ข่าว:

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - support-1

#481
จิตวิทยาการเทรดคืออะไร?

จิตวิทยาการเทรด คือ สภาพอารมณ์หรือจิตใจซึ่งมีผลต่อผลลัพธ์ในการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ (ง่ายๆก็คือ ตัวชี้วัดตัวหนึ่งว่าจะ "เจ๊งหรือไม่เจ๊ง") โดยจิตวิทยาการเทรดมีความสำคัญไม่แพ้กันกับความรู้ ประสบการณ์หรือทักษะต่างๆ

ถ้ามีอารมณ์กับการลงทุนจะเกิดอะไรขึ้น?
อารมณ์หลักที่จะเกิดขึ้นในระหว่างลงทุนมีอยู่ 2 อารมณ์หลักๆด้วยกัน ประกอบไปด้วย

1) ความโลภ

ความโลภจะทำให้เรากล้าที่จะเสี่ยงมากเกินไป และอาจทำให้เราตัดสินใจไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง

2)ความกลัว

ความกลัวจะทำให้เรากลัวที่จะเสี่ยง จนทำให้ได้ผลตอบแทนที่น้อยเกินไป หรือบางรายอาจจะกลัวจนไม่กล้าลงทุนไปเลย

5 เคล็ดลับจิตวิทยาการเทรด

1  ไม่ตื่นตระหนก

การตื่นตระหนกจนเกินเหตุอาจจะทำให้เรากลัวหรือโลภเกินไป  ข่าวบางข่าวมีไว้ปั่นคุณเล่นเท่านั้น  เราควรเชื่อมั่นในกลยุทธ์ของตนเอง แล้ววิเคราะห์ให้ถี่ถ้วนว่าส่งผลกระทบกับมุมมองของคุณแค่ไหน

2 ไม่ใส่อารมณ์
ในการซื้อขายแต่ละครั้ง ควรมาจากระบบหรือการวิเคราะห์ที่เราคาดการณ์ไว้เท่านั้น ไม่ควรมีอารมณ์ไปกับกราฟ

การลงทุนไม่ใช่การแทง "ไฮ-โล" , "แทงบอล" หรือ "แทงหวย" การบิ้วท์อารมณ์เชียร์ตามราคา หรือ ผลลัพธ์ แบบเรียลไทม์ไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลย นอกจากให้ "ความบันเทิง" กับ "ความเจ๊ง" เพราะฉะนั้น ตอนเราลงทุนควรจะมีแผนการที่แน่ชัดจากการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน

3  ไม่เฝ้ากราฟ

การเฝ้ากราฟอาจทำให้จิตใจร้อนรนตามราคาที่ร้อนแรงได้ เป็นไปได้อย่าเปิดดูบ่อย แล้วทำตามระบบดีกว่า

คุณอาจจะเคยเห็นภาพในหนังที่เทรดเดอร์หรือนักลงทุนนั่งอยู่หน้าคอมทั้งวัน เปิดจอเป็นสิบๆจอ อย่างกับ supercomputer แต่ความเป็นจริงแล้วเราไม่ควรนั่งเฝ้าราคาทั้งวันทั้งคืนแบบนั้นยิ่งเป็นการลงทุนในระยะยาวด้วยแล้วอาจจะทำให้เราหวั่นไหว ไปกับราคาที่ผันผวนร้อนแรงได้ แต่หากคุณเป็นนักเทรดเก็งกำไรระยะสั้นการเฝ้าจอก็อาจจะไม่ผิดอะไร เพราะฉะนั้น คิดดูดีๆเลือกเอาซักทางจะ "สั้น" หรือ "ยาว"

4  ศึกษาด้วยตัวเอง

การศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเอง เป็นอีกวิธีที่ดีที่สุด เพราะ จะทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้น ไม่เอนอ่อนไปตามสถานการณ์

การศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองเป็นอีกวิธีที่จะเสริมสร้างจิตใจเราให้แข็งแกร่ง เพราะหากเรารู้ลึก รู้จริง เราจะเกิดความมั่นใจ

5  ติดตามผู้รู้จริง

หากคุณพยายามจนสุดตัวแล้ว คิดว่าการทำจิตใจให้แข็งแกร่งมันยากเกินไป อีกหนึ่งวิธีก็คือติดตามผู้รู้จริงที่เชื่อถือได้

บางทีเราศึกษามามาก คิดว่ารู้จริงหมดแล้ว จนคิดว่าเราเอาชนะตลาดได้แล้ว แต่สุดท้ายเจ้าใหญ่ก็กินเราหมดอยู่ดี เพราะ เราไม่สามารถควบคุมจิตใจได้จาก "ความโลภ" อีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุนก็คือ การลงทุนตามผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อถือได้





#482
ควรรู้ ก่อนก้าวเท้าเข้าสู่ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

เชื่อว่า นักลงทุนหลายคนทั้งรายน้อย รายใหญ่ ย่อมเคยได้ยินชื่อ "ฟอเร็กซ์" (Forex) หรือการซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินมาไม่มากก็น้อย แถมที่ผ่านมา ก็มีนักลงทุนตัดสินใจมุ่งหน้าเทรด Forex เป็นจำนวนวนมาก ด้วยหวังสร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำจากการลงทุนรูปแบบนี้ แต่ก่อนจะตัดสินใจเทรด Forex ลองมาดูกัน Forex เป็นการลงทุนอย่างไร ? รวมถึงเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับโบรกเกอร์ Forex มีอะไรบ้าง วันนี้เรามีคำตอบสำหรับเรื่องนี้มาฝากกัน

Forex คืออะไร ?

Forex ย่อมาจากคำว่า "Foreign Exchange Market" เรียกย่อ ๆ ว่า FX แปลเป็นไทยก็คือ ตลาดซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรืออธิบายแบบเข้าใจง่าย ๆ ก็คือ "ฟอเร็กซ์" เป็นตลาดที่เปิดให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรค่าเงิน เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับตัวนักลงทุนเอง ผ่านทางการซื้อขายค่าสกุลเงินต่าง ๆ ที่นักลงทุนคิดว่าจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คาดการณ์ไว้ เช่นเดียวกับการลงทุนประเภทอื่น ๆ อาทิ ทองคำ น้ำมัน หุ้น ที่เราจะกำไรก็ต่อเมื่อเราซื้อถูกและขายแพง ซึ่งการเทรด Forex ก็ใช้หลักการนี้เหมือนกัน เพียงแต่สิ่งที่ลงทุนเป็นการลงทุนบนคู่สกุลเงินแทน ฉะนั้น ใครที่มีพื้นฐานด้านการลงทุนมาก่อนอยู่แล้ว การเข้ามาในตลาด Forex ก็ไม่ใช่เรื่องยาก

ยกตัวอย่างการซื้อขายเงินตราต่างประเทศของ Forex ต้องมีการผ่านโบรกเกอร์ เช่น FXPremax และตัวที่มีผู้นิยมใช้งานก็คือ VPS ฟอเร็กซ์ โดยจะมีการเทรด ค่าเงินเช่น ดอลลาร์สหรัฐ (USD) ยูโร (EUR) ปอนด์สเตอร์ลิง (GBP) เยนญี่ปุ่น (JPY) ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) แคนาดา ดอลลาร์ (CAD) และฟรังก์สวิส (CHF) ในปัจจุบันนี้โบรกเกอร์ส่วนใหญ่อนุญาตให้ลูกค้าสามารถซื้อขายในสกุลเงินอื่นๆ รวมถึงตลาดเกิดใหม่อีกด้วย

เทรด Forex ด้วยตนเองได้ไหม

การที่คุณจะเข้ามาทำการซื้อขายในตลาด Forex ด้วยตนเอง ไม่สามารถได้ เพราะตลาดฟอเร็กซ์ไม่รับคำสั่งซื้อขายจากผู้เทรดรายย่อย ดังนั้น ผู้ที่สนใจลงทุนในตลาด Forex ต้องดำเนินการซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศผ่านตัวกลางหรือนายหน้าในการซื้อ-ขาย ที่เรียกกันว่า โบรกเกอร์ (Broker) เท่านั้น และปัจจุบันก็มีบริษัทโบรกเกอร์ที่ให้นักเทรดเลือกใช้บริการไม่น้อยทีเดียว

โบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ คืออะไร ? จำเป็นต้องมีหรือไม่

การที่จะเข้าไปทำกำไรในตลาด Forex นั้น ผู้ลงทุนต้องทำการซื้อขายผ่านคนกลางเท่านั้น และคนกลางในที่นี้ ก็คือ Broker (โบรกเกอร์) ซึ่งทำหน้าที่ในฐานะคนกลางที่รับคำสั่งซื้อขายจากเทรดเดอร์รายย่อยอย่างเรา แล้วส่งไปยังศูนย์กลางของตลาด Forex เนื่องจากเทรดเดอร์รายย่อยไม่สามารถส่งคำสั่งซื้อขายโดยตรงได้เอง ทำให้ต้องซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศผ่านโบรกเกอร์เท่านั้น

ข้อดีของการมีโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ คือ

อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นว่า ตลาดการเทรด Forex นั้น ไม่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปหรือเทรดเดอร์รายย่อย เข้าไปทำการเทรดได้ยกเว้นเสียแต่ธนาคาร ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาตรงจุดนี้ระบบ Forex Broker จึงเข้ามาทำหน้าที่แทนเราและทำให้เราได้โอกาสในการเข้าไปเทรดเช่นเดียวกับทางธนาคารนั่นเอง

นอกจากนี้ ยังมีเหตุผล 4 ข้อที่คุณควรรู้เกี่ยวกับโบรกเกอร์ Forex

1. ความน่าเชื่อถือ
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องความน่าเชื่อถือ หลายคนย่อมนึกถึงเรื่องของความมั่นคงและความปลอดภัย แล้วทำยังไงถึงจะรู้ได้ว่าโบรกเกอร์นั้นน่าเชื่อถือ ? คำตอบก็คือ "ใบอนุญาต" ซึ่งใบอนุญาตเป็นเหมือนใบรับรองที่สถาบันทางการเงินที่มีชื่อเสียงและเชื่อถือได้ มอบให้กับโบรกเกอร์ที่ผ่านมาตรฐานตามที่กำหนด

และปัจจุบัน "โบรกเกอร์ฟอเร็กซ์" ที่น่าเชื่อถือส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของสถาบันการเงินต่าง ๆ ซึ่งเป็นองค์กรที่ช่วยจัดการองค์ประกอบของตลาดการเงิน ด้วยเหตุนี้เอง คุณก็สามารถที่จะให้ความไว้วางใจในโบรกเกอร์เหล่านั้นได้

2. เงินลงทุนต่ำและผลตอบแทนสูง

สำหรับใครที่อยากจะให้เงินทำงานแทนเรา การเลือก "เทรดฟอเร็กซ์" ก็ถือเป็นช่องทางการลงทุนที่น่าสนใจเลยก็ว่าได้ เพราะวิธีนี้ไม่ต้องลงแรงมาก แต่ต้องใช้เงินลงทุนกับความรู้พอสมควร ในแต่ละเดือนที่มีเงินเดือนเข้ามา นอกจากจะแบ่งเงินไว้ออมแล้ว อาจจะแบ่งส่วนหนึ่งไปลงทุนในตลาด Forex ที่นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลงในหนึ่งคู่สกุลเงิน เนื่องจากสามารถเปิดได้ทั้งสถานะซื้อ หรือขาย โดยเปิดสถานะซื้อหากคาดการณ์ว่าราคาจะสูงขึ้น และเปิดสถานะขายหากคาดว่าราคาจะลดลง เรียกว่า ต่อให้เงินลงทุนไม่เยอะ แต่ก็สามารถขยายผลกำไรได้สูงเช่นกัน

3. ให้คำแนะนำกลยุทธ์ และเทคนิคการเทรดที่คุณควรรู้

โบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ จะทำหน้าที่ไม่ต่างจากกุนซือคอยให้คำแนะนำด้านต่าง ๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เรียกว่า หากคุณอยากรู้ข้อมูลการลงทุนซื้อขายเงินตราต่างประเทศ หรือกลยุทธ์การเทรดเชิงลึกก็สามารถสอบถามกับโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่ตนใช้บริการได้โดยตรง

นอกจากนี้ โบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ ยังมีบัญชีทดลองหรือเดโม่ให้นักเทรดสามารถทำการฝึกฝนและใช้กลยุทธ์การเทรดได้โดยตรง เพื่อดูว่ากลยุทธ์ที่ได้รับคำแนะนำมานั้น ใช้แล้วได้ผลจริงหรือไม่ ? ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นข้อดีอีกอย่างสำหรับผู้เริ่มต้นใหม่ที่ยังเป็นมือใหม่ในวงการการซื้อขายและการลงทุน

4. ค่าธรรมเนียมต่ำ

การเลือกเทรดกับโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์นั้น มาพร้อมกับอัตราค่าธรรมเนียมต่ำในรูปแบบของค่าสเปรด กล่าวคือ เมื่อบุคคลทำการซื้อขายนั้น ก็จะเป็นการซื้อสกุลเงินเป็นคู่ โดยมีความสัมพันธ์เฉพาะระหว่าง 2 สกุลเงินเท่านั้น จากนั้นความสัมพันธ์นี้จะถูกวัดเป็น pip โดยโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์จะนำไปใช้ก่อนที่จะทำการซื้อขายในตลาด

ซึ่งหลังจากปิดการซื้อขายแล้วโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์จะดำเนินการด้านการเงิน โดยรวบรวมผลกำไรตามความแตกต่างระหว่างราคาตลาดของสกุลเงินและราคาที่จ่ายเพื่อการซื้อขาย นอกจากนี้ การดำเนินการธุรกิจของบริษัทโบรกเกอร์ยังเป็นการคิดผลกำไรจากการซื้อขายในเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำอีกด้วย นี่ถือเป็นการได้ผลประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งโบรกเกอร์และนักเทรด

และนี่ก็คือข้อมูล และข้อดีเกี่ยวกับโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ เมื่อพิจารณาให้ดีน่าจะเห็นกันแล้วว่า โบรกเกอร์มีความสำคัญขนาดไหนในการลงทุนด้วยการเทรดฟอเร็กซ์ ดังนั้น การเลือกโบรกเกอร์ที่ดี ก็เสมือนกับมีเครื่องมือ และผู้ช่วยที่ดี โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เพิ่งจะก้าวลงสู่สนามเทรดเป็นครั้งแรก ผู้เชี่ยวชาญของโบรกเกอร์จะคอยให้คำปรึกษา และคำแนะนำในการเทรดแก่คุณ จะทำให้คุณสามารถก้าวเดินไปบนเส้นทางการเทรดได้อย่างราบรื่น มั่นคง และมั่นใจอีกด้วย

