ย้อนกลับไปในปี 1920-30s มีอัจฉริยะด้านการบัญชีคนหนึ่งชื่อ Ralph Nelson Elliott (ราฟ เนลสัน เอลเลียต)

เขาได้ทำการวิเคราะห์วิจัยตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิดกับข้อมูลบน 75 ปีของตลาดหุ้น เขาพบว่าตลาดหุ้นนั้นมีพฤติกรรมที่การเคลื่อนไหวของราคาที่ไร้รูปแบบ ซึ่งปกติไม่ได้เป็นแบบนั้น 

เมื่อเขาอายุได้ 66 ปี เขาได้หลักฐานสุดท้ายที่ทำให้เขามั่นใจในการค้นพบของเขา 

เข้าตีพิมพ์ทฤษฎีของเขาลงหนังสือ ชื่อ  The Wave Principle.

เขาบอกว่า ตลาดนั้นมีการเทรดเป็นลักษณะวงจรที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กัน ซึ่งเขาบอกว่าสาเหตุนั้นมาจากอารมณ์ของนักลงทุนที่ส่งผลมาจากปัจจัยต่าง ๆ กัน เช่น (ข่าวใน CNBC Bloomberg, ESPN) หรือข่าวที่มีผลต่อจิตวิทยาของนักลงทุนเวลานั้น ๆ

เขาอธิบายอีกว่า การสวิงขึ้นลง ของทิศทางราคาสาเหตุนั้นเกิดจากพฤติกรรมทางจิตวิทยาซึ่งแสดงออกมาในรูปแบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ เสมอ ๆ 

เขาเรียกการสวิงขึ้นลงของราคาในลักษณะนี้ว่า  คลื่น หรือ "Waves".
------------------
โหลดไฟล์แนบเพื่ออ่านต่อ

การใช้Divergence (ความขัดแย้งกัน)ในการเทรด

ถ้าเรามีวิธีที่มีความเสี่ยงต่ำในการส่งออร์เดอร์ Sell ที่จุดสูงสุดก่อนกลับตัวของขาขึ้น หรือ ออร์เดอร์ Buy ที่ใกล้จุดต่ำสุดของขาลงหล่ะ?

และถ้าคุณเปิด ออร์เดอร์ Buy อยู่และคุณสามารถรู้ล่วงหน้าว่าจุดไหนควรจะเป็นจุดที่เหมาะสมในการออร์จากการเทรด แทนที่จะนั่งมองกำไรที่คุณยังไม่ได้เป็นกำไรของคุณเอง คุณกำลังฝันถึงรถในฝัน Aston Martin แต่เพียงแค่คุณขยี้ตาแป๊บเดียว มันเกิดการกลับเทรนด์ขึ้นอย่างรวดเร็ว?

ถ้าคุณคิดว่า ค่าเงินจะยังคงอยู่ในทิศทางขาลงต่อไป แต่ว่าคุณอยากจะส่งออร์เดอร์ Sell ในจุดที่คุณได้ราคาดีกว่านี้อีกหน่อย หรือว่าจุดที่เสี่ยงน้อยกว่านี้อีกหน่อยนึงหล่ะ?

ลองมาดูกัน วิธีนี้ เราเรียกว่า  divergence trading หรือการเทรดโดยใช้ Divergence

สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ Divergence สามารถจะมามองเห็นด้วยการเปรียบเทียบพฤติกรรมราคา กับ การเคลื่อนไหวของ อินดิเคเตอร์ต่าง ๆ ไม่สำคัญว่าจะเป็น อินดิเคเตอร์ประเภทไหน คุณจะใช้ RSI, MACD, stochastic, CCI, ฯลฯ.

