ข่าว:

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - support-1

#81
รูปแบบกราฟ ทั้ง 3 แบบ : ในตอนนี้เรามาดูประเภทของกราฟทั้ง 3 รูปแบบ ที่ MT4 มีให้เราได้เลือกใช้งาน แต่ก่อนที่เราจะมา ทําความรู้จักกับกราฟแต่ละรูปแบบนั้น เรามารู้จักองค์ประกอบของราคากันก่อน
องค์ประกอบของราคาใน 1 แท่ง มี 4 ส่วน คือ
√ ราคาเปิด (Open)
ราคาสูงสุด (High)
√ ราคา าสุด (Low)
√ ราคาปิด (Close)
โดยมีตัวย่อ O H L C ตามลําดับ
และผมอยากให้เราได้ทําความรู้จักกับ 2 ค่านี้ด้วย คือ
Bullish : เป็นค่าที่ใช้เป็นตัวแทนของ ภาวะตลาดกระทิง หรือ ตลาดขาขึ้น
Bearish : เป็นค่าที่ใช้เป็นตัวแทนของ ภาวะตลาดหมี หรือ ตลาดขาลง

เหตุผลที่ใช้สัญลักษณ์ "กระทิง" เป็นตัวแทนของตลาดขาขึ้น และ "หมี" เป็นตัวแทนของตลาดขาลง เนื่องด้วยพฤติกรรมการต่อสู้ของ สัตว์ทั้ง 2 ซึ่ง กระทิงใช้เขาขวิดขึ้น และ หมีใช้กรงเล็บอุ้งมือตะปบลงนั่นเอง จึงเป็นที่มาในการเลือกสัตว์ทั้ง 2 นี้มาเป็นตัวแทนยังไง

ทีนี้เรามาดูกราฟทั้ง 3 รูปแบบกัน

Bar Charts : มีลักษณะเป็นแท่งตามรูปด้านล่าง มีองค์ประกอบของราคา OHLC ทั้ง 4 ส่วน ซึ่งจะมีราคาเปิดเป็นขีดสั้นแนวนอนหันหัวไปทางด้านซ้ายของ Bar และ ราคาปิดจะหันหัวไปทางขวาของ Bar เสมอ



โดยรูปด้านซ้ายแท่งสีน้ําเงินราคาเปิดจะอยู่ด้านล่างและระหว่างแท่งมีการลงไปทําราคาต่ําสุดและสูงสุดก่อนที่จะปิดที่ราคาสูงกว่าด้านบน ลักษณะ Bar แบบนี้เรียกว่า "Bullish Bar"

ส่วนรูปด้านขวาแท่งสีแดง
ราคาเปิดจะอยู่ด้านบนและระหว่างแท่งมีการขึ้นไปทําราคาสูงสุดและต่ําสุดก่อนที่จะปิดที่ราคาต่ํากว่าด้านล่าง ลักษณะ Bar แบบนี้เรียกว่า "Bearish Bar"

Candlestick : มีลักษณะเป็นเหมือนแท่งเทียน หรือ ที่เรียกกันว่ากราฟแท่งเทียน มีบอดี้ที่เป็นเนื้อเทียน มีไส้เทียนด้านบน และไส้ เทียนด้านล่าง โดยมีองค์ประกอบของราคา OHLC ทั้ง 4 ส่วนเช่นเดียวกับ Bar Charts



คิดค้นขึ้นมาครั้งแรกโดยชาวญี่ปุ่น เพื่อใช้เก็บสถิติของราคาข้าว และชาวยุโรปทางฝั่งตะวันตกได้นํามาใช้กับราคาหุ้น จนได้รับความ นิยมทั่วโลกและใช้มาจนถึงปัจจุบัน



โดยรูปด้านล่าง ทางซ้ายเป็น "Bullish Candlesticks" ซึ่งมีราคาเปิดด้านล่างและมีไส้เทียนด้านล่างที่ลงมาท่าราคาต่ําาสุด และไส้ เทียนด้านบนที่ขึ้นไปท่าราคาสูงสุด แล้วมีราคาปิดต่ํากว่าราคาสูงสุด โดยราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด

ส่วนรูปทางขวาเป็น "Bearish Candlesticks" ซึ่งมีราคาเปิดด้านบนและมีไส้เทียนด้านบนที่ขึ้นไปทําราคาสูงสุด และไส้เทียนด้านล่าง ที่ลงมาท่าราคาต่ําาสุด แล้วมีราคาปิดสูงกว่าราคาต่ําสุด โดยราคาปิดต่ํากว่าราคาเปิด