แต่อย่างไรก็ดี การลงทุน Forex ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของธนาคารแห่งประเทศไทยการลงทุนระหว่างประเทศใด ๆ มีความเสี่ยงและควรได้รับการพิจารณาโปรดปรึกษาตัวแทนการลงทุนและทนายความของคุณก่อนที่จะเข้าร่วมกับโบรกเกอร์ระหว่างประเทศ
#483
ต้องบอกว่าไม่นึกไม่ฝันว่าวงการ crypto จะมาไกลได้ขนาดนี้ จากยุคที่มีเพียง concept และเทคนิคการทำงานของ block chain ในยุคเริ่มแรกที่ใช้ Proof of work บวกกับเสน่ห์ ของหลักการ เศรษฐศาสตร์ ที่จำกัดจำนวนเหรียญของ BTC ทำให้ BTC ราคาวิ่งไปไกลจน market cap ใหญ่ขึ้นจนเหลือเชื่อ หลายคนได้กำไรจนเปลี่ยนชีวิตได้เลย การเกิดขึ้นของ exchange มากมายที่ทำให้คนสามารถ trade เหรียญ crypto เหรียญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น btc, eth, xrp, bnb และเหรียญเกิดขึ้นนับ 100 เหรียญเปิดโครงการเป็นว่าเล่นเมื่อมันโตมากก็ยอมถูกจับตามองจาก regulator และรัฐบาลต่างๆทั้วโลก เพราะเรื่องเงินเป็นเรื่องใหญ่ มีผลกระทบต่อคนจำนวนมากบนโลกใบนี้และ crypto ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดไม่ว่าจะเป็นการ trade 24/7 หรือการโอนข้ามประเทศได้อย่างง่ายด่าย ทำให้เป็นที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ เพราะต้องยอมรับว่าเป็นสิ่งใหม่ของคนรุ่นใหม่

นอกจากนี้ยังไม่พอยังเกิดสิ่งใหม่ที่เรียกว่า DeFi หรือ Decentralized Finance เป็นสิ่งที่ทุกคนในวงการ crypto ก่อกำเนิดขึ้น การปล่อยกู้แบบไม่มีตัวกลางอย่างธนาคาร ทำให้ผู้ปล่อยกู้ได้รับดอกเบี้ยเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งผลตอบแทนดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจาก DeFi เป็นไปตามสภาพตลาดที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้อธิบายยากและผมก็ไม่เข้าใจหลักการคำนวณผลตอบแทนที่เกิดขึ้นว่ามันจะคำนวณจุด สมดุลในระบบ DeFi อย่างไร ? เพราะในโลกเก่า การปรับดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับธนาคารกลาง โดยมีสมมติฐานและสมการคณิตศาสตร์ที่ผูกกับ เศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ การกู้จากที่ 1 ไปปล่อยกู้อีกที่หนึ่ง ทำให้ DeFi อาจวิ่งเข้าใกล้เคียงกับสิ่งที่เรียกว่า แชร์ การเล่นแชร์ระดับโลก ซึ่งมันอาจกลายเป็นแชร์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาก็ได้ แล้วราคาสมดุลของแต่ละเหรียญควรมีราคาเท่าไร ? และทุกเหรียญคือเหรียญที่มีค่าหรอ จากจุดเริ่มต้นของ Bitcoin ที่มีเหรียญจำกัด ไม่เหมือนสกุลเงินแบบเก่าที่พิมพ์เพิ่มมาตลอด และวันนี้เกิดเหรียญมากมาย ทุกคนกลับลืมไปว่า เหรียญใหม่เกิดขึ้นมาไม่หยุดแล้วทุกคนก็ให้ราคามัน แล้วมันจะต่างจากสกุลเงินแบบเก่าอย่างไรเหมือนการเกิดเหรียญใหม่ก็เสมือนว่าพิมพ์เงินเข้ามาในระบบนั้นเอง

โดยมองว่า DeFi ยังอยู่ในช่วงเริ่มแรกของการทดสอบ concept เท่านั้นซึ่งทุกคนก็ตามกันไปลงทุนใน DeFi เยอะมาก เมื่อมีคนลงเงินเยอะ โครงการ DeFi ก็เปิดตัวเยอะตามไปด้วยเรียกกันว่า เปิดกันเป็นว่าเล่น มีการแจก air drop หรือ token ฟรี ก็มาก

นอกจากนี้การเข้ามาของ big player ไม่ว่าจะเป็น George Soros, Elon musk, JACK DORSEY และกองทุนต่างๆ ทำให้ราคา crypto แต่ละเหรียญพุ่ง all time high ไม่หยุด เมื่อมีคนซื้อที่ราคาสูงย่อมมีคนขายที่ราคาสูง กำไรมากมายจึงเกิดขึ้น คำถามที่ไม่มีใครรู้คือ คนที่ทำกำไรไปแล้วจะนำเงินกลับเข้ามาในตลาด crypto หรือไม่ แล้วมูลค่าที่อยู่ใน pool DeFi ละจะปลอดภัย ไม่โดนโกงทุก pool เลยรึเปล่า ณ จุดทดสอบการเกิดของ DeFi มีคำถามที่รอคำตอบมากมาย การกำหนดแนวทางและท่าทีของรัฐบาลต่างๆทั่วโลก ? จะเป็นอย่างไรหลังจากนี้ ?

หากใครลงทุนใน crypto แล้วไม่มีความรู้ เห็นคนได้กำไรแล้วก็ลงทุนตามแบบหลับหูหลับตา ต้องบอกว่า ระวังตัวให้ดี เพราะในเวลานี้ผลประโยชน์เพิ่มขึ้น มหาศาล มันย่อมทีมีคนต้องจ่าย คนที่จ่ายคือคนที่ขาดทุนนั้นเอง

#484
หัวใจหลักของการเทรด คือ "ความสงบของจิตใจ" เมื่อเรามีสติ ไม่มีอารมณ์ร่วมกับกราฟ จะทำให้เราสามารถ ตัดสินใจในการเทรดได้ดียิ่งขึ้น

จะทำให้จิตใจสงบได้นั้น

1. ไม่ต้องเปรียบเทียบกับผู้อื่น

ขอแค่รู้จักตนเอง เข้าใจความสามารถตนเอง เข้าเทรดเฉพาะวิธีการที่เราถนัด เวลาผิดพลาดเราจะได้แก้ปัญหาได้

2. บริหารเงินได้อย่างเหมาะสม

หากเราจัดสรรเงินเยอะเกินไป (Over Trade) จิตใจเราก็จะไปผูกกับ พอร์ต กับกราฟ สุดท้ายเราก็จะเข้าไปดูกราฟบ่อยๆ หากผิดทางเราก็ยิ่งกดดังขึ้นไปอีก

อยากให้เริ่มตั้งแต่แบ่งเงินเข้าพอร์ตเลย เช่น ถ้าเทรดรอบเร็ว หรือ day trade ให้เติมเงินในปริมาณที่คิดว่าถ้าล้างพอร์ตไปแล้วไม่รู้สึกอะไร และ เข้า lot ด้วยจำนวนที่เหมาะสม MM ดีๆ ถ้าจะคิดง่ายๆ คือ พอร์ตเล็กเอา จำนวนเงิน หาร 10,000 พอร์ตใหญ่ หาร 100,000 เช่น พอร์ตเล็ก มี 100 เหรียญ หาร หมื่น ได้ 0.01 เข้าไม่เกิน 2-3 ไม้

3. เข้าใจธรรมชาติของกราฟ

มันจะมีเวลาวิ่ง มีเวลาพัก เฉพาะในแต่และกราฟ เช่น เวลาเช้า ก็ AUD JPY NZD ช่วงบ่าย EUR GBP CHF และ ค่ำๆ ก็ USD และคู่เงินยุโรป

4. ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

หลายๆคน อาศัยสัญญาการเทรด หรือ เอา Robot (EA) มารัน ก่อนที่จะอาศัยช่องทางของคนอื่น อยากให้เข้าไปทำความเข้าใจให้อย่างลึกซึ้งว่า เข้าเทรดด้วย เทดนิคอะไร มีข้อยกเว้นอะไรบ้าง

ที่ต้องทำความเข้าใจ เพราะว่า หากเกิดข้อผิดพลาดเราจะได้ตัดสินใจได้

ถึงแม้วันนี้เราเอา EA ไปรัน โดยหวังว่าเราจะไม่ต้องเฝ้า หากเราจัดสรรเงินไม่เหมาะสม ไม่รู้จักว่า EA นั้นทำงานอย่างไร สุดท้ายเปิดมาเจอพอร์ตแดงๆ อาการยิ่งหนักว่าเดิม แถมยังไม่รู้ว่าควรต้องทำอะไรอีกด้วย เพราะถ้าเข้าด้วยมือยังยอมตัดขาดทุน แต่เข้าด้วย EA ไม่รู้ว่ามันจะกระทบอะไรไหม

ทั้ง 4 ข้อมานี้ เพื่อตอบคำถาม ที่ว่า "เทรดยังไง ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องเฝ้ากราฟ" เราสิ่งที่เรามองหาจริงๆ ภายใต้คำถามนี้คือ

"ความสงบสุขในจิตใจ"
#485
Money managemant / Risk Management คืออะไร
กุมภาพันธ์ 28, 2022, 04:31:17 ก่อนเที่ยง
Risk Management คืออะไร

ในบรรดาคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการเทรด forex คำว่า Risk Management หรือการ "บริหารความเสี่ยง" แน่นอน การเทรด forex คือความเสี่ยงอยู่แล้ว และเป็นความเสี่ยงที่มีมากเสียด้วยในการซื้อขายตราสารต่างๆ ดังนั้นเพื่อให้คุณไม่ต้องมานั่งเสียใจ เพราะว่าพอร์ตที่คุณสร้างมากับมือถูกล้างจนใสสะอาดแล้ว ลองศึกษาคำว่า Risk Management กับ forex อันนี้ดูนะครับ น่าจะช่วยอะไรคุณได้มากทีเดียว

Risk Management คืออะไร

คำว่า Risk Management แปลเป็นไทยได้ว่า "การบริหารความเสี่ยง" โดยเป็นการบริหารความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาด forex ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงมากในเรื่องของความเสี่ยง การบริหารความเสี่ยงในการเทรดที่ดี จะส่งผลให้คุณนั้นมีโอกาสสูงในการทำกำไร โดยความเสี่ยงทั้งหมดนั้นจะเกี่ยวข้องกับเงินทุน (Asset) ที่คุณมีในพอร์ตการลงทุน

วิธีการใช้ Risk Management กับ forex

ขั้นตอนการบริหารความเสี่ยงหรือ Risk Management กับการเทรด forex นั้น สรุปออกมาได้เป็นขั้นตอนดังต่อไปนี้คือ

1.หาระบบในการเทรดของคุณให้รัดกุม หมายถึงตัวบ่งชี้ เลือกมาประมาณ 3-4 ตัว เพื่อประกอบการเทรดของคุณ และจะทำให้คุณบริหาร Risk Management ได้ดีอีกด้วย และจำเป็นจะต้องทำตามระบบ อย่างเคร่งครัด

2.กำหนดการบริหารการเงินของคุณให้ดีที่สุด สำคัญมาก ถ้าหน้าตักของคุณไม่บริหารอย่างดี คุณก็อาจจะเสียหน้าตักไปได้ง่ายๆ แบ่งการลงทุนหรือวางหน้าตักให้ดีๆ เพื่อที่จะกำหนด แผนการลงทุนของคุณอย่างรอบครอบ

3.อย่าวางเงินหมดหน้าตัก  คือหมายถึง อย่าไปบ้า! เดิมพันมันเหมือนการพนัน อย่าทำ! เพราะถ้าเราเป็นนักลงทุน เราจะไม่ทำตัวเป็นนักพนัน นักลงทุนจะใจเย็นและรอได้เสมอ แต่นักพนันจะไม่ใจเย็นและ หวังพึ่งดวงอย่างเดียว

4.เทรดตามระบบเท่านั้น! เน้นว่าตามระบบเท่านั้น หากคุณจะเทรดนอกเหนือจากระบบที่คุณวางไว้ให้หยุดทำเด็ดขาด การทำนอกเหนือจากระบบนั่นหมายถึง การที่เราขาดระเบียบวินัย เมื่อเราขาดวินัยแล้วเราควรจะหยุดเทรดทันที

ข้อดีของการทำ Risk Management

1.ช่วยให้คุณนั้นสามารถรักษาเงินต้นของคุณไว้ได้อย่างปลอดภัย

2.ช่วยให้คุณนั้นสามารถมองหาโอกาสอย่างง่ายๆในการทำกำไร และที่สำคัญคือ ปัญหาเรื่องของการล้างพอร์ตจะไม่เกิดขึ้นกับคุณ

3.ช่วยให้คุณนั้นสามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ และรู้ว่าการเทรด forex คือการลงทุนไม่ใช่การพนัน

4.ห้ามลืมว่าการทำ Risk Management นั้นเกี่ยวข้องกับการบริหารเงินหน้าตักของคุณ

5.อย่าเมินเรื่องความรู้เกี่ยวกับ Risk Management คุณต้องหมั่นเรียนรู้สูตรต่างๆของ Risk Management ด้วยเสมอๆ

สรุปแล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเทรด forex หรือว่าเทรดหุ้น หรือแม้แต่การทำงานแบบปกติของคุณ คุณก็จะต้องใช้ Risk Management ทั้งหมดทั้งสิ้น ดังนั้น ถ้าคุณยังไม่มีแผนการบริหารความเสี่ยงของคุณในการเทรด forex จงประยุกต์หลักการข้างต้นนี้แล้วใช้เลย
#486
6 เคล็ดลับที่นักเทรด Forex มือใหม่ควรรู้ พร้อมทริคการเทรดให้ได้กำไร

หากเราต้องการทำบางสิ่งบางอย่าง สิ่งแรกที่เราต้องทำในการเริ่มต้นคืออะไร เริ่มต้นจากการทำเรื่องที่ยากและซับซ้อนก่อน หรือเรียนรู้พื้นฐานเพื่อทำความเข้าใจในสิ่งนั้น ๆ ก่อนหรือไม่ เพื่อให้ประสบความสำเร็จกับสิ่งนั้น ๆ การศึกษาพื้นฐานก่อนเริ่มเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับการเทรด Forex การเรียนรู้ที่จะเป็นนักเทรดฟอเร็กซ์ก็ไม่ต่างกัน นักเทรดต้องรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เป็นไปได้ก่อนที่จะเริ่มซื้อขายด้วยเงินที่หามาได้อย่างยากลำบาก หากใครที่อยากจะเทรดให้ประสบความสำเร็จ ต้องใช้เวลา การฝึกฝน และความทุ่มเทอย่างมาก เรามี 6 เคล็ดลับสำหรับมือใหม่ และอีก 5 เทคนิคในการเทรดให้ประสบความสำเร็จ