แต่สิ่งสำคัญสำหรับ Divergences คือคุณสามารถใช้มันในการเป็นตัวนำทาง ในการตัดสินใจในการเทรดและ วิธีใช้ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรมากนัก

ปกติแล้วคุณสามารถจะทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องเองด้วยการเทรดด้วย Divergence และข้อดีของ Divergence คือ คุณแทบจะซื้อได้ในราคาต่ำสุดของเทรนด์ขาขึ้นและ Sell ได้สูงสุดของเทรนด์ขาลงเลย ซึ่งทำให้คุณลดความเสี่ยงลงไปได้มากและทำให้คุณได้กำมากเช่นกัน 
------------------
โหลดไฟล์แนบเพื่ออ่านต่อ

การระบุเทรนด์

สมมุติว่ามีคนสองคนกำลังจะไปทำสงคราม คนโง่มักจะกระโจนเข้าสู่สนามรบแบบไม่ได้วางแผน เหมือนกับคนที่กำลังหิวและเห็นโต๊ะบุฟเฟต์รออยู่ 

ในขณะที่ คนฉลาดจะต้องรู้สถานการณ์ก่อนเสมอ ว่ามีสภาพแวดล้อมเป็นยังไงและจะส่งผลกระทบกับตัวเขาอย่างไร

เหมือนกับในการทำสงคราม เราต้องเข้าใจสถานการณ์ในตลาดขณะที่เรากำลังเทรด หมายความว่าเราต้องรู้ว่า สภาวะตลาดเป็นอย่างไร นักเทรดบางคนกลับไปโทษระบบเทรดของตนว่าไม่ได้เรื่อง 

บางครั้ง ระบบเทรดก็อาจจะไม่ได้เรื่อง แต่ว่าบางครั้งระบบเทรดก็สามารถทำกำไรให้เราได้ แต่ว่าถ้าเราใช้มันในการเทรดที่ผิดสถานการณ์ผิดเวลา

นักเทรดที่รู้จักดูโอกาสจะหากลยุทธ์ที่เหมาะสมในการเทรดตามสภาวะตลาดที่พวกเขากำลังเทรดอยู่ในขณะนั้น 
------------------
โหลดไฟล์แนบเพื่ออ่านต่อ

Breakouts คืออะไรและเราจะใช้มันได้อย่างไร?

Breakouts จะเหมือนกับเราตรงที่ขึ้นตรงหน้าเหมือนกันกับสิว ซึ่ง Break out ในโลกของการเทรดจะแตกต่างนิดหน่อย!

Breakout เกิดขึ้นเมื่อราคามันเกิด Break out (ทะลุออกมา) จากแนวของราคาที่วิ่งอยู่ปกติ

Breakout สามารถเกิดขึ้นเมื่อราคาถึงจุด ๆ หนึ่งหรือ ทะลุแนวรับแนวต้าน Pivot Point และเส้น Fibonacci หรือเครื่องมืออื่น ๆ
การเทรดแบบ Breakout จุดประสงค์คือ การเข้าสู่ตลาดเมื่อราคาทะลุจุดังกล่าวออกมาและเราจะเกาะเทรนด์ไปจนกระทั่งความผันผวนนั้นหมดลง 
------------------
โหลดไฟล์แนบเพื่ออ่านต่อ

หลังจากที่คุณได้เรียนกับเรามานาน คุณได้ผ่านมาทั้ง Gulliver (กัลลิเวอร์ผจญภัย) Frodo (Lord of the ring) และตอนนี้เรามาถึงการวิเคราะห์โดยใช้ปัจจัยพื้นฐานแล้ว.
เดี๋ยวก่อน ...

เรา ได้เกริ่นไปนิดหน่อยแล้วตอนที่เรายังอยู่ชั้นอนุบาล ตอนนี้เรามาดูรายละเอียดของการวิเคราะห์โดยปัจจัยพื้นฐานกัน !

การวิเคราะห์โดยปัจจัยพื้นฐานคืออะไรกันแน่ และเราจะต้องใช้มันอย่างนั้นหรือ? การวิเคราะห์โดยใช้ปัจจัยพื้นฐานเป็นการศึกษาถึงราคาพื้นฐานของมัน และมันไม่ยากหรอก?  รึเปล่า? ฮ่า ๆ ๆ !