Line Charts : มีลักษณะเป็นเส้น โดยกราฟเส้นเป็นการนําราคาปิดของแต่ละแท่ง มาลากโยงกันเป็นเส้นเดียว โดยองค์ประกอบของ ราคาจะใช้เพียง ราคาปิด C เท่านั้น



เราสามารถเลือกใช้กราฟรูปแบบใดก็ได้ในการเทรด แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน หรือ แล้วแต่กลยุทธ์ที่เลือกใช้ในการวิเคราะห์ ตอนนี้ได้รู้จักรูปแบบกราฟแต่ละแบบกันไปแล้ว ลองเล่นกันดูว่าแบบไหนเราใช้แล้วถนัดกว่ากัน

#82
กลยุทธ์การซื้อขายในตลาดแลกเปลี่ยนค่าเงิน FOREX ด้วยเครื่องบ่งชี้ BOLLINGER BANDS โดยใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะเวลา 20 เป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่ง่ายมาก มีเทรดเดอร์ทุกระดับที่สามารถหาประโยชน์จากกลยุทธ์นี้ได้


ก่อนที่จะเข้าสู่กฎของกลยุทธ์กลุ่ม BOLLINGER ต่อไปนี้ คือขั้นตอนคร่าว ๆ
                     

•   ถ้ากราฟราคาเคลื่อนไหวต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะ  20  (เส้นกลาง- MIDDLE BAND LINE) แปลได้ว่ากราฟราคากำลังอยู่ในช่วงขาลง

•   ถ้ากราฟราคาเคลื่อนไหวเหนือกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะ 20 (เส้นกลาง)  แปลความได้ว่ากราฟราคาอยู่ในช่วงขาขึ้น

•   กราฟราคาจะต้องวิ่งประมาณ และหรือสัมผัสกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะ 20 (เส้นกลาง) ก่อนที่เทรดเดอร์จะทำการเข้าซื้อขายใด ๆ

•   เส้นคู่ขนานของ เครื่องบ่งชี้ BOLLINGER BAND ที่ด้านบน UPPER BAND LINE หรือที่ด้านล่าง LOWER BAND LINE สามารถใช้สำหรับการทำกำไรได้


                       การตั้งค่า - เครื่องบ่งชี้ BOLLINGER BAND ใน MT4

•   เครื่องบ่งชี้ : BOLLINGER BAND

•   คู่สกุลเงิน : ทุกคู่สกุลเงิน

•   กรอบระยะเวลา : ทุกกรอบระยะเวลา



กฎ –ในการเปิดคำสั่งขาย ด้วยเครื่องบ่งชี้ BOLLINGER BANDS

•   แนวทางแรก : ให้เทรดเดอร์ตรวจสอบว่าตลาดอยู่ในช่วงขาลงหรือไม่?  กรณีเป็นขาลงแล้ว หลังจากนั้นให้รอ กราฟราคาแท่งเทียนขยับตัวสูงขึ้น รอให้กราฟแท่งเทียนไปแตะที่เส้นกลาง (MIDDLE BAND LINE) ของ BOLLINGER BAND

•   แนวทางที่สอง : เมื่อเทรดเดอร์ตรวจสอบแล้วว่าเป็นตลาดขาลง ให้เทรดเดอร์รอ กราฟราคาแท่งเทียนแตะเส้นด้านบน (UPPER BAND LINE) ของ BOLLINGER BAND

•   และเมื่อ กราฟราคาแท่งเทียนไปแตะที่ เส้นกลาง (MIDDLE BAND LINE) (แนวทางแรก) หรือ เส้นด้านบน (UPPER BAND LINE) (แนวทางที่สอง) แล้ว ให้เทรดเดอร์วางคำสั่งขายล่วงหน้า ไว้ที่ด้านล่างสุดของ กราฟราคาแท่งเทียนแท่งนั้นๆ ประมาณ 3-5 PIPS

•   เทรดเดอร์อาจจะรอดูว่า มีแท่งเทียนกลับตัวเป็นแท่งขาลงมาก่อนก็ได้  ก่อนที่เทรดเดอร์จะวางคำสั่งขายล่วงหน้า

