามขนาดพอร์ตที่เล็กลงนี้และคุณรู้หรือไม่ว่าปัญหานี้คืออะไร? ปัญหาคือคุณจะใช้เวลานานกว่ามากปรกติสำหรับการกู้คืนเงินจากการเทรดเสียไปก่อนหน้า ด้วยการวาง STOP LOSSเป็นจำนวนคงที่ไม่ว่าพอร์ตการเทรดของคุณจะมีขนาดเท่าใด?
หากคุณคิดว่านี่เป็นการไม่สมเหตุสมผล ให้คุณลองดูตัวอย่างของเทรดเดอร์สองรายนี้ เราจะเรียกพวกเขาว่า TRADER JOE และ TRADER BLOW
TRADER JOE มีพอร์ตสำหรับการเทรด $10,000 และใช้วิธีการวางSTOP LOSS 2% และคำนวณความเสี่ยง 2% ต่อการเทรดตามนั้น
TRADER BLOW ยังมีพอร์ตสำหรับการเทรด $10,000 เช่นกันและใช้วิธีการวาง STOP LOSS คงที่ คำนวณความเสี่ยงที่ $200 ต่อการเทรดหนึ่งครั้งโดยไม่คำนึงว่าพอร์ตการเทรดของเขามีขนาดเท่าใด
สมมติว่าเกิดเหตุการณ์ดังต่อไปนี้ :
- พวกเขาทั้งสองมีคำสั่งในการเทรด 5 คำสั่ง
- พวกเขาทั้งสองมีอัตราความเสี่ยงต่อผลรางวัล = 1: 3
- พวกเขาทั้งสองมีพอร์ตสำหรับการเทรด FOREX ที่ $10,000
TRADE JOE TRADE BLOW
การเทรดครั้งที่ 1 ชนะ $600 ($10,600) $600 ($10,600)
การเทรดครั้งที่ 2 แพ้ $212 ($10,388) $200 ($10,400)
การเทรดครั้งที่ 3 แพ้ $207 ($10,181) $200 ($10, 200)
การเทรดครั้งที่ 4 แพ้ $203 ($9,978) $200 ($10,000)
การเทรดครั้งที่ 5 ชนะ $598 ($10,577) $600 ($10,600)
อย่างที่คุณเห็นสำหรับ TRADER JOE ไม่ว่าเขาจะชนะหรือแพ้เขายังคงคำนวณความเสี่ยงในการเข้าเทรดโดยคิดตาม PERCENTAGE ของยอดคงเหลือในพอร์ตการเทรดของเขา
แต่สำหรับ TRADER BLOW ความเสี่ยงเพียง $200 ต่อการเทรดทุกครั้งไม่ว่ายอดเงินในบัญชีของเขาจะลดลงหรือไม่ก็ตาม โบรกเกอร์Forex
คุณลองตอบฉันได้ไหมว่าใครจะสามารถกู้คืน พอร์ตการเทรดได้เร็วกว่ากัน? TRADER JOE หรือ TRADE BLOW ? จากตัวอย่างด้านบน TRADER BLOW เป็นผู้ที่สามารถกู้คืนพอร์ตได้อย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับ TRADER JOW และนั่นคือปัญหาที่ 2 ของการเทรดที่มีการวาง STOP LOSS เป็น PERCENTAGE
ยังมีเรื่องราวของการวาง STOP LOSS อีกมากที่คุณควรศึกษา เพราะการเทรดในทุกๆ คำสั่งแทบไม่มีทางเป็นไปได้ว่าคุณจะชนะทุกคำสั่ง การกู้คืนเงินในพอร์ตของคุณไม่ใช่เรื่องที่คุณควรหลีกเลี่ยง วิธีการตั้งค่า STOP LOSS