มันมีอะไรที่มากกว่าที่เราเห็นเยอะมาก 

เมื่อไรก็ตามที่คุณได้ยินคนพูดถึงการวิเคราะห์โดยใช้ปัจจัยพื้นฐาน พวกเขาจะพูดถึงการวิเคราะห์เศรษฐกิจของประเทศที่มีค่าเงินนั้นอยู่เสมอ 

การวิเคราะห์พื้นฐานครอบคลุม ข้อมูลกว้างใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจการเมือง หรือรายงานทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ข้อมูลหรือเหตุการณ์ที่ประกาศออกมา

การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐานคือการใช้และการศึกษาในเรื่องของปัจจัยเศรษฐกิจเพื่อทำนายทิศทางราคาของค่าเงินในอนาคต

การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐานเป็นการศึกษา ว่าเกิดอะไรขึ้นใจโลก รอบ ๆ ตัวเรา เกี่ยวกับทางเศรษฐกิจ การเงินที่มีประกาศออกมา และส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเศรษฐกิจมหภาค(เช่นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ อัตราการจ้างงาน) ที่มีผลกระทบต่อการเทรด 
------------------
โหลดไฟล์แนบเพื่ออ่านต่อ

การเทียบค่าเงินข้ามคู่ หรือ การเทียบข้ามคู่ เป็นค่าเงินที่ไม่เกี่ยวกับค่าเงิน ดอลล่าร์สหรัฐฯ 

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปี ถ้าใครซักคนหนึ่งอยากจะแลกเปลี่ยนค่าเงิน พวกเขาต้องเปลี่ยนค่าเงินของพวกเขากลับไปเป็นเงิน ดอลล่าร์สหรัฐฯ และ ค่อยแปลงเงินดอลล่าร์กลับเป็นค่าเงินที่พวกเขาอยากได้อีกทีหนึ่ง 

ตัวอย่างเช่น ถ้าคนคนหนึ่งอยากจะแลกเงิน ปอนด์ของเขา ไปเป็นเงินเยน สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือ ต้องแปลเงินปอนด์เป็นเงินดอลล่าร์สหรัฐฯก่อน และค่อยแปลงเงินดอลล่าร์ไปเป็นเงินเยนอีกทีหนึ่ง 

ด้วยการคิดวิธีเทียบค่าเงินข้ามคู่ขึ้นมา ตอนนี้คุณสามารถแปลงค่าเงินของเขาเป็นเงินปอนด์ได้โดยตรง แทนที่จะต้องแปลงเป็นเงินดอลล่าร์ก่อน ซึ่งมีคู่เงินอื่นอีกที่เทียบข้ามคู่เช่น : GBP/JPY, EUR/JPY, EUR/CHF, and EUR/GBP.
------------------
โหลดไฟล์แนบเพื่ออ่านต่อ

แล้วการวิเคราะห์โดยการใช้หลายช่วงเวลา นี่มันอะไร?

หลายช่วงเวลา คือ เอ่อ.... เอ่อ ไม่ต้องคิดมาก มันไม่ได้ยากเหมือนชื่อของมันหรอก คุณเกือบจะจบ ม.ปลายแล้ว และตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ต้องคิดมาก !

การวิเคราะห์แบบหลายช่วงเวลา เป็นกระบวนการแบบง่าย ๆ ในค่าเงินเดียวกัน และราคาเดียวกัน แต่ว่าต่างช่วงเวลา (Time frames ต่อไปนี้จะใช้คำนี้แทน) 

จำไว้ ค่าเงินนั้น จะมี Time framesแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น รายวัน รายชั่วโมง รายสิบห้านาที หรือว่าแม้แต่ รายนาที!

นี่หมายความว่า นักเทรดแต่ละคนสามารถมีความคิดเห็นแตกต่างกันได้เพราะการเทรดค่าเงินค่าหนึ่งในต่าง Time Frame

Phoebe อาจจะเห็นว่า EUR/USD กำลังเป็นขาลงในกราฟ 4 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม Sam เทรดในกราฟ 5 นาทีและเห็นว่าราคาเพียงแค่พักฐาน แต่ทั้งคู่ก็พูดถูกเหมือนกัน!