•   การวางคำสั่งขายล่วงหน้า ต้องรอให้กราฟราคาแท่งเทียนแท่งที่เทรดเดอร์มองเป้าหมายไว้นั้น ปิดแท่งก่อน เทรดเดอร์จึงจะวางคำสั่งขายล่วงหน้าได้

•   ให้เทรดเดอร์วางคำสั่งหยุดการสูญเสีย ไว้ที่ประมาณ 5-10 PIPS ที่ด้านบนของกราฟราคาแท่งเทียน แท่งที่เทรดเดอร์เปิดคำสั่ง

                                    ตัวอย่างประกอบ การเข้าทำการเปิดคำสั่งขาย



กฎ –ในการทำกำไร หรือปิดคำสั่งขาย

•   เมื่อกราฟราคา มีการเคลื่อนไหวแท่งกราฟลงด้านล่าง และไปแตะเส้นล่าง (LOWER BAND LINE) ของ BOLLINGER ให้เทรดเดอร์ปิดคำสั่งขายได้

•   ให้เทรดเดอร์กำหนด ระดับการทำกำไร เป็นจำนวน PIPS ให้เท่ากับช่วงระยะที่กราฟราคาแก่วงตัวขึ้นมา แตะที่ MIDDLE BAND LINE ของ BOLLINGER BAND (การแกว่งตัวของกราฟราคาแท่งเทียนก่อนหน้าที่จะเปิดคำสั่งขาย)

•   เทรดเดอร์สามารถใช้ ตำแหน่งการแกว่งตัวของกราฟราคาที่ต่ำสุด ล่าสุด ก่อนการเปิดคำสั่งขาย เพื่อเป็นระดับเป้าหมายในการทำกำไรของตัวเทรดเดอร์เองได้

          ตัวอย่างประกอบ การเข้าทำการเปิดคำสั่งซื้อ



กฎ –ในการเปิดคำสั่งซื้อ ด้วยเครื่องบ่งชี้ BOLLINGER BANDS

•   ให้เทรดเดอร์ตรวจสอบว่าตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือไม่?  ต่อมาให้รอ กราฟราคาแท่งเทียนขยับตัวต่ำลง รอให้กราฟแท่งเทียนไปแตะที่เส้นกลาง MIDDLE BAND LINE ของ BOLLINGER BAND

•   และเมื่อ กราฟราคาแท่งเทียนไปแตะที่ MIDDLE BAND LINE แล้ว ให้เทรดเดอร์วางคำสั่งซื้อล่วงหน้า ไว้ที่ด้านบนสุดของ กราฟราคาแท่งเทียนแท่งนั้นๆ ประมาณ 3-5 PIPS

•   ถ้าหากเทรดเดอร์มีการควบคุม จำกัดเงินในพอร์ต ตัวเองก่อนแล้วก็อาจจะสามารถเปิดคำสั่งซื้อได้ทันทีที่ กราฟราคาแท่งเทียนไปแตะที่เส้นกลาง (MIDDLE BAND LINE) ได้

•   เพื่อความมั่นใจเทรดเดอร์อาจจะรอดูให้ มีแท่งเทียนกลับตัวเป็นแท่งขาขึ้นมาก่อนก็ได้  ก่อนที่เทรดเดอร์จะวางคำสั่งซื้อล่วงหน้า

•   การวางคำสั่งซื้อล่วงหน้า ต้องรอให้กราฟราคาแท่งเทียนแท่งที่เทรดเดอร์มองเป้าหมายไว้นั้น ปิดแท่งก่อน

•   ให้เทรดเดอร์วางคำสั่งหยุดการสูญเสีย ไว้ที่ประมาณ 5-10 PIPS ที่ด้านล่างของกราฟราคาแท่งเทียน แท่งที่เทรดเดอร์เปิดคำสั่ง



กฎ –ในการทำกำไร หรือปิดคำสั่งซื้อ

•   ในช่วงที่กราฟราคาแท่งเทียนลดระดับต่ำลง ทั้งนี้หมายถึงกราฟวิ่งไปแตะระดับเส้นด้านบน (UPPER BAND LINE) ของ BOLLINGER แล้ว  ให้เทรดเดอร์ออกจากคำสั่งซื้อได้