มือใหม่หัดเทรด Forex กับสิ่งที่ต้องรู้ก่อนเริ่ม

1. เข้าใจตลาด ก่อนที่จะเริ่มซื้อขาย มือใหม่ต้องเรียนรู้ตลาดฟอเร็กซ์ มีคำศัพท์เฉพาะเจาะจงมากมายสำหรับการซื้อขายฟอเร็กซ์ที่เราอาจไม่เข้าใจในตอนแรก จำเป็นต้องเรียนรู้คู่สกุลเงินและสิ่งที่ส่งผลต่อคู่สกุลเงินทั้งหมด การเรียนรู้จากโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่ดีที่สุดคือจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมสำหรับมือใหม่

2. สร้างแผนการซื้อขาย นักเทรดมืออาชีพทุกคนมักจะบอกให้คุณสร้างแผนการและปฏิบัติตามนั้น ในตอนแรก การพัฒนาแผนการซื้อขายอาจดูเหมือนว่าไม่จำเป็น แต่อย่าลืมว่าทุกคนอยู่ที่นี่เพื่อผลกำไร เมื่อคุณเจาะลึกลงไปในแผนการเทรดทั้งหมด คุณจะรู้ว่าแผนดังกล่าวรวมถึงเป้าหมายทางการเงิน การยอมรับความเสี่ยง จุดหยุด/ขาดทุน และอื่น ๆ อีกมากมาย

3. ค้นหาแพลตฟอร์มการซื้อขาย คุณจะต้องมีแพลตฟอร์มการซื้อขายเพื่อเริ่มเทรด คุณควรใช้เวลาในการค้นคว้าเกี่ยวกับแพลตฟอร์มต่าง ๆ ก่อนเลือก บางแพลตฟอร์มมีทรัพยากรที่ดีกว่าแพลตฟอร์มอื่น ในขณะที่บางแพลตฟอร์มไม่มีบัญชีทดลองให้ลองเล่น ดูแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตลาด และเปรียบเทียบคุณสมบัติต่าง ๆ จนกว่าจะเจอสิ่งที่ใช่สำหรับคุณ

4. ฝึกฝนก่อนเริ่มจริง หากคุณต้องการเป็นนักเทรดที่ขาดทุนให้น้อยที่สุด คุณจะต้องฝึกฝนกลยุทธ์การซื้อขายของคุณก่อน สิ่งสุดท้ายที่คุณต้องการคือ การดำดิ่งเข้าสู่โลกของ Forex ด้วยกลยุทธ์ใหม่ ๆ เพียงเพื่อค้นหาช่องโหว่ที่สำคัญที่ทำให้คุณขาดทุน แก้ไข และประยุกต์ใช้ให้สมบูรณ์แบบมากที่สุด การฝึกฝนเป็นกุญแจสำคัญสำหรับมือใหม่ ตลาด Forex คือ ตลาดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ บัญชีทดลองเป็นวิธีหนึ่งในการรับมือกับความเสี่ยงด้านการเงินของคุณได้ดีที่สุด

5. อยู่เหนืออารมณ์ของตัวเอง หากมีกฎข้อหนึ่งที่ต้องจำไว้ในฐานะนักเทรดมือใหม่ นั่นก็คือให้ระงับอารมณ์ของคุณก่อนที่จะเริ่มซื้อขาย การซื้อขายที่ล้มเหลวจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดจะนำไปสู่การล้างพอร์ตได้ หลายคนเทรดไม่สำเร็จ และต้องการเอาชนะเพื่อเอาทุกสิ่งกลับคืนมา เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น อารมณ์ของคุณจะกลายเป็นตัวตัดสินทุกอย่าง แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะ Cut loss ของคุณ แต่มือใหม่หลายคนคิดว่าหากพวกเขาสามารถชนะการเทรดครั้งใหญ่ได้ แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้ผลเสมอไป

6. พร้อมที่จะเรียนรู้เสมอ นักเทรดที่ประสบความสำเร็จคือผู้ที่เรียนรู้อยู่เสมอ นั่นเป็นเพราะว่าตลาดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งหมายความว่าคุณจะต้องปรับกลยุทธ์การซื้อขายของคุณให้เป็นไปตามกลไกของตลาด แม้ว่าคุณจะมีกลยุทธ์ที่เหมาะกับคุณ แต่คุณก็ควรเตรียมพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์นี้

5 เคล็ดลับที่จะช่วยให้การเทรด Forex ประสบความสำเร็จ

1. มีวินัยในการค้นคว้า ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์โดยการศึกษาตลาดทุกครั้งก่อนซื้อขาย การซื้อขายที่อาจเกิดขึ้น ประวัติการซื้อขาย และข้อมูลต่าง ๆ ที่มีค่า ยิ่งค้นคว้าได้มากเท่าไหร่ คุณก็จะมีความพร้อมมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าคุณจะสามารถค้นคว้าได้หลายชั่วโมงและการซื้อขายของคุณอาจไม่ได้ผล อย่ายอมแพ้ ให้พยายามต่อไป มองหาจุดที่พลาด หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ได้

2. ค้นหาแพลตฟอร์ม หรือโบรกเกอร์ที่เหมาะสม เลือกโบรกเกอร์และแพลตฟอร์มที่ดีที่สุดที่เหมาะกับความต้องการ มูลค่า และรูปแบบการซื้อขายที่คุณชอบ การมีโบรกเกอร์หรือแพลตฟอร์มที่ไม่ดีมากมายที่อาจทำให้เกิดปัญหากับคุณได้ นี่เป็นอีกประเด็นที่ควรระวังเอาไว้ให้ดี ค้นหาโบรกเกอร์และแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือในประเทศ ดูว่าแพลตฟอร์มนั้นมีฟังก์ชันอะไรที่คุณต้องการในการเทรดหรือไม่

3. มีกลยุทธ์การซื้อขาย กลยุทธ์การซื้อขายเป็นเคล็ดลับที่จำเป็นสำหรับนักเทรดทุกราย กลยุทธ์การซื้อขายของคุณสามารถช่วยให้คุณประหยัดและทำกำไรได้ ช่วยให้คุณอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง และทำให้การซื้อขายสนุกมากยิ่งขึ้น เมื่อสร้างกลยุทธ์การซื้อขายของคุณ ให้รวมจุดต่าง ๆ เช่น วิธีการซื้อขายที่คุณต้องการ เวลาและสถานที่ที่คุณต้องการซื้อขาย และระดับความเสี่ยงของคุณคืออะไร การเพิ่มจุดหยุดหากคุณสูญเสียมากเกินไป และเมื่อใดควรหยุดเมื่อคุณมีรายได้มาก

4. ใช้เงินเย็นในการเทรด โลกแห่งการลงทุนและผลกำไรเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดอยู่เสมอ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำกำไรได้มากมายในระยะเวลาสั้น ๆ การใช้เงินเย็นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการซื้อขาย Forex เพื่อป้องกันปัญหาทางการเงินในชีวิตจริง และยังช่วยให้นักเทรดไม่เครียดมากเกินไปหากขาดทุน

5. ไม่เทรดตามอารมณ์ ให้เทรดอย่างรอบคอบและชาญฉลาด หากคุณขาดทุนในการเทรด แน่นอนว่าคุณจะรู้สึกโกรธ เสียใจ กังวล และอีกมากมาย ทำให้ต้องการเทรดอีกครั้งเพื่อเอาชนะและเอาทุนคืน ซึ่งก็จะนำไปสู่การขาดทุนเพิ่มเข้าไปอีก ความรู้สึกเหล่านี้มักจะทำให้เราเลิกใช้เหตุผลและมองหาสิ่งที่เราไม่จำเป็นต้องทำ

ไม่ใช่ทุกการเทรดที่จะประสบความสำเร็จ ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้วางแผนสำหรับวันที่คุณจะขาดทุน ใช้เวลาเตรียมตัวให้พร้อมเมื่อคุณเริ่มเทรดฟอเร็กซ์ เมื่อทำถูกต้อง (และมีความรับผิดชอบ) แล้ว การเทรดฟอเร็กซ์จะประสบความสำเร็จอย่างมาก การเทรด Forex คือ วิธีที่ยอดเยี่ยมในการกระจายพอร์ตการลงทุนของคุณ การเรียนรู้พื้นฐาน เพื่อให้คุณเข้าใจในสิ่งที่คุณทำ วิธีการทำงานทุกอย่างจะช่วยให้คุณไปสู่เส้นทางการซื้อขายที่ประสบความสำเร็จมากขึ้น

#487
ทุกวันนี้เวลาพูดถึง Bitcoin หรือเทคโนโลยี Cryptocurrency หรือที่คนไทยนิยมใช้คำว่า "เหรียญ" หลายคนก็อาจจะคุ้นชินกับการใช้งานแอปพลิเคชันซื้อขาย จัดเก็บเหรียญของตัวเอง หรือการใช้อุปกรณ์ช่วยจัดเก็บต่าง ๆ เพิ่มเติม แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่เราต้องรู้เลยก็คือ การใช้งานเป็นไม่ได้แปลว่าเราจะใช้งานมันได้อย่างปลอดภัย เพราะทุกสิ่งล้วนมีช่องโหว่ในตัวมันเอง

ส่วนมากหลายคนอาจจะบอกว่าเทคโนโลยี Cryptocurrency นั้นปลอดภัยในตัวมันเองอยู่แล้วภายใต้แนวคิด Blockchain แต่ให้ลองนึกภาพดูว่า เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ดูเหมือนจะปลอดภัย อย่างการใช้เทคนิคเข้ารหัสต่าง ๆ เช่น RSA หรือแม้กระทั่ง Protocal HTTPS ที่เราใช้งานกันเป็นประจำ นอกจากทางเทคนิคแล้วก็ยังเกิดช่องโหว่อันเนื่องมาจากการใช้งานของผู้ดูแลระบบได้ ความรู้ความเข้าใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ ทรัพย์สินหาย เก็บทรัพย์สินไว้แต่ไม่สามารถเข้าถึงได้ ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ เพื่อช่วยให้เราระมัดระวังพฤติกรรมการใช้ Cryptocurrency ของตัวเอง ไม่งั้นอาจเงินหายไม่รู้ตัว

การเก็บ เก็บอย่างไรให้ปลอดภัย
เมื่อพูดถึงการเก็บ เราก็คงต้องพูดกันก่อนว่า Cryptocurrency ประเภทต่าง ๆ เช่น Bitcoin หรือ Ethereum นั้นมันก็คือข้อมูลชุดหนึ่งในรูปแบบของตัวอักษรเข้ารหัสบนคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ในรูปแบบที่มนุษย์ไม่เข้าใจ ซึ่งมันจะถูกจัดการโดยระบบ Network ที่อยู่เบื้องหลังซึ่งเราจะไม่มีทางรู้ว่าข้อมูลของเราถูกส่งไปเก็บไว้ที่ไหนอีกบ้างนอกจากเรา แต่สิ่งสำคัญคือการยืนยันว่าเราเป็นเจ้าของข้อมูลนั้น ๆ นี่คือสิ่งที่บ่งชี้ว่าเราเป็นเจ้าของสินทรัพย์อันเป็นตัวอักษรเข้ารหัสนั้น ๆ จริง ๆ

หลาย ๆ คนมักจะแบ่งลักษณะของการเก็บ Cryptocurrency ไว้เป็นสองอย่างง่าย ๆ ได้แก่ Hot wallet และ Cold Wallet

Hot Wallet นิยมใช้ในการเป็นกระเป๋าที่เชื่อมต่อกับ Internet อยู่ตลอดเวลา เช่น Binance, Bitkub, Coinbase พูดง่าย ๆ ก็คือ เป็น Platform ชนิดหนึ่ง โดยตัวนี้เชื่อว่าคนไทยจะคุ้นชินกันดี เพราะกระแสนิยมของไทยตอนนี้คือการแลกเปลี่ยนซื้อขายเหรียญต่าง ๆ ในเวลาอันสั้น และเพื่อความสะดวก มันจึงมาในรูปแบบของแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่ช่วยให้เราจัดเก็บข้อมูลสำคัญ ๆ ไว้โดยที่เราอาจจะไม่ต้องเข้าใจการทำงานของ Blockchain มันมาก (จึงมักจะเจอคำถามแนว ๆ ว่า ถอนมันออกมาอย่างไรซะมากกว่าการถามว่าจะซื้ออย่างไร)
Cold Wallet กระเป๋าเงินเย็น ก็เหมือนกับเงินเย็นที่เราอยากจะเก็บไว้ยาว ๆ ไม่ได้รู้สึกว่าจะแลกเปลี่ยนหรือซื้อขาย หรืออาจจะเป็นกระเป๋าที่ใช้เก็บกำไรที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนซื้อขาย ตัวอย่างเช่น การเก็บ private และ public keys ไว้ในวอลเล็ตฮาร์ดแวร์อย่าง Paper Wallet หรือแม้แต่ USB Drive ที่สร้างขึ้นเพื่อเก็บข้อมูลส่วนนี้โดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามราคาของ Cold Wallet เมื่อเทียบกับมูลค่าที่เกิดขึ้นจริง ๆ ตอนนั้นมันก็จะยังแปรเปลี่ยนไปตามจริง หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วจะเก็บในรูปแบบ Cold Wallet ไปทำไม อันนี้ต้องบอกว่าเป็นเหตุผลด้านความปลอดภัย ก็คือคำตอบเดียวกับว่าทำไมเราไม่พกเงินออกจากบ้านไปเยอะ ๆ นั่นเอง
เป็นที่ทราบกันดีว่า เมื่อใดที่ข้อมูลของเราอยู่บนอินเทอร์เน็ต ข้อมูลของเรานั้นมีความเสี่ยงอยู่เสมอ การใช้งาน Hot Wallet หรือแอพปลิเคชันซื้อขายต่าง ๆ จึงมีการรักษาความปอดภัยที่สูง ตั้งแต่การใช้ OTP (One-time Password) การยืนยันตัวตนว่าเราไม่ใช่บอทหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Not a robot) หรือแม้กระทั่งการป้องกันการถ่ายภาพหน้าจอ, การรีโมตควบคุมอุปกรณ์ของเรา นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม เราควรใช้บริการ Wallet หรือ Platform ซื้อขายที่มีความน่าเชื่อถือสูง ปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นหากมีความหละหลวมด้านความปลอดภัยก็เช่น เราอาจจะโดน Hack หรือฝังโปรแกรมเอาไว้ในมือถือเพื่อเป็น Key-logger (บันทึกว่าเราพิมพ์อะไรลงไปในโทรศัพท์ เช่น รหัสผ่าน หรือ Address ต่าง ๆ) หรือแม้กระทั่งการทำการโจมตีแบบ Man-in-the-middle attack ในขณะที่เรากำลังใช้เครือข่าย หรือ WiFi สาธารณะ