อย่างที่คุณเห็น  จุดนี้ทำให้เกิดปัญหา บางครั้งทำให้เราสับสนเมื่อเราดูกราฟ 4 ชั่วโมง และเห็นว่าเป็นสัญญาณ Sell และพอกลับมาดูที่กราฟ ชั่วโมง เห็นราคากำลังขึ้น 

เราควรจะทำยังไง? 

ยึดติดกับ Time frame แล้วก็ใช้สัญญาณตามที่ เครื่องมือบอก แล้วไม่ต้องสนใจ Time Frame อื่นอย่างนั้นหรอ? 

หรือว่า โยนเหรียนตัดสินใจว่าจะ Buy จะ Sell ดี?

โชคดีที่ คุณกำลังอ่าน BabyPips.com และเราไม่ให้คุณจบไปโดยที่ไม่รู้เรื่องการใช้ time frame ต่างกันในการวิเคราะห์หาความได้เปรียบหรอก? 

สิ่งแรก ที่เราจะต้องช่วยคุณตัดสินใจว่า Time Frame ไหนคุณควรดู ซึ่งเทรดเดอร์ควรเทรด Timeframe ใดอันหนึ่งที่เหมาะสมสำหรับบุคคลิกของเขา หรือเธอ 

อย่างที่สอง เราจะสอนคุณว่าจะดู Time Frame ต่าง ๆ กันยังไงในค่าเงินเดียวกัน ทำให้คุณสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น 
------------------
โหลดไฟล์แนบเพื่ออ่านต่อ

นักเทรดทุกคนจะมีความเห็นของตนเองต่อตลาด 

"มันเป็นตลาดหมี มันจะลงแน่นอน!"

"เรากำลังจะมือขึ้น ตอนนี้เริ่มเป็นตลาดกระทิง ราคากำลังขึ้นแล้ว "

นักเทรดเดอร์ แต่ละคนและทุกคนจะมีคำอธิบายของแต่ละคนว่าทำไมตลาดถึงเคลื่อนไหวในทิศทางนั้น 

เมื่อคุณเทรด นักเทรดอธิบายในทัศนะคติของเขาไม่ว่าเขาจะเทรดในทิศทางไหน แต่ว่าบางครั้งไม่สำคัญว่าเทรดเดอร์จะรู้สึกยังไง ตลาดจะเคลื่อนไหวไปทางใดทางหนึ่ง และไม่สำคัญว่าคุณจะวาดเส้นเทรนด์ไลน์สวยขนาดไหน 

นักเทรดต้องเข้าใจ ภาพรวมของตลาดนั้นเต็มไปด้วยความคิดเห็น ความคิด ทัศนคติของนักเทรดในตลาด ใช่ไหม? ทุกคน ...

ซึ่งทั้งหมดนี้รวมความรู้สึกของผู้ที่อยู่ในตลาดที่เราเรียกว่า อารมณ์ตลาด 

มันเป็นการครอบงำของอารมณ์ หรือ ความคิดของคนส่วนใหญ่ในตลาดรู้สึกและออกมาในรูปแบบของทิศทางราคาตลาด 
------------------
โหลดไฟล์แนบเพื่ออ่านต่อ

ไม่เพียงแต่เราต้องรู้การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยทางเทคนิค การรู้ว่าทำไมถึงทำให้ทิศทางของราคาตลาดเกิดความเคลื่อนไหวก็มีความสำคัญเช่นกัน

เหมือนกับโลกของ Star Wars ข้างหลังเส้นเทรนด์ไลน์ Double Top หรือ รูปแบบหัวและไหล่ ย่อมมีปัจจัยพื้นฐานผลักดันอยู่ข้างหลังการเคลื่อนไหวเหล่านั้น ซึ่งเราเรียกว่า ข่าว!

ในการทำความเข้าใจความสำคัญของข่าว ให้ใช้จินตนาการดู !