•   ให้เทรดเดอร์กำหนด ระดับการทำกำไร เป็นจำนวน PIPS ให้เท่ากับช่วงระยะที่กราฟราคาแก่วงตัวขึ้นมา แตะที่ MIDDLE BAND LINE ของ BOLLINGER BAND (การแกว่งตัวของกราฟราคาแท่งเทียนก่อนหน้าที่จะเปิดคำสั่งซื้อ)



ข้อดี - ของกลยุทธ์การเข้าทำการซื้อขายด้วย BOLLINGER BANDS

   การเข้าทำการซื้อขายในกรอบระยะเวลาที่ใหญ่ขึ้น ก็จะทำให้กรอบการทำกำไรของตัวเทรดเดอร์มีขนาดใหญ่ขึ้นไปด้วย

   เทรดเดอร์ที่ชื่นชอบ การเข้าซื้อขายกราฟราคาแบบการเคลื่อนไหวของราคานั้น จะสามารถใช้การยืนยันรูปแบบกราฟแท่งเทียน เพื่อเพิ่มประสิทธิ์ภาพ ความน่าจะเป็นในการทำกำไรต่อเนื่องไปอีกได้ และถ้าหากเทรดเดอร์เข้าสู่การซื้อขายกราฟราคาที่ ต้นทางแนวโน้ม นั่นหมายความว่า เทรดเดอร์จะยิ่งเห็นผลกำไรที่ดีขึ้นไปด้วย



ข้อเสีย - ของกลยุทธ์การเข้าทำการซื้อขายด้วย BOLLINGER BANDS

   คงเหมือนกลยุทธ์การเข้าทำการซื้อขาย ทั่วๆ ไป ตรงที่ ทุกกลยุทธ์ย่อมมีจุดอ่อนหรือข้อด้อยบางอย่าง โดยทั่วไปแล้ว เครื่องบ่งชี้ BOLLINGER BAND จะมีความผันผวนอยู่บ้าง แต่ก็ มีประโยชน์อย่างมากในการค้นหาแนวรับและแนวต้าน มาตรวัดประกอบเส้นแต่ละเส้น ทั้งสามเส้นสามารถแสดงให้เทรดเดอร์เห็นถึง แนวรับ หรือ แนวต้านได้เป็นอย่างดี
#83
คุณเคยเห็นโปสเตอร์ MAGIC EYE ที่มีภาพที่ซ่อนอยู่ในภาพบ้างไหม? คุณต้องปรับตาของคุณให้ถูกต้อง และยืนห่างจากภาพ เพื่อดูภาพที่ซ่อนอยู่จึงจะเห็นได้ ในทำนองเดียวกันกับภาพเหล่านั้น ตลาดกราฟราคา มีข้อความที่ซ่อนอยู่ มีเพียงผู้ที่ได้รับการฝึกฝน ด้านทักษะของการเทรด แบบการเคลื่อนไหวของกราฟราคาเท่านั้น จึงจะสามารถมองเห็นได้อย่างถูกต้อง พวกเขาจะเห็นสิ่งที่ปรากฏขึ้น ซึ่งอาจจะไม่ได้มีความหมายอะไรมากมายกับใครนัก แต่พวกเขาจะเห็น ข้อความของกราฟราคา ในชาร์ต กำลังบอกบางสิ่ง บางอย่างกับพวกเขา

การตั้งใจฟังและการได้ยิน ข้อความของกราฟราคา

ก่อนอื่นคุณต้องรู้ว่าต้องฟังอะไร? สิ่งที่คุณกำลังฟังคือเบาะแสการเคลื่อนไหวของกราฟราคามันเป็นเรื่องราวของตลาดที่มีอยู่ทั่วทั้งชาร์ต คุณต้องรู้วิธีวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของกราฟราคาที่ผ่านมาเพื่อให้เข้าใจถึงการเคลื่อนไหวในปัจจุบันและใช้สิ่งนั้นเพื่อทำนายสิ่งที่อาจเกิดขึ้นต่อไป คุณอาจเห็นกราฟแท่งเทียนที่ยาวใหญ่แท่งเดียวโดดๆ โดยตัวมันเองไม่มีความหมายอะไรเลยแต่ถ้ามันรวมกับโครงสร้างตลาดหรือบริบทที่แวดล้อมมัน มันเป็นการบอกอะไรบางสิ่งกับคุณ