จะเห็นว่าที่เราพูดมานั้น ก็ไม่ต่างกับการรักษาความปลอดภัยรูปแบบอื่น ๆ เท่าไหร่ เช่นเดียวกับ Social Media หรือแอปพลิเคชันการเงินการธนาคารอื่น ๆ รวมถึงพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้ด้วย ดังนั้นถ้าเรามีประสบการณ์ด้านการใช้งาน Platform ต่าง ๆ บนโลกออนไลน์อยู่แล้วอาจจะไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์ และเก็บรักษารหัสผ่านของตัวเองไม่ดี ใช้ WiFi ที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือไม่ยอมเปิดใช้งาน OTP หรือแม้กระทั่งชอบวางโทรศัพท์ของตัวเองไว้ในที่ต่าง ๆ หรือแชร์ Pin ของตัวเองให้ผู้อื่นได้รู้

Cold Wallet แค่ไหน ถ้าไม่ระวังก็อาจทำเงินปลิวหายไปได้เช่นกัน
คำว่าความปลอดภัยนั้น อาจจะไม่ได้ใช้กับแค่สิ่งที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต หรือว่าการป้องกันการมีคนมา Hack เท่านั้น มีหลาย ๆ กรณีที่ความประมาททำให้เราเสียทรัพย์ โดยเกิดขึ้นจากความผิดพลาดในฝั่งออฟไลน์ เช่น เราอาจจะทำ Key ที่ใช้ในการเข้าถึง Cryptocurrency สูญหาย หรือกำลังทำธุรกรรมอยู่แต่เกิดไฟดับ ทำให้การทำธุรกรรมไม่สมบูรณ์ และความน่ากลัวของมันก็คือพอ Cryptocurrency ไม่ได้มีศูนย์กลาง เราไม่สามารถไปร้องเรียนหรือโวยวายกับใครได้ คนที่จะให้ความสำคัญกับสินทรัพย์ของเรามากที่สุดก็คือตัวเราเอง ไม่เหมือนกับเงินที่ถ้าหล่นหายแล้วมีคนเก็บได้อาจจะได้ส่วนแบ่งจากเงินนั้น แต่ในกรณีของ Cryptocurrency นี้ก็คือ ตัวใครตัวมัน กระเป๋าเงินใครกระเป๋าเงินคนนั้น

สื่อ The New York Times เคยพูดถึงกรณีของ Stefan Thomas โปรแกรมเมอร์ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งต้องสูญเสีย Bitcoin มูลค่ากว่า 7,000 เหรียญ (ซึ่งมีมูลค่าหลักแสนล้านในปัจจุบัน) จากเหตุผลง่าย ๆ เพียงแค่เขาทำ Key ที่ใช้ในการเข้าถึงหาย และแน่นอนว่ามันไม่เหมือนกับเราทำเงินแสนล้านหายบนท้องถนน แต่กรณีนี้ข้อมูล Bit และ Byte เหล่านั้นกลายเป็นข้อมูลที่ไม่มีค่าเลย

ดังนั้นสิ่งสำคัญที่เราควรพึงระลึกไว้เสมอในขณะที่ทำธุรกรรม Cryptocurrency ก็คือ

- ใช้งาน Platform หรือ Wallet ที่มีความน่าเชื่อถือ
- ป้องกันตัวเองทั้งในทางออนไลน์ ด้วยการใช้รหัสผ่านในการเข้า Platform ที่น่าเชื่อถือ เปิดใช้งาน OTP และที่สำคัญคือป้องกันอุปกรณ์ของเรา ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ เพื่อไม่ให้ซอฟแวร์ไม่พึงประสงค์มาดักข้อมูลในขณะที่เรากำลังเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ต
- แม้กระทั่งทางฝั่งออฟไลน์ก็เช่นกัน อาจเกิดเหตุการณ์เช่น Key หาย หรือแม้กระทั่งหากโดน Ransomware ขึ้นมา เราก็อาจสูญเสียข้อมูลที่เราเก็บเอาไว้ได้
Solution ที่น่าสนใจในการเก็บสินทรัพย์ดิจิทัล
เนื่องจากการป้องกันการโดนโจมตี หรือการป้องกันความประมาท ทำให้ทุกวันนี้มีอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ทำขึ้นมาเพื่อรองรับการทำธุรกรรม Cryptocurrency มากขึ้น เช่น อุปกรณ์สำหรับการเก็บ Key ที่หน้าตาคล้ายกับ Flash Drive แต่ออกแบบมาเพื่อเป็นกระเป๋าเงินให้เราเพื่อให้เราไม่ต้องเสี่ยงบันทึกไว้ในอุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีการรักษาความปลอดภัยต่ำกว่า

หรือแม้กระทั่งการออกแบบระบบปฏิบัติการ (Operating System) ให้รองรับกับการดูแลไฟล์ที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency โดยตรง หรือมี Blockchain Wallet ให้มากับระบบปฏิบัติการของตัวเอง เช่น Samsung Blockchain Wallet ที่ทำให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้มากขึ้น

และสุดท้าย Social Engineering คือสิ่งที่น่ากลัวไม่แพ้กัน
สุดท้ายนี้คงต้องบอกว่า ไม่ว่าระบบจะถูกออกแบบมาให้ปลอดภัยแค่ไหน แต่การถูกหลอก ถูกล่อลวง ถูกยุแยงยุยง ให้ทำธุรกรรมโดยไม่ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ก็เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้สูญเสียทรัพย์ได้ โดยเฉพาะการทำธุรกรรมแบบ P2P (Peer-to-Peer) ในการแลกเงินเข้าสู่ระบบ ที่ปกติจะทำกันในลักษณะไม่ระบุตัวตน ตรวจสอบไม่ได้ ทำให้เกิดกรณีซื้อขายแต่ทรัพย์สินไม่ได้ตามที่ตกลงกันไว้เป็นประจำ เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องพึงระวังไว้

เพราะว่า Blockchain และ Cryptocurrency นั้นไม่สามารถไปโวยวายกับใครได้ การดูแลความปลอดภัยของตัวเราเองจึงสำคัญที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้ทรัพย์สินของเราหายไปโดยไม่ได้ตั้งใจ และยากที่จะกู้กลับคืนมาได้ เพราะสุดท้ายนอกจากความเชื่อร่วมที่มนุษย์มีร่วมกัน มันก็เป็นแค่เลข 0 และ 1 ที่ไม่ได้มีตัวตนจริง ๆ ด้วยซ้ำ
#488
ปีใหม่นี้เราจะเห็นความคึกคักของ "สินทรัพย์ดิจิทัล" ในรูปแบบต่างๆ ที่สังคมไทยจะประสบพบเห็นและกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทยมากขึ้นตามลำดับ

ไม่ว่า "ผู้กำกับกฎเกณฑ์" หรือ regulators เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ก.ล.ต. จะมีแนวทางหรือจุดยืนต่อวิวัฒนาการเรื่อง cryptocurrencies ในรูปแบบต่างๆ

ก่อนสิ้นปีสังเกตเห็นแบงก์ชาติได้พยายามออกมาทำความเข้าใจกับคนไทยทั่วไปถึงเรื่องต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับนวัตกรรมด้าน FinTech เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง

เป็นที่เข้าใจว่ากลไกของรัฐในกิจกรรมเหล่านี้จำเป็นต้องให้ความรู้และข้อมูลต่อสาธารณชนในประเด็นต่างๆ เหล่านี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความไม่ชอบมาพากลในระบบแต่ก็เป็นที่รับรู้ว่ากระแสเช่นนี้มิอาจจะต้านได้หากมันตอบโจทย์ของสังคมได้ในระดับหนึ่ง

จึงทำให้เจ้าหน้าที่รัฐเองมีหน้าที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มของโลกในเรื่องของสินทรัพย์ดิจิทัลที่มิอาจสกัดหรือยับยั้งทั้งหมดได้

ไม่ว่าจะมี "มุมมืด" ของปรากฏการณ์เหล่านี้อย่างไร ก็ยังมี "มุมสว่าง" ที่ทุกรัฐบาลทั่วโลกจำเป็นต้องทำความเข้าใจเพื่อปรับตัวและกฎเกณฑ์ให้สอดคล้องกับแนวโน้มใหม่

เอกสารทางการของธนาคารแห่งประเทศไทยล่าสุดที่ผมได้รับอธิบายเรื่องเหล่านี้ว่าอย่างนี้ มุมมองของ ธปท.ต่อการพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน และเงินสกุลดิจิทัล (CBDC) หรือ Central Bank Digital Currency

1.มุมมองของ ธปท.ต่อเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เปรียบเทียบกับ Digital Asset

- เทคโนโลยี Blockchain ได้นำหลักของการกระจายศูนย์แบบไม่มีตัวกลางมาใช้
โดยในการทำงานจะมีกลไกการตรวจสอบความถูกต้องจากคนส่วนใหญ่หรือทั้งหมดในกลุ่ม ทำให้แก้ไขและเปลี่ยนแปลงกิจกรรมต่างๆ ที่อยู่บน Blockchain ได้ยาก

จึงทำให้กิจกรรมที่เกิดขึ้นบนเทคโนโลยี Blockchain มีความน่าเชื่อถือ และส่งผลให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมเกี่ยวกับการเงินที่ต่อยอดบน Blockchain ที่หลากหลาย

- ธปท.เห็นความสำคัญและศักยภาพของเทคโนโลยี Blockchain ในการเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัย รวมถึงช่วยลดต้นทุนของระบบเศรษฐกิจการเงิน
ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้พัฒนากิจกรรมหรือบริการทางการเงินต่างๆ สำหรับภาคธุรกิจ เช่น โครงการ National Digital Identity (NDID) โครงการ electronic letter of guarantee (e-LG) ของภาคธนาคาร หรือการใช้พัฒนาระบบการโอนเงินระหว่างประเทศของผู้ประกอบธุรกิจ เป็นต้น

- อย่างไรก็ดี ธปท.ไม่สนับสนุนให้นำสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใช้เทคโนโลยี Blockchain มาใช้ในการชำระค่าสินค้าและบริการ (Means of Payment : MOP)
เนื่องจากอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงกับประชาชน

เช่น ความผันผวนด้านราคา ความปลอดภัยของระบบ และอาจถูกเป็นช่องทางของการฟอกเงิน

นอกจากนี้ หากมีการใช้อย่างแพร่หลายในกิจกรรมการชำระเงินต่างๆ จะส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบการชำระเงิน และเสถียรภาพทางการเงิน รวมถึงความสามารถในการดูแลภาวะการเงินในประเทศ

2.Central Bank Digital Currency (CBDC) คืออะไร?

และแผนของ ธปท.ไปในทิศทางไหน?

- CBDC คือ เงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดย ธปท. ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือนเงินบาทหรือธนบัตร
เพียงแต่อยู่ในรูปแบบดิจิทัล สามารถใช้เป็นสื่อกลางเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการได้ตามกฎหมาย และสามารถรักษามูลค่าให้ไม่ผันผวน

ซึ่งต่างจาก cryptocurrency ที่ออกโดยภาคเอกชน ซึ่งมักมีมูลค่าที่ผันผวน และความเสี่ยงจะขึ้นกับผู้ออกเหรียญ จึงไม่เหมาะที่จะนำมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ

ขณะที่ stablecoin แม้ว่าจะมีเงินสกุลปกติ หลักทรัพย์ หรือทรัพย์สิน เช่น ทองคำ ค้ำประกันให้มูลค่าไม่ผันผวนมากนัก แต่ยังมีความเสี่ยงจากผู้ออกอยู่เช่นกัน

- ระบบการชำระเงินที่ให้บริการประชาชนในปัจจุบันมีประสิทธิภาพและมีต้นทุนต่ำอยู่แล้ว สะท้อนจากยอดผู้ใช้งานและจำนวนบัญชีพร้อมเพย์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
โดยปัจจุบันพร้อมเพย์มีจำนวนผู้ลงทะเบียนแล้ว 67.5 ล้านหมายเลข (ID) มียอดการโอนเงินเฉลี่ย 34.9 ล้านรายการต่อวัน คิดเป็นมูลค่าธุรกรรมเฉลี่ย 9.7 หมื่นล้านบาทต่อวัน

ดังนั้น การพัฒนา Retail CBDC ในกรณีของไทย จึงไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อมาทดแทนการบริการชำระเงินที่มีอยู่เดิมหรือการให้บริการของภาคเอกชน

แต่เป็นการเตรียมความพร้อมในการเป็นโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการต่อยอดนวัตกรรมการเงินของภาคธุรกิจและประชาชนในอนาคต

ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางในเรื่องนี้ของธนาคารกลางอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา เช่น Public Bank of China (PBoC), Swedish Central Bank, Bank of England

หรือแม้กระทั่ง Fed ที่อยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนา CBDC ร่วมกับ Massachusetts Institute of Technology (MIT) เป็นต้น

ทั้งนี้ ธปท.จะเริ่มทดสอบการใช้ Retail CBDC กับภาคประชาชนในวงจำกัดในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 เพื่อประเมินแนวทางการพัฒนาในระยะต่อไป

คำอธิบายของแบงก์ชาติทำให้เห็นถึงจุดยืนที่ระมัดระวังในการมองการใช้ digital assets ในหลายๆ วงการ

ยิ่งเมื่อมีนวัตกรรมด้าน Metaverse และ Decentralized Finance (De-Fi) ที่กำลังแตกลูกหลานออกมาในรูปแบบต่างๆ ก็ยิ่งทำให้ต้องมีการปรับตัวของทุกฝ่ายอย่างปฏิเสธไม่ได้

ต้องถือว่าเราอยู่ในสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง

เป็นจังหวะที่ฝ่ายผู้กำกับดูแลกับฝ่ายเอกชนในยุค digital disruption ต้องมีการแลกเปลี่ยนปรึกษาหารือและถกแถลงเพื่อหาสูตรและก้าวย่างที่เหมาะสมกับประเทศไทยที่สุด
#489
เราต่างก็เข้าใจกันดีว่าตลาด Forex นั้นเปิด ตลอด 24 ชั่วโมงใน 5 วันทำการคือช่วงเวลา ประมาณ 04:00 น. เช้าวันจันทร์ ถึง 04:00 น. ของเช้าวันเสาร์นั่นเอง