สมมุติว่า คุณกำลังดูข่าวภาคดึกอยู่ มีรายงานว่า บริษัทซอร์ฟแวร์ยักใหญ่ ที่คุณถือหุ้นอยู่กำลังจะล้มละลาย 

สิ่งแรกที่คุณจะทำคืออะไร? และคุณจะรับรู้การเปลี่ยนแปลงของข่าวอย่างไร? คุณจะคิดอย่างไรกับการรับรู้ข่าวนี้ของคนอื่นเรื่องการเปลี่ยนแปลงของบริษัทเรื่องนี้ ?

ซึ่งแน่นอนว่าปฏิกิริยาที่คุณจะทำคือขายหุ้นของคุณทันที  จริง ๆ แล้วทุกคนที่ถือหุ้นอยู่ก็ทำเหมือนกัน

ความจริงก็คือข่าวนั้น กระทบกับการรับรู้และทำให้เราแสดงออกมาในการเทรดของเรา ไม่ได้แตกต่างกันเมื่อเรามาเทรดค่าเงิน

มีความแตกต่างระหว่างข่าวที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นและตลาดฟอร์เร็กอยู่บ้าง

ย้อนกลับไปที่ตัวอย่าง ข้างบนของเราและลองคิดว่าคุณได้ยินข่าวเดียวกันจากบริษัทซอร์ทแวร์กำลังจะล้มละลาย และสมมุติว่าคุณได้ยินรายงานก่อนหน้าที่ข่าวจะออกมาวันหนึ่ง
------------------
โหลดไฟล์แนบเพื่ออ่านต่อ

คุณรู้ไหมว่ามีระบบเทรดระบบหนึ่งที่สามารถทำเงินได้จากราคาที่อยู่นิ่ง ๆ ไม่ไปไหนได้ในช่วงเวลานาน ?

เอาหล่ะ มีวิธีหนึ่ง และก็เป็นที่นิยมด้วยในหมู่ผู้จัดการของทุนที่ชั่วร้ายในจักรวาลการเงินนี้ซะด้วย !

มันเรียกว่า  "Carry Trade"

Carry trade เกี่ยวกับการยืมเงินหรือว่า sell เครื่องมือทางการเงินโดยใช้ดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า แล้วใช้มันนั่นแหละซื้อ หรือ Buy เครื่องมือทางการเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า 

ขณะที่คุณกำลังจ่ายอัตราดอกเบี้ยต่ำ ๆ ในเครื่องมือทางการเงินที่คุณยืม หรือ ขายไป คุณก็สามารถสะสมเครื่องมือทางการเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าได้ ดังนั้นกำไรของคุณคือคุณได้จากอัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างกัน 
------------------
โหลดไฟล์แนบเพื่ออ่านต่อ

ถ้าคุณเทรดหุ้น บางทีคุณอาจจะคุ้นกับดัชนีต่าง ๆ เช่น Dow Jones Industrial Average (DJIA), NASDAQ Composite Index, Russell 2000, S&P 500, Wilshire 5000, and the Nimbus 2001. เดี๋ยวก่อน อันสุดท้ายเป็น

ไม้กวาดของแฮร์รี่ พอร์ทเตอร์

เอาหล่ะ ถ้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีดัชนี ตลาดเงินดอลล่าร์สหรัฐ ฯ ก็มีเช่นกัน สำหรับนักเทรดค่าเงิน เราก็มีดัชนีค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ U.S. Dollar Index (USDX).

U.S. Dollar Index นั้นประกอบด้วย ค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักเรขาคณิต ของค่าเงินอื่น ๆ ต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ

อะไรนะ !?! ก่อนที่คุณจะผลอยหลับกับคำนิยามที่ดูเคร่งเครียดข้างบน เราจะมาวิเคราะห์เจาะลึกกัน 

เหมือนกับดัชนีหุ้น ที่มันบอกถึงมูลค่าของหุ้นตัวอื่น ๆ ในตลาด และ หุ้นเหล่านั้นก็คือค่าเงินหลัก ๆต่าง ๆ นั่นเอง 
------------------
โหลดไฟล์แนบเพื่ออ่านต่อ

ก่อนที่เราจะลงลึกไปในรายละเอียดของความสัมพันธ์ของเงินดอลล่าร์ และ ทอง ซึ่งจริง ๆ แล้วสองตัวนี้ไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่ 

ปกติแล้ว เมื่อดอลล่าร์เคลื่อนไหวขึ้น และทองจะลดค่าลง

เหตุผลง่าย ๆ คือ ในช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในขาลง นักลงทุนจะเคลื่อนย้ายเงินทุนมาลงทุนในทองคำ

ซึ่งไม่เหมือนสินทรัพย์อย่างอื่น ทองคำนั้นมีมูลค่าในตัวมันเอง !