คุณควรจะฟังตลาดและได้ยินว่ามันพยายามบอกอะไรคุณ ต่อมาคุณจะต้องวิเคราะห์การเคลื่อนไหวนั้นๆ ก่อนที่จะเข้าทำการเทรดตามเทคนิคการเทรดของคุณอีกครั้งหนึ่ง

พฤติกรรมกราฟราคาล่าสุดกับสภาวะตลาด

เรื่องสำคัญเรื่องแรกที่คุณต้องเรียนรู้ที่จะฟังกราฟราคาบอกคือ ตลาดกำลังมีแนวโน้มหรือไม่ หากมีแนวโน้มก็จะเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับคุณเพราะการเทรดไปพร้อมกับแนวโน้มเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการสร้างรายได้ในตลาดแต่หากตลาดไม่มีแนวโน้มซึ่งอาจจะยังอยู่ในช่วงการรวมตัวกันอยู่สำหรับแนวโน้มขนาดใหญ่ซึ่งคุณเองก็สามารถทำการเทรดได้หรือช่วงการเทรดในระยะสั้นๆ ในกรอบขนาดเล็กที่อาจจะเปลี่ยนแปลงเร็วและไม่ดีต่อการเทรดเท่าไหร่นัก

ทั้งหมดนี่เป็นสิ่งสำคัญในการเรียนรู้ที่จะถอดรหัสของกราฟราคาแต่เนิ่นๆ เพราะมันกำหนดทิศทางที่คุณในการมองหาแนวทางในการเทรดโดยรวมที่ซึ่งคุณควรจะไป ที่ดังกล่าวในตลาดนั้นๆ ในสภาพนั้นๆ

ภาพตัวอย่างด้านล่างจะเห็นว่ากราฟราคามีการ BREAKOUT ที่ค่อนข้างแข็งแกร่งจากช่วง SIDEWAY ที่กราฟราคาเคลื่อนไหวมาก (ไม่ใช่ SIDEWAY ที่กราฟแท่งเทียนขยับน้อยๆ) ก่อนที่จะมีการย้อนกลับไปที่จุดกึ่งกลางของกรอบ SIDEWAY เมื่อสักครู่ที่ BREAKOUT มาได้ โดยเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นก่อนที่จะเป็นแนวโน้มขาขึ้น



ในภาพตัวอย่างด้านล่าง กราฟราคามีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างชัดเจนก่อนที่จะหยุดและเข้าสู่กรอบของ SIDEWAY อีกหนึ่งชุด เห็นได้ชัดว่ากราฟราคามีการเคลื่อนไหวอย่างมากและหยุดก่อนจะเลือกทางอีกครั้ง เป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้เทรดเดอร์ที่เทรดอยู่ไม่ยอมหยุดหรือคิดว่ากราฟราคาจะไปต่อ มีเทรดเดอร์จำนวนมากที่เสียเงินให้กับตลาด เพราะพวกเขาไม่รู้วิธีตีความภาษาของกราฟราคาอย่างเหมาะสมซึ่งบอกอยู่อย่างชัดเจนว่าตลาดกำลังเข้าสู่ช่วงการเทรดที่ยากขึ้น




LEVEL สำคัญและการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่สมบูรณ์แบบ กับไม่สมบูรณ์แบบ

บางทีข้อความที่สำคัญที่สุด ที่ตลาดสามารถส่งให้คุณได้ คือ กราฟราคาจะตอบสนองต่อ LEVEL สำคัญอย่างไร? บางครั้งตลาดจะเคารพ LEVEL เหล่านั้น อาจจะย้อนกลับ หรือเด้งในทันที แต่จะมีบางครั้งที่ไม่มากนัก ที่จะ BREAKOUT ไปเลย

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ในช่วงระยะเวลาต่อไป กราฟราคาอาจจะเคลื่อนไปใน LEVEL ที่คุณระบุไว้แล้ว คุณจะสามารถรอสัญญาณการเข้าเทรด ของกราฟราคาที่น่าจะเป็นไปได้สูงได้ อย่างไรก็ตาม หากกราฟราคาไม่เคารพใน LEVEL ดังกล่าว คุณอาจต้องการหลีกเลี่ยงตลาดในตอนนั้นๆ

การที่ราคาตอบสนองต่อ LEVEL สำคัญที่ชัดเจนนั้น มีความสำคัญมาก เพราะเราจะทำให้มีเทคนิคสมบูรณ์แบบ ในการเข้าเทรดในขณะนั้นได้ หรือถ้าไม่ชัดเจน เทคนิคก็จะไม่สมบูรณ์