บางท่านอาจจะมีการวางแผนบัญชีทางการเงินที่รอบครอบมากๆ อย่างเช่นมีการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย ประจำวันอย่างดี ประมาณว่า ในแต่ล่ะวัน จะมีค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าขนมหรือกาแฟ ฯลฯ วันล่ะไม่เกินเท่านั้น เท่านี้ ประมาณนี้ และมีอีกส่วนหนึ่งที่เป็นเงินเย็น อยากจะเอาไปลงทุนในตลาด Forex แต่ยังไม่รู้ว่าจะวางแผนการลงทุน หรือบริหารพอร์ตอย่างไร เพื่อจะได้ไม่ให้เสี่ยงจนเกินไป สามารถอยู่ตลาดได้นานๆ เซฟๆ และปลอดภัยที่สุด? ประมาณนี้

คำตอบที่ง่ายที่สุดก็คือการ ลงล็อตน้อยๆ และกำหนด เลเวอเรจที่ไม่สูงเกินไป เช่นกำหนดอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 1:400 และซื้อ-ขาย(เทรด) ในช่วงที่จังหวะราคาไม่สวิงรุนแรง และไม่มีข่าวประกาศสำคัญที่ส่งผลกับตลาดค่าเงินโดยตรง อย่างเช่น ข่าวนอนฟาร์มเป็นต้น  จากนั้น กำหนดแผนเข้าออเดอร์ (ออกไม้) ที่อยู่ในกรอบ โดยเฉลี่ยออกเป็น % ในแต่ล่ะช่วง ตามแนวรับหรือแนวต้าน ที่ตีเส้นวางไว้

ตัวอย่างเช่น ในกรอบที่เราจะเล่น เราอาจจะออกไม้แบบเฉลี่ย ตามแนวรับแนวต้าน เป็น 4 ไม้ดังนี้

-แนวรับ หรือแนวต้านที่ 1  ออกชัก 10% ของทุน อาจจะใช้ 0.1 lot
-แนวรับหรือแนวต้านที่ 2  ออกชัก 20% ของทุน อาจจะใช้ 0.2 lot
-แนวรับหรือแนวต้านที่ 3 ออกชัก 15% ของทุน อาจจะใช้ 0.15 lot
-แนวรับหรือแนวต้านที่ 4 ออกชัก 25% ของทุน อาจจะใช้ 0.25 lot

สิ่งสำคัญที่เราไม่ควรลืมคือ อย่าให้พอร์ตที่เราถืออยู่นั้น อยู่ในสถานะ Overtrade เด็ดขาด เพราะเสี่ยงที่จะโดนล้างพอร์ตได้ มาร์จินเลเวลเรจ ที่มือยู่ ควรไม่ต่ำกว่า 125 % หรือมากกว่า  จึงจะปลอดภัย เพราะ ในช่วง 24 ชั่วโมงของหนึ่งวันนั้น แต่ล่ะตลาดจะมีแรงซื้อเเรงขาย(วอลุ่ม) ต่างกันมาก

บางทีท่านอาจจะเข้าถูกทางก็จริง แต่หากเป็นเพียงช่วงของตลาดบางส่วนเท่านั้น ตลาดอื่นๆยังไม่เปิด แล้วถ้าท่านถือออเดอร์ไว้ที่ lot สูงๆ พอมาถึงช่วงจังหวะของเวลาที่ตลาดสำคัญๆเปิด อย่างเช่นตลาดอเมริกา ท่านก็อาจจะโดนทุบเละ จากกำไรที่ได้อาจกลายเป็นขาดทุน หรือโดนล้างพอร์ต เพียงแค่ช่วงไม่กี่วินาทีก็เป็นได้ เพราะเทรดเดอร์บางท่านเอง ก็เน้นการแก้ออเดอร์ มากกว่าการตั้ง SL เลยไม่ได้ set ไว้นั่นเอง

การเล่นให้ได้นานๆ อยู่กับตลาดนานๆ ให้มีกำไร จึงจำเป็นต้องมีความเข้าใจ พฤติกรรมราคาของตลาด ในแต่ละช่วง  ดูว่า วอลุ่มของแต่ล่ะตลาดเป็นอย่างไร มีมากน้อยแค่ไหน ต่างกัน หรือมีความรุนแรงยังไง เมื่อเพลเยอร์ของตลาดยังมาไม่ครบ เราควรจะยืนให้ปลอดภัย ณ จุดใด ประมาณนี้
#490
Defi
Decentralize finance ระบบการเงินแห่งอนาคตที่ทำขึ้นมาเพื่อหวังกำจัดตัวกลาง เช่น ธนาคาร เพื่อลดค่าธรรมเนียม โดยให้เจ้าของเงินดูแลเงินตัวเอง ผ่าน

Blockchain
โอนเงิน ทำธุรกรรมได้ 24 ชั่วโมง ซึ่งพวก Bitcoin หรือ Eth อยู่ในระบบนี้

Blockchain
ระบบการจัดเก็บข้อมูลแบบที่ไม่ต้องพึ่งตัวกลางกำเนิดมาพร้อม Bitcoin
ข้อมูลจะเรียงต่อกันคล้ายblock แก้ไขข้อมูลก่อนหน้าไม่ได้ มีความปลอดภัยสูง และต้องมีผู้ตรวจสอบธุรกรรม Node จริงๆ สกุลเงินดิจิทัลเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของระบบนี้เท่านั้น

Cryptocurrency
สกุลเงินดิจิทัล เหมือนเฟียตแต่จับต้องไม่ได้ รันอยู่บนระบบ Blockchain เช่น  Bitcoin Eth Ada Doge KUB เป็นสินทรัพย์ดิจิทัล
ยังใช้ชำระหนี้ตามกฏหมายไทยไม่ได้ แต่เทรดผ่านตัวกลางเพื่อทำกำไรได้

Bitcoin
เหรียญดิจิทัลเหรียญแรกของโลก เกิดมาตั้งแต่ปี2009
ด้วยแนวคิดอยากกำจัดตัวกลางในการแลกเปลี่ยนเงิน

Bitkub
exchange ตัวกลางในการซื้อขายเหรียญคริปโตในไทยที่ถูกกฏหมาย  กลต รับรองแล้ว

Gas fee
ค่าทำเนียนในการทำธุรกรรมผ่านระบบ Blockchain ต่างๆ เช่น จะแปลง ภาพเป็น NFT ต้องเสียค่า Gas เป็น Eth

Governance token
เหรียญที่แพลตฟอร์มนั้นๆ สร้างขึ้นมาเพื่อระบบของตัวเอง เช่น เหรียญ KUB ของ Bitkub แล่วแต่ว่าราคาเป็นไง ใช้ทำอะไรได้บ้าง เช่น ใช้ลดค่า Gas fee  หรือใช้เป็นค่า gas ได้เลย

ICO initial coin offering
การระดมทุนขายเหรียญดิจิทัล สร้างเหรียญขึ้นมา เปิดขายให้คนมาถือเหรียญนี้ร่วมกับเขา แล้วแต่ว่าจะไปลงทุนทำอะไร

ATH (all time high)
เหรียญทำราคาสูงสุดในประวัติการณ์

Air drop
แจกเหรียญต่างๆ

Mining
การขุดเหมือง ที่ไม่ได้ขุดจริง แต่เปรียบเปรย คนที่ถอดสมการผ่านคอมพิวเตอร์เพื่อรับรองธุรกรรมบนระบบ Blockchain ให้ปลอดภัย โดยจะได้เหรียญตอบแทน

Exchange
ตัวกลางในการแลกเปลี่ยนเหรียญ เช่น Bitkub Binance

CBDB
Central Bank digital currency
สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง หรือ ธนบัตรในแบบดิจิทัล มูลค่าคงที่ ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฏหมาย ข้อดีคือ น่าเชื่อถือสูงและ ลดค่าทำเนียมที่ไม่จำเป็น

KYC know your customer
การยืนยันตัวตนอัตลักษณ์ของตัวเอง เพื่อความปลอดภัย เมื่อจะทำธุรกรรมในโลกดิจิทัล
ป้องกันคนร้าย แอบอ้างตัวตนเข้าสู่ระบบ นิยมใช้กันมากในแอปพลิเคชั่นปัจจุบัน
#491
เมื่อตัดสินใจลงมือเทรดอย่างจริงจังแล้ว นอกขจากที่จะต้องเรียนรู้เรื่องของการปรับตัวของราคาตลาด รวมถึงเทคนิคและกลยุทธ์ต่าง ๆ มากมายเพื่อให้ประสบความสำเร็จในการเทรด แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ และเป็นพื้นฐานจำเป็นต่อการเทรด forex เลย นั่นก็คือ Money Management หรือการบริหารเงินทุน เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน วันนี้เราจะมาเรียนรู้ถึงการบริหารเงินทุนว่าคืออะไร และมีวิธีการอย่างบ้าง

money management คืออะไร
หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับคำว่า การบริหารหน้าตัก มากกว่าคำว่า MM หรือ Money management ซึ่งนี่คือปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการเทรด

การบริหารเงินทุน คือ การวางแผนและแนวทางในการบริหารเงินทุน ซึ่งจะต้องมีการกำหนดส่วนของกำไรที่ต้องการ การขาดทุน cut loss ได้ขนาดไหน จำนวนเงินที่จะวางในการเปิดออเดอร์แต่ละครั้ง หรือแม้แต่ขนาดของ Lot ที่จะเปิด เป็นต้น

การเทรดที่ล้มเหลวนั้น ไม่ได้เกิดแค่จากการขาดความรู้หรือประสบการณ์ในการเทรดเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับการวางแผนจัดการกับเงินต้นทุนที่เรามีด้วย และการทำ money management ไม่ได้เจาะจงให้เฉพาะคนที่มีเงินทุนน้อยทำเท่านั้น แต่ยิ่งเรามีเงินทุนเยอะเท่าไหร่ เราก็ต้องวางแผนในการใช้เงินทุนให้ดีเช่นกัน

วิธีใช้ money management กับการเทรด Forex

ตัวอย่างคร่าว ๆ ของการใช้การบริหารหน้าตักในการเทรด forex คือ หากเรามีเงินทุนเทรดอยู่ที่ 50,000 บาท ให้เราลงเงิน deposit ไปที่ 50% ของเงินทุนทั้งหมดที่มี ก็จะเท่ากับ 25,000 บาท และเมื่อทำการเทรดได้เท่าเงินทุนแล้วให้ทำการถอนส่วนที่เป็นเงินทุนออกทันที โดยตัดเรื่องโบนัสครั้งแรกออกไปก่อนเลย ตั้งฝึกตั้งเป้าหมายในการเทรดต่อวันไว้เลยว่า ต้องการ profit หรือเงินกำไรเท่าไหร่ ควรตั้งไว้ที่ประมาณ 3-5 % ของเงินทุนถึงจะปลอดภัย ส่วนเรื่องของการขาดทุน cut loss เราก็ควรตั้งไว้ว่าไม่ควรขาดทุนเกิน 3% ของเงินทุน หากใน 1 วันเทรดเสียติดต่อกัน 4 ครั้งแล้ว ให้หยุดเทรดและทบทวนเงินทุนใหม่ และฝึกฝนทักษะการเทรดเพิ่มเติม

ทำไมต้องเรียนรู้ถึงการบริหารหน้าตัก MM ในการเทรด forex

การลงทุนเทรดกับตลาด forex นั้นไม่ใช่เรื่องที่จะคาดเดาได้ง่าย ๆ ด้วยความที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความผันผวนสูงมาก ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาทิศทางของตลาดได้ จึงเกิดความเสี่ยงขึ้นมากมาย ความเสี่ยงจากการเทรด forex มีดังนี้

Leverage Risk – ความเสี่ยงจากการใช้เลเวอเรจ

การใช้เลเวอเรจคือการยืมเงินจากโบรกเกอร์มาลงทุน เพื่อที่จะสามารถครองสถานะของนักลงทุนได้ หากไม่มีเลเวอเรจเราก็จะต้องหาเงินมาลงทุนเองจำนวนมหาศาล ดังนั้นการลงทุนที่เราต้องยืมมานั้น เราจะต้องคิดให้รอบคอบว่าเราเลเวอเรจขนาดเท่าไหร่ที่จะสามารถสร้างกำไรให้กับเราได้ และเราพร้อมที่จะขาดทุนได้มากน้อยแค่ไหน หากเราเป็นมืออาชีพในการเทรด การใช้เลเวอเรจสูง ๆ ก็อาจจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่ใช่เราก็อาจจะต้องพบกับความเสี่ยงที่หนักอยู่พอสมควรเมื่อเทรดเสียขึ้นมา

Interest Risk - ความเสี่ยงที่เกิดจากอัตราดอกเบี้ย

อัตราดอกเบี้ยอยู่ในกลุ่มของ market risk แต่สำคัญกว่านั้นคือเป็นตัวที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผลตอบแทนในตลาดอย่างรุนแรง เมื่อเราเข้าเทรดเราก็ควรที่จะศึกษาเรื่องของอัตราดอกเบี้ยของแต่ละโบรกเกอร์ให้ดี เพราะนี้ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเงินทุนเราเช่นเดียวกัน ยิ่งดอกเบี้ยสูง ก็ยิ่งเทรดได้กำไรน้อยลง

Market Risk – ความเสี่ยงจากตลาด

นี่เป็นความเสี่ยงที่เกินการควบคุมของเรา นั่นก็เพราะเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงิน เกิดสงครามขึ้น หรือเกิดปัญหาสังคม ภัยพิบัติ เป็นต้น แม้เราจะมีการวางแผนมาอย่างดี ก็อาจจะไม่สามารถรับมือกับปัญหาเหล่านี้ได้ดีนัก เพราะการผันผวนที่สูงมาก ๆ ของตลาดนั้นล้วนเกิดขึ้นจากสิ่งปัญหาภายนอกเหล่านี้

Liquidity Risk – ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง

การเทรด forex จำเป็นที่จะต้องเลือกเทรดคู่เงินที่เป็นที่นิยม เพราะจะมีสภาพคล่องสูงกว่า และเมื่อใดที่เราเลือกเทรดคู่เงินที่ไม่เป็นที่นิยมก็จะทำให้เกิดสภาพคล่องน้อย เพราะเราอาจจะไม่สามารถปิดสถานะการเทรดได้ทันเวลาตามที่ต้องการได้ ทำให้เสี่ยงต่อการขาดทุนได้ง่าย เราสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากสภาพคล่องนี้ได้ ด้วยการศึกษาและเลือกเทรดคู่เงินที่ทั่วโลกนิยมเทรดกัน

สรุปหลักการและแนวคิดของ money management forex

นักเทรดที่ตั้งใจที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุน จำเป็นที่จะต้องใส่ใจในพื้นฐานอย่าง money management หรือการบริหารหน้าตัก และถือเป็นหลักสำคัญในการลงทุน เราจะมามองภาพใหญ่มากขึ้นว่า money management มีวิธีและแนวคิดอย่างไรบ้าง