ตอนนี้ ความสัมพันธ์แบบกลับด้านกัน แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลง ระหว่างสินค้าทางการเงินสองตัวนี้อยู่บ้าง

แต่เพราะว่า ดอลล่าร์ก็มีความมั่นคงสูง ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจอยู่ในภาวะตกต่ำ นักลงทุนก็ไม่ได้วิตกอะไรมากนัก 

จุดกลับตัวจะเกิดขึ้นเมื่อมีสัญญาณของ การเติบโตทางเศรษฐกิจ 

ปัจจุบัน ออสเตรเลียเป็นประเทศที่ผลิตทองได้เป็นอันดับสามของโลก ซึ่งมีมูลค่าถึงห้าพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ทุก ๆ ปี 

ในอดีตค่าเงิน  AUD/USD มีความสัมพันธ์กับราคาทองคำถึง 80 % !

ไม่มีข้อโต้แย้งใช่ไหม? มาดูอีกกรณีหนึ่ง :

ข้ามจากคาบสมุทธทั้งเจ็ด เรามาที่สวิสเซอร์แลนด์ เรามาดูค่าเงิน ฟรังค์ สวิสกัน ก็มีความสัมพันธ์กับราคาทองอย่างใกล้ชิด โดยค่าเงิน USD/CHF จะลงเมื่อราคาทองขึ้น 

ในทางกลับกัน ค่าเงินนั้นจะอ่อนค่า เมื่อราคาทองเป็นขาขึ้น ซึ่งแตกต่างจากค่าเงินดอลล่าร์ออสเตรเลีย เหตุผลเพราะว่า ราคาสวิสฟรังค์เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับทอง เพราะว่า ค่าเงินสวิสฟรังค์ นั้นมีทองคำหนุนหลังอยู่ 25 % 

ยังไม่ยอดเยี่ยมพอใช่ไหม? 

ความสัมพันธ์ระหว่างทองกับค่าเงินหลักเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เราจะศึกษาวันนี้ อย่าพึ่งท้อ!
------------------
โหลดไฟล์แนบเพื่ออ่านต่อ

คุณรู้หรือเปล่าว่าตลาดทุนนั้นสามารถใช้ในการคาดเดาการเคลื่อนไหวของทิศทางราคาค่าเงินได้  คุณสามารถใช้ดัชนีตลาดทุนมาคาดคะเนได้แน่นอน

เนื่องจากสิ่งที่คุณเห็นในทีวี หรือในวิทยุ และหนังสือพิมพ์ ซึ่งเหมือนจะครอบคลุมไปทั้งตลาดการเงินอยุ่แล้ว มันน่าตื่นเต้นที่คุณจะซื้อบริษัทที่ผลิตสิ่งที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน 

สิ่งหนึ่งที่คุณต้องระลึกอยู่เสมอคือการซื้อหุ้นจากประเทศประเทศหนึ่ง คุณต้องใช้เงินประเทศนั้น

การที่เราจะลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น นักลงทุนยุโรปคนหนึ่งต้องแลกเงินยูโรเป็นเงินเยนก่อน ทำให้อุปสงค์ของเงินเยนเพิ่มขึ้น อีกทางหนึ่ง ค่าเงินยูโรจะถูกขายซึ่งทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง 

เมื่อตลาดหุ้นภาพรวมกำลังดีขึ้น เงินจะไหลเข้า และกลับกันเมื่อตลาดหุ้นกำลังย่ำแย่ นักลงทุนก็จะย้ายเงินของพวกเขาไปแหล่งที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า 