การ BREAK หลอกที่ LEVEL สำคัญและการส่งสัญญาณที่ผิดพลาด

ธรรมชาติของเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ เมื่อดูชาร์ตราคา และเมื่อเห็นว่า ราคามันเพิ่มขึ้น จะรู้สึกว่า มันจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ถ้ามันลดลงในขณะที่ตัวเทรดเดอร์ ถือคำสั่งเทรด BUY อยู่ก็อาจเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดอย่างมาก

โดยเฉพาะกับเทรดเดอร์ ที่ยังไม่เข้าใจวิธีการฟัง และได้ยินสิ่งที่กราฟราคาเคลื่อนไหวว่า กำลังบอกอะไรอยู่ มีเบาะแสการเคลื่อนไหวของกราฟราคา ที่ทำให้เราเข้าใกล้การเคลื่อนไหว ที่กำลังจะ BREAK OUT หรือกำลังจะ PULL BACK หนึ่งในนั้นคือ การ BREAK OUT และแน่นอนว่า จะต้องมีการ BREAK OUT หลอกเช่นกัน นี่เป็นรูปแบบที่แสดงให้เห็นถึง จิตวิทยาการตลาดพื้นฐาน และเป็นเบาะแสที่ทรงพลังว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

สัญญาณหลอกของกราฟราคานั้นยอดเยี่ยม – คุณรออะไรอยู่?

สัญญาณหลอกของการเคลื่อนไหวของกราฟราคา อาจทำให้พอร์ตของคุณเจ็บปวด และแน่นอนว่า การเทรดในรอบนั้นไม่ได้ผล นั่นเป็นข้อเท็จจริงของการเทรด ที่คุณต้องรับมือด้วย การจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม แต่คุณจะต้องรู้อยู่แก่ใจว่า มันกำลังจะมาบางครั้งสัญญาณการเคลื่อนไหวของราคาที่ผิดพลาด อาจเป็นสัญญาณที่ทรงพลังมากๆ ให้ถามตัวคุณเองว่า สัญญาณผิดพลาดเหล่านี้ บอกอะไรกับคุณ ตลาดพยายามจะบอกอะไรกับคุณ กันแน่?



อย่าคิดมาก หากคุณเห็นสัญญาณการเคลื่อนไหวของกราฟราคาผิดพลาด เพราะนั่น เป็นเงื่อนงำที่แข็งแกร่ง ที่กราฟราคาอาจกำลังเคลื่อนไหว ไปในทิศทางเดียวกัน ...

บทสรุป การฟัง ข้อความของกราฟราคา ที่ซ่อนอยู่บนชาร์ตของคุณ

วิธีการเทรดโดยทั่วไป คือ การดูชาร์ตราคาทุกวัน และมองหาข้อความ หรือความหมายที่ตลาดอยากบอก เราจำเป็นต้องอยู่ที่นั่น เพื่อฟังแผนที่และตีความให้ออก ให้คุณคิดว่า มันเป็นการอ่านหนังสือทุกวัน เหมือนอ่านการเคลื่อนไหวของกราฟราคา และถอดรหัสข้อความที่ซ่อนอยู่

อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่า ให้คุณนั่งอยู่ที่นั่นตลอดทั้งวัน เพื่อจ้องมองชาร์ต คุณควรมีแผนโดยวางไว้ เพื่อตรวจสอบตลาดทุกวัน และหากไม่ได้ยินอะไรจากชาร์ตในวันนั้น ก็จะลืมมันไปจนถึงวันพรุ่งนี้ การนั่งอยู่ที่นั่น เพื่อพยายามบังคับบางสิ่งที่ไม่ได้อยู่ที่นั่น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

หากคุณฝึกฝนเรียนรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับการฟังสิ่งที่ตลาดกำลังพูด และเรียนรู้ที่จะตีความอย่างมีประสิทธิภาพ การเทรดในรอบใหญ่ๆ ของคุณ จะมีความหมายเป็นอย่างมาก
#84
คือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของความสามารถของราคาในการเคลื่อนที่ไปตามแนวโน้มนั้นๆ (Momentum) โดยบทความนี้จะนำเสนอ Set up สาย Swing trade ที่มีความเป็น Momentum ด้วย โดยใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้นในการเทรด คือ 5 วัน และ 20 วัน