คิดกลยุทธ์และแผนในการเทรดของตัวเอง

สิ่งนี้จะเป็นตัวควบคุมเงินลงทุนของเราเป็นอย่างดี เพราะเมื่อเราวางแผนในการเทรดของเราขึ้นมาแล้ว เราจะรู้ว่าเราจะเทรดในรูปแบบไหน เทรดรายวันอย่างไร รายสัปดาห์ หรือรายเดือน และแผนในการเทรรดนี้จะช่วยไม่ให้เราเทรดมากเกินไป รู้ได้ว่าควรจะเก็บกำไรเท่าไหร่ และมีวางแผนเพื่อหยุดการขาดทุนตามที่กำหนดไว้

เทรดให้ได้เงินทุนกลับคืนมา

ส่วนนี้ก็จำเป็นที่จะต้องวางแผน เพราะเมื่อใดที่เราขาดทุน เพราะเรายังค่าสเปรดและค่าคอมมิชชั่นที่จะต้องจ่ายคืนแก่โบรกเกอร์ หากเราไม่วางแผนที่จะเทรดให้ได้กำไร เพื่อนำเงินทุนกลับคืนมา เราก็จะต้องหาเงินมาจ่ายหนี้ด้วยตัวเอง ซึ่งถือเป็นภาระหนักเลยทีเดียว ดังนั้นหากเราลงทุนไป 10,000$ แล้วขาดทุนไป 2,000$ คิดเป็นขาดทุนไป 20% ดังนั้นเราจะต้องจัดการเทรดให้ได้กำไรคืนมา 25% ด้วยเงินทุนเท่าเดิมให้ได้

หยุดการขาดทุน

เรียนรู้การใช้ stop loss บนกราฟราคา และให้ตั้งค่าจุดหยุดขาดทุนในระดับที่เหมาะสม การทำแบบนี้จะช่วยป้องกันการขาดทุนของเราได้ แม้ราคาจะมีการเปลี่ยนแปลงแปลงผรือผันผวนอย่างรุนแรง เราก็ยังได้กำไรอยู่

ไม่โลภหรือเครียดจนเกิดไป

แน่นอนว่าการเทรด forex มีความผันผวนของตลาดสูงมาก จนทำให้เราขาดสติในการลงทุน เพราะยิ่งตลาดมีสภาพคล่องสูง ความโลภก็เข้าครอบงำ จนตัดสินใจเทรดผิดพลาดและเกิดความเครียดมากจนเกินไป ให้เรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ในการเปิดคำสั่งเทรด ให้เข้าเทรดอย่างมีวินัยตามเวลาที่เหมาะสม ไม่ใช่เข้าเทรดตลอดทุกๆ นาที  ให้กำหนดปริมาณเงินลงทุนที่สมเหตุสมผลและบริหารจัดการเวลาในการเข้าเทรดให้ดี

มองว่าเป็นการลงทุนระยะยาว

การเทรด forex ควรถือว่าเป็นการลงทุนระยะยาว และไม่ควรใจร้อนหรือรีบทำการลงทุนมากจนเกินไป แต่ให้ฝึกฝนรูปแบบและกลยุทธ์การเทรดของตัวเองให้ดีขึ้น ไม่ควรวัดความสำเร็จจากเงินกำไรที่ได้มาจำนวนมาก ๆ เพราะระดับเงินของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ให้ดูตอบแทนหรือผลกำไรระยะยาวเป็นหลักจะดีกว่า

หลักจิตวิทยา 7 ข้อ สำหรับการบริหารเงินทุน forex
ลดความเสี่ยงด้วยการพัฒนาทักษะของตัวเอง

คำนวณใช้เงินทุนอย่างสมเหตุสมผล

หยุดเทรดเมื่อขาดทุน

ตั้งค่าจุดหยุดขาดทุนเสมอ

ทำความเข้าใจเลเวอเรจให้ดี

ปรับขขนาด lot ให้เหมาะสมกับคู่เงินที่กำลังเทรดอยู่

อ่านข่าวสารข้อมูลในอดีตของคู่เงินที่กำลังเทรดอยู่


ระดับความเสี่ยงของเทรดเดอร์แต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน เพราะบางคนสามารถรับมือกับความเสี่ยงสูง ๆ ได้ดีกว่าคนอื่น แต่ไม่ว่าจะเป็นนักเทรดในระดับไหนก็ควรที่จะทำความเข้าใจกับ money management ให้ดี สำหรับนักลงทุนมือใหม่ก็ควรที่จะทำแผน money management โดยเริ่มจากการลองลงทุนในปริมาณน้อย ๆ ดูก่อน ฝึกฝนการบริหารเงินทุนไว้เรื่อย ๆ จนไปถึงการลงทุนที่มากขึ้น
#492
วิธีสร้างรายได้ผ่านการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลรูปแบบต่างๆ สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าสกุลเงินดิจิทัลสามารถสร้างรายได้ให้เราได้อย่างไร เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่คนที่สนใจแต่ยังไม่แน่ใจว่าจะก้าวเข้าไปลงทุนในวงการคริปโตฯ แบบไหนดี

ต่อไปนี้คือ 4 รูปแบบหลักๆ ของการสร้างรายได้ด้วย  Cryptocurrency

1.ซื้อเพื่อเก็งกำไรในระยะยาว (Buy and HODL)

วิธีง่ายที่สุดสำหรับผู้สนใจลงทุนในคริปโตฯ คือการ 'ซื้อและถือ' หากเป้าหมายของคุณคือการลงทุนในระยะยาว คุณไม่จำเป็นที่จะต้องสนใจสภาพเศรษฐกิจ หรือการอ่านกราฟเพื่อสังเกตการขึ้นลงของราคา เพราะตั้งแต่การกำเนิดขึ้นของ 'บิตคอยน์' ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลแรกของโลก ที่มีราคาพุ่งสูงขึ้นทุกปี หากนับเพียงแค่ช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว ราคาของบิตคอยน์อยู่เพียงแค่ 9,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น แต่ปัจจุบันราคาได้พุ่งทะยานไปถึง 55,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเติบโตขึ้นกว่า 400% ภายใน 1 ปี ทำให้มีวลีในหมู่ของนักลงทุนคริปโตเคอร์เรนซีว่า กฎเพียงข้อเดียวของการซื้อคริปโตฯ คือการ HODL (Hold On Dear Life) หรือ 'ไม่ขายจนกว่าจะตาย' นั่นเอง

2.ทำรายได้ด้วยการเทรดรายวัน (Day Trade)

เนื่องจากคริปโตเคอเรนซีเป็นเรื่องที่ใหม่มากสำหรับวงการนักลงทุน ทำให้มีสกุลเงินดิจิทัลใหม่ๆ นับร้อยนับพันเกิดขึ้นมากมาย และด้วยความใหม่นี้เอง ทำให้มีการผันผวนของราคาที่ค่อนข้างสูง จึงมักมีเสียงที่แบ่งออกเป็นสองฝั่งว่า 'คริปโตฯ สร้างเศรษฐีใหม่' และ 'คริปโตฯ ทำให้คนหมดตัว' ดังนั้น ก่อนที่จะทำรายได้จากคริปโตฯ ผ่านการเทรดรายวัน ต้องมีความเข้าใจถึงเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังของเหรียญแต่ละเหรียญก่อนลงทุนเสียก่อน รวมถึงความรู้ความเข้าใจในการอ่านค่ากราฟ เพราะหลักการของการเทรดรายวัน (Day Trade) นั้นแสนจะง่ายดาย นั่นคือ 'ซื้อถูก ขายแพง' ไม่ใช่ 'ซื้อแพง ขายถูก'

3.ทำรายได้จากการขุดเหรียญ (Mining)

การขุดเหรียญนั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่การขุดจริงๆ แต่เป็นการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการยืนยันการทำธุรกรรมของคนในเครือข่ายบล็อกเชน (Blockchain) นั้นๆ ซึ่งหากคุณยืนยันธุรกรรมบนบล็อกเชนของบิตคอยน์ (Bitcoin) คุณก็จะได้เหรียญบิตคอยน์มาเป็นรางวัล แต่หากเป็นผู้ยืนยันบนบล็อกเชนของเหรียญอีเธอเรียม (Ethereum) ก็จะได้รับเหรียญอีเธอเรียมมาแทน แต่ทั้งนี้ การขุดจำเป็นที่จะต้องใช้การ์ดจอและเครื่องคอมพิวเตอร์ที่แรงพอที่จะสุ่มหาค่า Hash ซึ่งเป็นการลงทุนที่มีต้นทุนสูง ทั้งค่าอุปกรณ์ ค่าไฟ อีกทั้งต้องไม่ลืมว่าคุณไม่ใช่นักขุดเพียงคนเดียว แต่ต้องขุดแข่งกับคนทั่วโลก ดังนั้นจึงต้องคำนวณรายรับที่ได้กับค่าใช้จ่ายให้ดีก่อนตัดสินใจ

4.การทำ Yield Farming บนโลกของ DeFi

นับตั้งแต่ที่โลกของเราได้ตัดตัวกลางในการทำธุรกรรมอย่างธนาคารด้วยระบบบล็อกเชนทิ้งไป ทำให้เกิดศัพท์ที่เรียกว่า DeFi หรือ Decentralize Finance ขึ้นมา เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเป็นธนาคารได้เพราะมีระบบบล็อกเชนที่ปลอดภัย ซึ่งคนในเครือข่ายช่วยเป็นหูเป็นตาในการดูแลความถูกต้องให้ แต่สิ่งที่น่าสนใจและสามารถทำรายได้ง่ายๆ คือ การทำ Yield Farming หรือการนำเหรียญไปฝากเป็นหลักประกันให้กับแอพพลิเคชันหรือแพลตฟอร์ม DeFi เป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้กับแพลตฟอร์มเพื่อที่จะสามารถให้บริการแก่ลูกค้ารายอื่นได้

ความน่าสนใจของการทำฟาร์มคือ ผลตอบแทนที่มากกว่า 100% ต่อปี ในรูปแบบของ Governance token ของแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น ฟาร์มใน Pancake จะได้เหรียญ Cake หรือ ฟาร์มใน Uni จะได้เหรียญ Uni มาเป็นผลตอบแทน ซึ่งเหรียญดังกล่าวก็มีการขึ้นลงของราคาเช่นกัน

สาเหตุที่อัตราผลตอบแทนสูง เนื่องจากทางแพลตฟอร์มต้องการดึงดูดให้คนในเครือข่ายนำเงินมาฝากเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ซึ่งแพลตฟอร์มที่ให้บริการในปัจจุบันที่ได้รับการยอมรับ ได้แก่ PancakeSwap UniSwap และ BunnySwap

ในเบื้องต้นสำหรับผู้ที่อยากจะสร้างรายได้จากการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี ทั้ง 4 ข้อนี้ถือเป็นแนวทางเบื้องต้นที่ทุกคนสามารถทำได้ และมีผลตอบแทนที่ดีพอสมควร แต่แน่นอน ดังที่เคยกล่าวมาตลอดว่า ตลาดคริปโตฯ มีความผันผวนสูงเนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่ ดังนั้น การลงทุนในคริปโตฯ คือการลงทุนในเทคโนโลยีที่อาจจะกลายมาเป็นอนาคตของโลกใหม่ และการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมอยู่เสมอจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง
#493
ในบ้านเรา มีธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.ทำหน้าที่ดูและระบบการเงินของประเทศ...ถ้ามองไปยังประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐ ก็จะมีธนาคารกลางสหรัฐ หรือเรียกสั้นๆ ว่า เฟด (Fed)
นอกจากนี้ เรายังมีคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการหลักของ ธปท.เพื่อรับผิดชอบในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า "อัตราดอกเบี้ยนโยบาย" (เรามักจะเห็นพาดหัวข่าวว่า กนง.มีมติคง/ขึ้น/ลดดอกเบี้ย) มีกรรมการ 7 คน มาจาก ธปท.3 คนและจากคนนอก 4 คน

เช่นเดียวกับสหรัฐฯ ก็จะมีคณะกรรมการที่ดูแลนโยบายการเงิน เรียกสั้นๆ ว่า FOMC มีคณะกรรมการระบบธนาคารกลาง 12 คน ประกอบไปด้วยประธานเฟดจากแต่ละเมือง เช่น ปธ.เฟดสาขาชิคาโก, สาขาแอตแลนต้า, สาขาซานฟรานซิสโก และ ปธ.เฟดสาขาเซนต์หลุยส์ เป็นต้น

กรรมการชุดนี้คือกลุ่มคนที่ "ชี้เป็นชี้ตาย" นโยบายการเงินของประเทศ และถ้าเป็น กนง. ของไทยนโยบายจะกระทบเฉพาะในไทย แต่บังเอิญนี่คือสหรัฐซึ่งเป็นเบอร์ 1 ของโลก ดังนั้น นโยบายทางการเงินที่ออกมาจาก FOMC จะไม่ได้มีผลแค่ต่อสหรัฐ แต่หมายถึงผลกระทบที่มีต่อประเทศอื่นๆ ทั่วโลกด้วย

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ ทั่วโลกเผชิญกับ "วิกฤตโควิด-19" หลายประเทศใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจให้อยู่รอด คำว่า "ผ่อนคลาย" หมายถึงการ การที่ธนาคารกลางคงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำเพื่อกระตุ้นให้เอกชนกู้เงินไปขยายการลงทุน นำไปสู่การหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจและจีดีพีขยายตัว แต่ก็แลกกับเงินเฟ้อที่จะตามมา

เมื่อไหร่ก็ตามที่เศรษฐกิจเติบโต โดยธรรมชาติจะตามด้วยอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูง ธนาคารกลางจะใช้การ "ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย" เป็น "เครื่องมือ" สกัดความร้อนแรงของเงินเฟ้อ ทำให้เศรษฐกิจเติบโตต่อไปได้อย่างมีเสถียรภาพ
ซึ่งการ "ชี้เป็นชี้ตายทิศทางเศรษฐกิจ" ของ FOMC ที่กระทำผ่านนโยบาย "ปรับขึ้นดอกเบี้ย/คงดอกเบี้ย/ลดดอกเบี้ย" นั้นจะเกิดขึ้นปีละ 8 ครั้ง

เฟดมีกำหนดการประชุม 8 ครั้งในปีนี้ ที่นักลงทุนต้องจับตา
ครั้งที่ 1-มกราคม (วันที่ 25-26)
ครั้งที่ 2-มีนาคม (วันที่ 15-16)
ครั้งที่ 3-พฤษภาคม (วันที่ 3-4)
ครั้งที่ 4-มิถุนายน (วันที่ 14-15)
ครั้งที่ 5-กรกฎาคม (วันที่ 26-27)
ครั้งที่ 6-กันยายน (วันที่ 20-21)
ครั้งที่ 7-พฤศจิกายน (วันที่ 1-2)
ครั้งที่ 8- ธันวาคม (วันที่ 13-14)