แม้ว่าคุณจะไม่ได้เทรดหุ้น ในฐานะนักเทรดฟอร์เร็ก คุณก็ควรจะสนใจความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นในประเทศที่มีค่าเงินหลักอื่น ๆ

ถ้าตลาดหุ้นประเทศหนึ่งเริ่มมีผลประกอบการที่ดีกว่าประเทศหนึ่ง คุณก้ควรจะเตรียมไว้ว่าเงินกำลังจากเคลื่อนย้ายจากประเทศที่ตลาดหุ้นอ่อนแอกว่าไปยังตลาดที่เข้มแข็งกว่า

นี่ทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นในประเทศที่ตลาดหุ้นแข็งแกร่งขึ้น ขณะที่ค่าเงินของประเทศที่ตลาดหุ้นอ่อนแอก็จะอ่อนค่าเช่นเดียวกัน สรุปก็คือ ตลาดหุ้นขาขึ้น ค่าเงินแข็งค่าขึ้น ตลาดหุ้นขาลงค่าเงินอ่อนค่าลง

ถ้าคุณซื้อค่าเงินจากประเทศที่มีตลาดหุ้นแข็งแกร่ง และขายค่าเงินประเทศที่มีตลาดหุ้นขาลงคุณก็จะสามารถทำกำไรได้
------------------
โหลดไฟล์แนบเพื่ออ่านต่อ

วันนี้เราจะเดินทางไปรอบโลก แต่ว่าไม่ได้ใช้เวลา 80 วันหรอกนะ

ถ้าคนเรียนรู้ได้เร็ว เราสามารถเดินทางรอบโลกได้แค่เวลา 80 วินาที 

...ไม่หรอก!

เราจะมาเรียนรู้ว่าอะไรที่ทำให้เศรษฐกิจนั้นขับเคลื่อนไปได้หน่ะ 

แต่ละประเทศที่เราไป เราจะดูส่วนที่สำคัญ ๆ และข้อมูลโดยรวมทางเศรษฐกิจเท่านั้น

และเราจะไปเยิ่ยม ธนาคารกลางแต่ละประเทศด้วย เพื่อค้นหาความลับของพวกเขา ซึ่งในส่วนนี้เราจะหา เครื่องมือทางนโยบายทางการเงินที่ธนาคารกลางใช้ควบคุมเศรษฐกิจของประเทศ

หวังว่า เราจะได้ย่องเข้าห้องพิมพ์ธนบัตร แล้วย่องออกประตูหลังเอาเงินไปขายในตลาดมืดได้

ล้อเล่นหน่ะ เราจะสอนคุณทำเงินจาก Forex แบบถูกกฏหมายกัน 

หลังจากนั้นเราจะมาดูกันเรื่อง ความสำคัญของลักษณะที่แตกต่างของค่าเงิน และศึกษาตัวบ่งชีทางเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ 

เพื่อให้การเดินทางของเราตื่นเต้น เราจะสอดแทรกเทคนิคต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ในการเทรดของคุณ !

ตามที่เราได้สัญญาไว้ นี่เป็นทริป VIP ที่ไม่ต้องใช้วีซ่า และไม่ต้องซื้อโปรแกรมทัวร์ แม้ว่าคุณจะไม่มั่นใจ แต่ก็ต้องไปข้างหน้า

พยายามเอาของมาน้อยที่สุด เพราะสิ่งที่คุณต้องใช้คือ ความกระหายในการอยากเรียนรู้ ถ้าคุณอยากจะเปลี่ยนชุด ไม่ต้องคิดมาก คุณสามารถยืมชุดไซคล็อป ได้ 
พร้อมรึยัง ?