ทำไม เฟด ถึงมีอิทธิพลต่อตลาดคริปโท?
เฟด ไม่สามารถจะไปควบคุมตลาดคริปโทได้ เค้าเพียงแค่ดำเนินนโยบายของตัวเองไป แต่ด้วยความที่โลกนี้เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุนมันเชื่อมถึงกันหมด เงินไหลออกจากตลาดหนึ่งก็ไปเข้าอีกตลาดหนึ่ง เช่น ออกจากตลาดหุ้นก็ไปตลาดคริปโท ออกจากตลาดคริปโทก็ไปเข้าตลาดตราสารหนี้ วนเวียนกันอยู่อย่างนี้เพื่อวิ่งหาผลตอบแทนที่ดีที่สุด

ทำให้ทุกการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยของเฟด โดยคณะกรรมการ FOMC จะผลกระทบต่อตลาดคริปโทเคอรืเรนซีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่มากก็น้อย

เราในฐานะนักลงทุน จึงควรเฝ้าติดตามว่า "ก่อนการประชุม" ในแต่ละรอบตลาดคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยเฟดยังไง และ "หลังการประชุม" ผลที่ออกมาสอดคล้องหรือผิดไปจากที่ตลาดคาดไว้หรือไม่จะได้นำไปวิเคราะห์และทำการบ้านต่อเพื่อวางกลยุทธ์ของตัวเอง

อย่างเช่นช่วงต้นเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา เฟด ได้เผยแพร่รายงานการประชุม FOMC (ของเดือน ธ.ค.ซึ่งประชุมจบไปแล้ว แต่เอารายละเอียดมาเผยแพร่ต่อสาธารณชนตามหลังในรูปของเปเปอร์) ส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดเพื่อสกัดเงินเฟ้อ (ยังไม่ขึ้นจริง) ปรากฎว่าในวันนั้นทั้งตลาดหุ้นและตลาดคริปโทต่างก็ร่วงหนักผิดปกติ

แม้ว่าในทางหนึ่ง "เงินเฟ้อยิ่งสูง" จะยิ่งดีกับตลาดคริปโทเคอร์เรนซี โดยเฉพาะกับ Bitcoin เพราะนักลงทุนจะหันมาถือครองมากขึ้น (หลังๆ นักลงทุนสถาบันเก็บเข้าพอร์ตมากขึ้นรวมถึง Tesla ที่เริ่มเก็บเมื่อปีที่แล้ว) เพราะมองว่าป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ดีกว่าการถือเงิน Fiat

อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์เงินเฟ้อพุ่งสูงมาก กระทั่งนำไปสู่การปรับขึ้นดอกเบี้ย มันย่อมจะเป็นลบต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งรวมถึงตลาดคริปโทด้วย ดังที่ได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อต้นเดือน ม.ค.ที่ผ่านมานี้เอง

การประชุมนัดแรกและนัดสำคัญของเฟดประจำปี 2565 ในวันที่ 25-26 มกราคมนี้ทั่วโลกจึงจับตา!! เพราะจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมายาวนานบวกกับการ "อัดยาแรง" ด้วยการพิมพ์เงินเพิ่ม (QE) มันกำลังย้อนศรด้วยเงินเฟ้อพุ่งสูงในรอบ 40 ปีเลยทีเดียว

นโยบายเฟดจึง "กำลังจะกลับทิศ"! เพราะกำลังจะดึงเงินกลับด้วยการลด QE และลดขนาดงบดุล เรียกได้ว่า "เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อทางเศรษฐกิจ"จากการส่งสัญญาณของประธานเฟดสาขาต่างๆ ส่วนใหญ่ก็ "สนับสนุน" ให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย "ในการประชุมเดือนมีนาคมนี้"

ค่ายต่างประเทศอย่าง "โกลแมนแซคส์" คาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยถึง 4 ครั้งในปีนี้ (จากตลาดคาดจะขึ้น 3 ครั้ง) ซึ่งในวันที่มีข่าวนี้ออกมาจากโกลแมนแซคส์ ปรากฎว่าทั้งตลาดหุ้นและตลาดคริปโทตอบรับเป็นสีแดงทั้งกระดาน

ค่ายวิจัยในไทยอย่าง "ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" คาดการณ์ว่าการประชุม FOMC วันที่ 25-26 ม.ค.นี้ เฟดจะยังไม่ส่งสัญญาณอะไรเพิ่มเติม นอกเหนือจากการเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในเดือน มี.ค. ตามที่ได้ส่งสัญญาณไปแล้วก่อนหน้านี้และตลาดต่างก็รับรู้ไปแล้ว

โดยสรุปทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ "นักลงทุน" ในตลาดทั้งหลายต้องระมัดระวังและจดวันประชุมสำคัญระดับโลกนี้เอาไว้ อย่างน้อยเราจะได้ปรับแผนการลงทุนได้ทันท่วงที

มาลุ้นกันว่าประชุมนัดแรกของปีนี้ เฟดจะยังคงดอกเบี้ย 0.00-0.25% ตามที่ตลาดคาดหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น ตลาดหุ้นและตลาดคริปโทคงไม่แพนิก มาก...เว้นแต่เฟดจะ "หักปากกาเซียน"
#494
Forex (Foreign Exchange) คือ ตลาดที่ทำการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา โดยราคานั้นจะแปรผันตาม demand และ supply ของแต่ละสกุลเงิน ซึ่งทั้งนี้อาจจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน ราคาทองคำ สภาพเศรษฐกิจ สถานการณ์บ้านเมือง เหตุการณ์ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการประกาศตัวเลขสำคัญ ๆ ของแต่ละประเทศ เช่น อัตราการว่างงาน เป็นต้น เรียกได้ว่า อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรามีความอ่อนไหวต่อปัจจัยรอบข้างค่อนข้างมาก

การซื้อขายเงินสกุลใหญ่ ๆ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ (USD), ยูโร (EUR), ปอนด์สเตอร์ลิง (GBP), เยน (JPY) จะมีสภาพคล่องสูงมาก เนื่องจากมีผู้เล่นจำนวนมากและมีการเปลี่ยนแปลงของราคาตลอดเวลา ในอดีต ผู้เล่นในตลาด Forex จะจำกัดอยู่ในกลุ่มสถาบันการเงินใหญ่ ๆ เช่น ธนาคาร หรือบริษัทประกัน แต่ในปัจจุบัน ด้วยการเข้ามาของระบบการเทรดออนไลน์ นักลงทุนรายย่อยอย่างพวกเรา ก็สามารถเข้ามาลงทุนผ่านระบบการเทรดออนไลน์ของบริษัทโบรกเกอร์ ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการส่งคำสั่งซื้อ/ขายไปยังตลาดซื้อขายเงินตราต่างประเทศทันทีที่ได้รับคำสั่ง

เราสามารถสรุปลักษณะเด่นของตลาด Forex ได้ดังต่อไปนี้


  • เป็นตลาดการเงินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เปิดทำการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง ยกเว้นวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการ การซื้อขายเริ่มตั้งแต่ตลาดเปิดทำการตอนเช้าในออสเตรเลีย เอเชีย ยุโรปและจนจบวันทำการของอเมริกา
  • มีสภาพคล่องสูง เพราะมีคนซื้อ และคนขายจำนวนมาก ทำให้ปริมาณการซื้อขายสูงมากเมื่อเทียบกับการลงทุนแบบอื่น ๆ
  • มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตรามีความอ่อนไหวมากต่อปัจจัยรอบตัว ซึ่งนับได้ว่าเป็นโอกาสที่จะใช้ทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว และในขณะเดียวกัน ก็อาจจะขาดทุนได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
  • ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ในหนึ่งคู่สกุลเงิน นักลงทุนสามารถเปิดได้ทั้งสถานะซื้อ หรือขาย โดยเปิดสถานะซื้อหากคาดการณ์ว่าราคาจะสูงขึ้น และเปิดสถานะขายหากคาดว่าราคาจะลดลง
  • ใช้เงินลงทุนต่ำ แต่สามารถสร้างกำไรได้สูงด้วย leverage แต่ในทางตรงข้าม leverage ก็ทำให้ขาดทุนได้สูงมากเช่นกัน
  • ค่าธรรมเนียมการซื้อขายต่ำ เมื่อเทียบกับการลงทุนประเภทอื่น มีหลายโบรกเกอร์ไม่คิดค่าธรรมเนียมการซื้อขาย แต่จะคิดค่าบริการจากส่วนต่างราคา bid / ask หรือที่เรียกว่า spread โดยคู่สกุลเงินที่มีการซื้อขายมากจะมี spread แคบ

โดยการซื้อขาย Forex จะแสดงในรูปคู่ของสกุลเงิน เช่น EUR/USD = 1.105965 หมายความว่า 1 Euro มีค่าเท่ากับ 1.105965 US Dollars การซื้อ EUR/USD จะหมายถึง การซื้อ EUR และขาย USD และในทางตรงกันข้าม การขาย EUR/USD หมายถึง การซื้อ USD และขาย EUR ตัวอย่างการซื้อขายคู่สกุลเงินที่สำคัญ ๆ ได้แก่ EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD, USD/CAD, USD/CHF, AUD/USD and NZD/USD

เช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้น เมื่อนักลงทุนในตลาด Forex เห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของคู่สกุลเงิน ก็นับเป็นโอกาสในการเข้าทำกำไร เช่น หากคาดการณ์ว่า ค่าเงิน EUR จะอ่อนลงเมื่อเทียบกับ USD นักลงทุนอาจจะสั่งขาย EUR/USD ณ ราคาปัจจุบัน โดยหากการคาดการณ์ของเราถูกต้อง และราคา EUR/USD ลดลง เราก็สามารถทำกำไรโดยการปิดสถานะการขาย ซึ่งกำไรที่ได้จะเป็นส่วนต่างของราคา คูณกับจำนวนหน่วยที่ซื้อ


  • ตัวอย่าง  จากการคาดการณ์ตัวเลขอัตราการว่างงานของสหรัฐที่มีแนวโน้มลดลง ซึ่งหมายความถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น น่าจะมีผลให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร หรืออีกนัยหนึ่ง EUR/USD น่าจะมีค่าลดลง ดังนั้น เราจึงตัดสินใจเปิดสถานะขาย EUR/USD ที่ราคา bid 1.10288 จำนวน 10,000 หน่วย และด้วย leverage ที่ 50:1 ทำให้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น คือ (1.10288 *10,000) / 50 = $220.576 (แทนที่จะต้องใช้เงิน $11,028.8 ) ซึ่งหากการคาดการณ์ถูกต้อง และ EUR/USD มีค่าลดลง เราสามารถปิดสถานะทันที เช่น ที่ราคา ask 1.09052 ในตัวอย่างนี้ เราสามารถทำกำไรได้ (1.10280-1.09052)*10,000 = $122.8

และด้วยลักษณะของ Forex ที่มีความเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างรวดเร็ว มีสภาพคล่องสูง ทั้งยังสามารถใช้ leverage ทำให้สร้างกำไรได้สูงด้วยเงินลงทุนต่ำ จึงอาจกล่าวได้ว่า การลงทุนใน Forex เหมาะกับนักลงทุนขาซิ่งที่ชอบความเสี่ยงสูง เน้นทำกำไรในช่วงเวลาสั้น ๆ ตัดสินใจซื้อขายอย่างรวดเร็ว
#495
พื้นฐาน Defi / DeFi คืออะไร?
กุมภาพันธ์ 21, 2022, 06:56:00 ก่อนเที่ยง
นอกเหนือจาก Cryptocurrency แล้ว เทคโนโลยี Blockchain ยังได้สร้างสิ่งที่ต่อยอดจากนั้นที่เรียกว่า Decentralized Finance ขึ้นมาด้วย

DeFi คืออะไร?

DeFi เป็นคำย่อมาจาก Decentralized Finance คำ ๆ นี้มักถูกใช้เพื่อพูดถึงสินทรัพย์ดิจิทัล, Smart Contracts ด้านการเงิน, Protocol ต่าง ๆ และ  Decentralized Applications (DApps) ที่ถูกสร้างบน Ethereum ถ้าให้เข้าใจง่าย ๆ มันคือซอฟต์แวร์ด้านการเงินที่ถูกสร้างบน Blockchain ซึ่งสามารถนำซอฟต์แวร์เหล่านั้นมาต่อรวมกันได้แบบเลโก้

คุณสามรถเข้าไปดูพื่อคำรู้จักและศึกษาผลิตภัณฑ์และบริการในระบบนิเวศน์ของ Ethereum DeFi ได้ที่ DeFiPulse ในนนั้นจะคอยบอกว่ามี DeFi ที่ได้รับความนิยมต่าง ๆ นั้นมีมูลค่าเท่าไรบ้างที่ถูกล็อคอยู่

อะไรคือ Decentralized Finance และมันมีไว้สำหรับใคร?

เพื่อที่จะให้เข้าใจ DeFi มากขึ้น เราต้องลองย้อนไปดูก่อนว่า อุตสาหกรรมการเงินในปัจจุบันนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ฟังดูอาจจะแปลก ๆ แต่เงินนั้นไม่ใช่สิ่งที่อยูมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ แต่เพิ่งมีมาได้ในช่วงหลายพันปีมานี้

แต่เดิมแล้วมนุษย์ไม่ได้ใช้เงิน แต่มีระบบการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการที่พวกเขามีกันแทน ซึ่งเมื่อสังคมของมนุษย์มีอายุและพัฒนามากขึ้น ระบบเศรษฐกิจก็เริ่มเปลี่ยนไป พวกเราได้สร้างสกุลเงินขึ้นมา ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งต่าง  ๆ กันได้ง่ายยิ่งขึ้น สกุลเงินส่งผลให้มีนวัตกรรมใหม่ ๆ และเศรษฐกิจก็พัฒนาแบบก้าวกระโดด อย่างไรก็ตาม การพัฒนานั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นฟรี ๆ แต่แลกมากับอะไรบางอย่าง

ตั้งแต่อดีตแล้ว ที่หน่วยงานที่มีอำนาจเช่น รัฐบาลจะทำการสร้างสกุลเงินที่เป็นตัวกำหนดระบบเศรษฐกิจของเรา ธนาคารกลางและสถาบันต่าง ๆ ถูกคาดหวังให้บริหารและออกกฎหมายควบคุมจำนวนเงินที่มีหรือ Supply ในระบบเศรษฐกิจ

เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ขนาดของเศรษฐกิจของเราก็ขยายใหญ่ขึ้น จนทำให้หน่วยงานเหล่านี้มีอำนาจมากขึ้น ในขณะที่ผู้คนก็ไว้วางใจพวกเขามากขึ้น

พวกเราเชื่อใจให้รัฐบาลไม่ทำการพิมพ์เงินออกมาจำนวนมหาศาลในชั่วข้ามคืน พวกเราเชื่อใจธนาคารของเราให้เก็บเงินเราอย่างปลอดภัย และพวกเราก็เชื่อใจผู้ให้คำแนะนำด้านการเงินของเราเวลาที่เราต้องการลงทุนในสินทรัพย์ไหน

ด้วยการที่เราส่งมอบอำนาจในการควบคุมเงินของเราเองให้กับคนอื่น เราก็คาดหวังที่จะทำกำไรจากมัน แต่ความเป็นจริงอันโหดร้ายเกี่ยวกับระบบการเงินในปัจจุบันก็คือ การมอบอำนาจและความเชื่อใจให้นั้นก็ใช่ว่าจะได้รับผลตอบแทนเสมอไป

ความเป็นจริงแล้ว เราแทบจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า องค์กรที่ดูแลจัดการเรื่องการลงทุนของเรา หรือรัฐบาลจัดการระบบเศรษฐกิจอย่างไร ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว นักลงทุนก็มักจะได้ผลตอบแทนกลับมานิดหน่อยจากการเสี่ยงให้อำนาจแก่คนอื่น

DeFi ต้องการสร้างอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไป

Decentralized Finance นั้นเล็งที่จะสร้างระบบการเงินที่แตกต่างออกไป ซึ่งจะเปิดกว้างให้กับทุก ๆ คน พร้อมทั้งทำให้ผู้ที่ใช้งานไม่ต้องเชื่อใจองค์กรที่มีอำนาจให้มากที่สุด

เทคโนโลยีเช่นอินเทอร์เน็ต, Cryptography (การเข้ารหัส) และ Blockchain เป็นเครื่องมือที่เมื่อนำมารวมกันแล้ว สามารถสร้างระบบการเงินที่ไม่ต้องมีองค์กรที่มีอำนาจทั้งหมดขึ้นมาได้

มีคำพูดที่มักใช้ในวงการ Blockchain บ่อย ๆ ว่า 'ไม่จำเป็นต้องเชื่อใจหรอก แต่ไปพิสูจน์สิ' เพราะว่าในเครือข่ายของ Blockchain นั้น ทุก ๆ คนสามารถทำการยืนยันหรือพิสูจน์ทุก ๆ ธุรกรรมที่เกิดขึ้นใน Blockchain ได้นั่นเอง ด้วยวิธีนี้จะทำให้เกิดความโปร่งใสในระบบ แตกต่างจากระบบทั่วไปที่มีองค์กรที่มีอำนาจดูแล ในกรณีนั้นเราจะไม่สามารถตรวจสอบได้เฉพาะสิ่งที่องค์กรเหล่านั้นเปิดให้ดูเท่านั้น

DeFi เปิดให้ทุก ๆ คนเข้ามามีส่วนร่วมในวงการการเงิน

แทบจะทุกแอปฯ DeFi นั้นถูกสร้างบน Blockchain ของ Ethereum เครือข่าย Blockchain ทั้งสิ้น ซึ่ง Ethereum นั้นเป็น Blockchain ที่สามารถเขียนโปรแกรมบนนั้นได้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกด้วย Ethereum นั้นเป็นเครือข่าย Blockchain ที่มี Cryptoucurrency อย่าง Ether หรือ ETH ด้วย

นักพัฒนาต่าง ๆ สามารถสร้างแอปฯ บน Ethereum ที่สามารถสร้าง, เก็บ และจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Token ได้ แอปฯ เหล่านั้นจะถูกเรียกว่า Decentralized Applications หรือ DApps ซึ่งมันจะทำงานด้วย Smart Contracts ที่เป็นสัญญาหรือข้อตกลง โดยจะมีกฎบังคับใน Blockchain ของ Ethereum ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างข้อตกลงแบบเด็ดขาดที่ไม่มีใครฝ่าฝนหรือโกงได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางในการจัดการเลย

Decentralized Finance ได้สร้างโอกาสที่จะทำให้วงการการเงินนั้นโปร่งใส และยืดหยุ่นมากขึ้น ใครก็ตามที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ก็สามารถเข้าถึงและใช้งาน Smart Contracts ที่ถูกสร้างบน Blockchain ของ Ethereum ได้หมด

นอกจากนี้ Smart Contracts ต่าง ๆ ก็ถูกสร้างบน Smart Contracts ที่เคยถูกสร้างมาแล้วอีกรอบหนึ่ง ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ว่าโค้ดของ Smart Contracts ไหนนั้นให้บริการที่ดีที่สุดกับพวกเขา

แอปฯ DeFi ไหนบ้างที่ได้รับความนิยม

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า แอปฯ DeFi นั้นได้ก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์และบริการมากมาย ซึ่งมีความคล้ายับบริการการเงินทั่ว ๆ ไป แต่เพิ่มความเป็น Decentralized เข้าไป

แอปฯ DeFi ที่ได้รับความนิยมที่สุดในตอนนี้ก็คือ แอปฯ แพลตฟอร์มปล่อยกู้ที่ทำหน้าที่คล้ายกับธนาคาร ผู้ใช้งานสามารถฝากเงินและได้รับดอกเบี้ยจากผู้ใช้งาคนอื่น ๆ ที่ทำการยืมได้ ในกรณีนี้ สินทรัพย์ต่าง ๆ นั้นเป็นรูปแบบดิจิทัลและมี Smart Contracts คอยเชื่อมผู้ปล่อยกู้ และผู้กู้ยืมไว่ บังคับให้ต้องทำตามข้อกำหนดของการกู้ยืม และมีการกระจายดอกเบี้ยไปตามอัตราส่วนเงินที่ฝากนั่นเอง

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อใจใด ๆ ในธนาคารหรือคนกลางทั้งนั้น และด้วยการที่ตัดตัวกลางเหล่านี้ออกไป ทำให้ผู้ปล่อยกู้สามารถรับผลตอบแทนที่มากขึ้นได้ พร้อมทั้งเห็นความเสีย่งชัดเจนมากขึ้นด้วยจากความโปร่งใสที่ Blockchain ทำให้นั่นเอง

โทเคนอย่าง Stablecoins เองก็มีความสำคัญในระบบนิเวศน์ของ DeFi เช่นกัน คุณอาจจะเคยเห็นว่ามูลค่าหรือราคาของ Cryptocurrency นั้นมักจะผันผวนตลอดเวลา แต่ Stablecoins นั้นเป็นโทเคนที่ถูกออกแบบมาให้มูลค่าผันผวนน้อยที่สุด และก็มักจะสกุลเงินหรือสินทรัพย์ค้ำมูลค่าไว้เสมอ ยกตัวอย่างเช่น DAI เป็น Stablecoin ที่มี ETH ค้ำอยู่ ในทุก ๆ DAI ที่สร้างขึ้นมา จะมี ETH มูลค่า 1.50 ดอลลาร์ ถูกล็อคเพิ่มเข้าไปใน MakerDAO ที่เป็น Smart Contract ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวค้ำมูลค่า

อีกหนึ่งแอปฯ DeFi ที่ได้รับความนิยมก็คือ Decentralized Exchange (เว็บเทรดแบบ Decentralized) หรือ DEX มันทำหน้าที่เหมือนเว็บเทรดคริปโตทั่ว ๆ ไปโดยการใช้ Smart Contracts สร้างกฎของการเทรด, ทำการเทรด และคุ้มครองคริปโตของเราตามที่ตั้งไว้ ข้อดีของ DEX ก็คือมันไม่จำเป็นต้องทำการยืนยันตัวตนอย่าง KYC, ไม่ต้องมีการสมัคร, ไม่ต้องมีค่าธรรมเนียมในการถอน และที่สำคัญไม่ต้องฝากคริปโตไว้ในเว็บเทรดด้วย เพราะเวลาจะเทรดก็แค่เชื่อม Wallet ของเราเข้ากับเว็บเทรดเท่านั้น ทำให้มีความปลอดภัยมาก ๆ ไม่ต้องฝากเงินไว้ในเว็บเทรด

DeFi เหมือนเลโก้ในวงการการเงิน

ลองจินตนาการภาพของตัวต่อเลโก้ ที่ตอนแรกคุณก็เริ่มจากตัวต่อไม่กี่ชิ้น และเมื่อเวลาผ่านไปมันก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะต่อมันอย่างไร หรือจะต่อให้มันเป็นรูปแบบไหน และ Smart Contracts นั้นก็คล้าย ๆ กับตัวต่อเลโก้

ในทุก ๆ โปรเจกต์, ผลิตภัณฑ์ หรือบริการใหม่ ๆ ที่เปิดตัวบน Ethereum นั่นแปลว่าเครือข่ายของมันมีตัวต่อเพิ่มขึ้นมาอีกชิ้นแล้ว และการนำตัวต่อเหล่านั้นมาประกอบรวมกัน คุณจะสามารถสร้างเครื่องมือทางการเงินที่ทรงพลังมาก ๆ ขึ้นมาได้

ตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ ก็คือ cDAI ตัวอย่างของเลโก้การเงินนี้ ในเครือข่าย Ethereum นั้นมี Compound ที่ทำหน้าที่เหมือนตลาดการเงิน หรือแพลตฟอร์มการกู้ยืมใน Ethereum ที่เมื่อคุณฝาก DAI เข้าไปแล้ว คุณจะได้โทเคน cDAI กลับมาเพื่อเป็นตัวแทน DAI และดอกเบี้ยที่ได้จากการปล่อยกู้ของเรา ด้วยความที่ cDAI เป็นโทเคน ทำให้คุณสามารถส่ง, รับ หรือใช้มันใน Smart Contracts อื่น ๆ ได้ ซึ่งตรงนี้แหละที่มันทำหน้าที่คล้ายเลโก้ เช่น เราทำการแปลง ETH ด้วย MakerDAO ให้ได้ DAI, เอา DAI ไปฝากไว้ใน Compound เพื่อให้ได้ cDAI จากนั้นนำ cDAI ไปใช้ใน DApps อื่นต่ออีก

ยกตัวอย่างเช่น คุณสามารถทำการแลก ETH เป็น cDAI ได้เลยผ่าน DEX และก็สามารถเก็บดอกเบี้ยได้เลยทันทีเพียงแค่ทำการถือ cDAI ไว้ คุณสามารถดูอัตราการแลกเปลี่ยนที่ดีที่สุดได้ผ่าน DEX.AG ที่จะรวบรวมราคาของทุก ๆ DEX ไว้ด้วย

การ Decentralized อาจมีความแตกต่างกันออกไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงบริการของ DeFi แล้วมันก็ไม่ได้ Decentralized ทั้งหมดซะทีเดียว เพราะมันเองก็มีระดับความกระอำนาจแตกต่างกันออกไป

จากที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า Stablecoins นั้นได้รับความนิยมมากใน DeFi แต่ก็ใช้ว่า Stablecoins นั้นจะ Decentralized เหมือน DAI เพราะมีหลากหลายสกุลที่เป็นโทเคนที่อิงจากการฝากเงิน Fiat เช่น ในทุก ๆ USDC ที่ถูกสรา้งขึ้นจะมีเงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถูกฝากไว้ในบัญชีที่เอาไว้ค้ำมูค่า ด้วยวิธีนี้คุณจะสามารถแปลงสินทรัพย์ปกติเป็นรูปแบบดิจิทัลได้

ในจุดนี้เองที่จะเกิดความสับสนได้ เพราะถึงแม้คุณจะสามารถเทรด, ส่งและรับโทเคนเหล่านี้บน Blockchain ได้ แต่คุณยังไม่สามารถกำจัดความจำเป็นของการที่ต้องมาจัดการสินทรัพย์ในแบบปกติ หรือการแลกมันกลับเป็นสินทรัพย์ปกติอยู่ดี

ยกตัวอย่างเช่น คุณทำการซื้อบ้านบน Blockchain จากการที่มีคนบางคนทำการแปลงบ้านให้อยู่ในรูปแบบโทเคน จากนั้นนำมันไปตั้งขายไว้ในเว็บเทรด และคุณก็ซื้อมัน ด้วยความที่ไม่มีกฎหมายอะไรเลย คุณไม่สามารถบังคับผู้ขายให้มอบความเป็นเจ้าของของบ้านนั้นมาให้คุณได้ ถึงแม้คุณจะเป็นเจ้าของบ้านนั้นในรูปแบบโทเคนก็ตาม ซึ่งคุณก็ต้องใช้ระบบกฎหมายปกติเข้าช่วยอยู่ดีเพื่อจัดการในกรณีนี้

สรุปสั้น ๆ มันยังคงมีขีดจำกัดของเทคโนโลยีอยู่ว่า DeFi สามารถไปได้ถึงขนาดไหน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ กฎหมายก็จะปรับตัวเข้าหาอุตสาหกรรมการเงินที่เปลี่ยนไป และ DeFi ก็จะมีความชัดเจนมากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ DeFi จะไม่หายไปไหน และจะค่อย ๆ ปฏิวัติวงการการเงินอย่างช้า ๆ แน่นอน

DeFi เติบโตต่อเนื่อง มูลค่ารวมแตะ 1 พันล้านดอลลาร์

หลังจากที่อ่านมาทั้งหมดนี้ บางคนอาจจะไม่เชื่อว่ามีคนใช้งาน DeFi จริง ๆ แต่เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์นี้ มูลค่าของคริปโตใน DeFi นั้นก็มีกันรวมกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ หรือ 31.33 พันล้านบาทแล้ว

มันไม่ใช่แค่แนวคิดเพ้อฝันอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นสิ่งที่มีผู้คนใช้งานมันจริง ๆ และก็สามารถแก้ปัญหาของผู้คนได้จริง ๆ แล้ว ซึ่งนี่ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะในอีกหลายปีต่อ ๆ ไปนี้มันจะพัฒนาต่อยอดกันไปเรื่อย ๆ เหมือนดั่งตัวต่อเลโก้ในวงการการเงิน

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า DeFi นั้นเป็นส่วนที่ทำให้ Ethereum เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมมากขึ้นในตอนนี้จนส่งผลให้ราคาของมันทะยานอย่างว่องไว ไม่แน่ว่าการที่ DeFi ได้รับความนิยมขนาดนี้อาจจะเหมือนตอนที่ ICO กำลังดัง และช่วยจุดกระแสให้ทั้ง Bitcoin และตลาดคริปโตทะยานต่ออีกครั้งก็เป็นได้