มาดูกันว่าเราจะเจออะไรบ้าง !
------------------
โหลดไฟล์แนบเพื่ออ่านต่อ

ตอนนี้คุณอยู่ครึ่งทางของระดับมหาวิทยาลัยแล้ว นี่เป็นสิ่งที่คุณต้องท่องจำให้ขึ้นใจเสมอ

เป็นตัวของตัวเอง

อย่ามัวแต่ทำตามคำแนะนำของใครซักคนอย่างไม่มีเหตุผล หลับหูหลับตาฟัง เพียงเพราะว่าคนนั้นเขาเทรดได้ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าวิธีการของเขาจะเหมาะกับคุณด้วย ซึ่งแต่ละคนนั้นมีทัศนะคติเกี่ยวกับตลาดที่แตกต่างกัน มีระดับการยอมรับความเสี่ยง และประสบการณ์ที่แตกต่างกัน 

คุณต้องออกแบบลักษณะของแผนการเทรดของคุณเอง และเรียนรู้มันจากตลาด 

พร้อมกับระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด การเทรดของคุณจะเป็นแบบนี้

การพัฒนาแผนการเทรด และการทำตามแผนนั้นเป็นสิ่งสำคัญหลักสองอย่างคือวินัยในการเทรด

แต่ว่า วินัยอย่างเดียวไม่พอ 

เพราะคุณมีวินัยอย่างเดียวไม่พอ 

คุณต้องอาศัยความมีวินัยอย่างมาก 

ขอย้ำ  อย่างมาก 

วินัยเทียม ๆ ทำเป็นครั้งคราวจะไม่ประสบความสำเร็จ

เราไม่อยากให้คุณเป็นหมูในตลาด เราอยากให้คุณเป็น นักเทรดที่ประสบผลสำเร็จ !

และถ้าคุณมีวินัยในการเทรดที่ดี ซึ่งเป็นลักษณะของนักเทรดที่ประสบความสำเร็จ 

แผนการเทรดนั้น บอกว่าเราควรจะทำอะไรบ้าง และทำไม เมื่อไหร่ และอย่างไร ซึ่งครอบคลุมไปถึงลักษณะนิสัยการเทรดของคุณ  ความคาดหวังของคุณ และหลักการจัดการความเสี่ยง และสุดท้ายระบบเทรด
แผนการเทรดจะช่วยให้คุณ ลดการเทรดผิดพลาด และลดการสูญเสีย  และถ้าคุณไม่ได้วางแผน ก็คุณเตรียมแผนการล้มเหลวในการเทรดได้เลย

แผนการเทรดทำให้คุณหลีกเลี่ยงจากการตัดสินใจพลาด ในช่วงเวลาที่เลวร้าย อารมณ์จะหวั่นไหวเมื่อคุณเทรด เพราะว่าคุณสามารถตัดสินใจผิดพลาดได้ และคุณไม่ควรจะให้มันเกิดขึ้น 
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการเกิดได้คือ การลดความรู้สึก ความคิดในการเทรด แล้วใช้แผนการเทรดที่เตรียมไว้กับตลาด 

ถ้าเรามีแผนการที่เหมาะสม ทุกอย่างที่เราทำไปก็จะมีแผนการรองรับ ดังนั้นในช่วงเวลาที่ตลาดเคลื่อนไหวรวดเร็ว คุณก็จะตัดสินใจไปตามแผนการที่วางไว้  เพียงแค่ทำตามแผนให้ได้ก็พอ 
ก่อนที่เราจะมาดูกันว่าต้องเรียนอะไรบ้าง เรามาดูความแตกต่าง ระหว่างแผนการเทรด กับระบบเทรดกันก่อน 

ระบบเทรดนั้นสามารถอธิบายได้ว่า คุณจะเข้าและออก ออร์เดอร์  ระบบเทรดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการเทรดของคุณ แต่ว่า มันเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของแผนการเทรด เช่น การวิเคราะห์ การตัดสินใจออร์เดอร์ การจัดการความเสี่ยง และอื่น ๆ  และเมื่อเงื่อนไข สภาวะตลาดเปลี่ยนแปลง นักเทรดที่ดีมักจะมีสองหรือสามระบบเทรดในแผนการเทรดของพวกเขา 

ระบบเทรดเราจะค่อยมาตีแผ่กันทีหลังในบทเรียนนี้ แต่ว่า เราคิดว่า มันสำคัญมาที่จะให้ความแตกต่างเรื่องนี้ก่อนเพื่อไม่ให้สับสน
------------------
โหลดไฟล์แนบเพื่ออ่านต่อ