เงื่อนไขการเปิด Long

1. เส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน ต้องอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน

2. จังหวะที่ราคาลงมาปิดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 5 วันเป็นวันแรก นั้นเป็นสัญญาณให้เตรียมตัวเข้าเทรด

3. ถ้ากลับมาปิดเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน ภายใน 3 วัน ให้เปิด Long ที่ "ราคาเปิด" ของแท่งถัดมา แต่เลย 3 วันให้ยกเลิกออเดอร์นั้นออกไป

4. ตั้ง Stop loss ที่ Low ของแท่งก่อนที่จะเปิด Long

5. ถ้าถูกทางให้ขยับ Trailing stop ขึ้นมา



1. เส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน เคลื่อนไหวสูงกว่า เส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน

2. ราคากลับลงไปต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน 2 วัน และกลับขึ้นมาเหนือเส้นดังกล่าว

3. เปิด Long ที่ราคา Open ของแท่งถัดมา

4. ตั้ง Stop loss ที่ Low ของแท่งก่อนที่เข้า

 

ส่วนฝั่ง Short ก็ต้องกันข้ามกับฝั่ง Long



1. เส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน เคลื่อนไหวต่ำกว่า เส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน

2. ราคากลับขึ้นไปเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน 1 วัน และกลับลงมาต่ำกว่าเส้นดังกล่าว

3. เปิด Short ที่ราคา Open ของแท่งถัดมา

4. ตั้ง Stop loss ที่ High ของแท่งก่อนที่เข้า

#85
การเทรดระหว่างวัน มีหลายสิ่ง ที่ทุกคนรู้ จากคำบอกเล่า ในฟอรั่มต่างๆ จาก E-BOOK สอนเทรด จากกูรู บางครั้ง คุณจะได้ยินว่า มันมีความเสี่ยงสูง แต่มันสามารถทำให้คุณรวยได้ อย่างรวดเร็ว ฯลฯ คำพูดประมาณนี้ สามารถดึงดูดผู้คน เข้าสู่โลกการเทรด ได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณลอง ทำการเทรดในระหว่างวัน สักระยะหนึ่ง ส่วนใหญ่จะรู้ตัวว่า มันใช้เวลามากกว่าที่คิด เครียดและยากมาก ที่จะทำเงินอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งแตกต่างจาก การรักษาเงินทุน และรออย่างอดทน สำหรับการเทรดที่มีความน่าจะเป็นสูง ที่บทความนี้ กำลังจะแนะนำ

การเทรดระหว่างวัน ในตลาด FOREX
ดูเหมือนว่า จะมีความประทับใจ ในหมู่ประชาชนทั่วไป ว่า หากคุณเป็นนักเก็งกำไร ในตลาดการเงิน ประเภทใดก็ตาม ถ้าคุณเป็นเทรดเดอร์ ที่ค้าขายภายในวัน นั่งอยู่ที่บ้าน หน้าจอมอนิเตอร์หลายจอ มีการกดแป้น และโทรออกมากมาย ตลอดทั้งวัน ดูดี ดูเท่ห์ หากมีการพูดคุยเรื่องนี้ ในระหว่างการสนทนา ระหว่างมื้อกลางวัน หรือมื้อค่ำ

ภาพลวงตา ของเทรดเดอร์ในระหว่างวัน เป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจ ของคนจำนวนมาก เพียงเพราะพวกเขา ต้องการที่จะบอกว่า พวกเขาเป็นเทรดเดอร์รายวัน การได้รับรางวัลจากตลาด การมีชีวิตหรูหรา ความเป็นจริงพวกเขา จะได้นอนหลับ เพียงแค่ 2 ชั่วโมง เพราะต้องพยายามทำการเทรด ในช่วงเปลี่ยน SESSION นี่ไม่ใช่วิธีที่ดี ต่อการเทรดระยะยาว และยังส่งผลต่อสุขภาพ รวมไปถึงเบื้องหลังชีวิต ของพวกเขาอีกมากมาย

การเทรดระหว่างวัน วิธีคิด จากบนลงล่าง

คุณต้องคำนึงถึงการเทรดforex ให้เหมือนการสร้างบ้าน ก่อนอื่นคุณต้องมีพื้นฐาน ในการสร้างบ้าน จากนั้น จึงเข้าไปในรายละเอียดปลีกย่อย และละเอียดไปจนถึง การตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ

ในฐานะเทรดเดอร์ คุณต้องเข้าใจว่า ชาร์ตราคากรอบเวลาสูงก่อน ว่ามันทำงาน และมีการเปลี่ยนแปลง ของราคาอย่างไรบ้าง ก่อนที่คุณจะพยายาม ทำการเทรดในกรอบเวลา ที่ต่ำกว่า อันที่จริงการสอน หรือการเรียนรู้ เทคนิคการเทรดต่างๆ ควรศึกษาจากบนลงล่าง เพื่อให้คุณเข้าใจว่า กรอบเวลาที่สูงกว่า กำลังทำ ส่งผลมาที่กรอบเวลาเล็ก อย่างไรบ้าง

โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ ได้รับเงินสด จากเทรดเดอร์ ที่เทรดระหว่างวัน (อาจไม่ใช่ทั้งหมด แต่เป็นส่วนใหญ่) อีกเหตุผลหนึ่ง คือ แรงจูงใจทางการเงิน สำหรับโบรกเกอร์แล้ว การทำให้เทรดเดอร์ เทรดบ่อยขึ้น ทำให้พวกเขาได้เงินมากขึ้น จากค่าสเปรด หรือค่าคอมมิชชั่น ดังนั้นโดยพื้นฐานโบรกเกอร์ FOREX จะทำให้เทรดเดอร์ เข้าทำการเทรดให้มากครั้งที่สุด อีกทั้งพวกเขายังมีสเปรดที่กว้าง กว่าคุณจะสร้างรายได้ จากการเทรดได้ คุณต้องใช้ความสามารถ ของคุณไม่น้อย

แต่โบรกเกอร์ สามารถทำเงินจาก เทรดเดอร์ระหว่างวัน ได้ค่อนข้างมาก มันเป็นเรื่องของภัย จากการเทรด จากโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ เป็นที่น่าสังเกตว่า โบรกเกอร์ทุกราย ไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่โบรกเกอร์ FOREX ก็ยังอยู่ในฐานะ ผู้มีอำนาจต่อเทรดเดอร์ปลีกมือใหม่ ที่ไม่เคยสงสัย และยังคิดว่า โบรกเกอร์จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุด แก่ลูกค้าของพวกเขาเสมอ

ทางป้องกันตัวเอง แบบพื้นฐาน คือ การรักษาเงินทุนของคุณเอง เมื่อคุณเทรดบ่อยขึ้น คุณจะให้เงิน กับนายหน้าของคุณมากขึ้น ทำให้คุณมีเงินน้อยลง ในการเทรด ดังนั้น คุณจำเป็นต้องเลือกการเทรด ที่มีสัญญาณความน่าจะเป็นสูง ก่อนการเทรด

หยุดการเป็น เทรดเดอร์ระหว่างวัน แล้วหันมาเป็นเทรดเดอร์รายวัน

โดยปรกติแล้ว เทรดเดอร์ที่เทรดในระหว่างวัน มักจะมีตำแหน่ง STOP LOSS ใกล้กับ ตำแหน่งการเข้าเทรด ของพวกเขา การเทรดในระหว่างวัน เป็นจำนวนมาก ในแต่ละสัปดาห์ จะมีโอกาสในการชนะ ที่ค่อนข้างต่ำ ไม่ใช่เฉพาะโบรกเกอร์ ที่มองเห็นการเทรดสั้นๆ ของเทรดเดอร์รายวันเท่านั้น แต่ผู้ค้าสถาบันรายใหญ่ ที่สามารถดมกลิ่น เทรดเดอร์รายย่อย ที่มีขนาดเล็กได้

ตัวอย่าง ของการเป็นเทรดเดอร์ระหว่างวัน

ภาพตัวอย่างนี้ คือ กรอบเวลา 15 นาที คุณจะเห็นสัญญาณแท่ง PIN BAR หางยาวอย่างมากมาย ซึ่งหากคุณพยายาม ทำการเทรดในกรอบเวลานี้ ก็อาจสร้างความเสียหาย กับพอร์ตการเทรดของคุณได้




ตัวอย่างถัดมา คือ กรอบเวลา รายวัน ที่นี่จะไม่มีการตั้งค่า PIN BAR ที่ล้มเหลว เหมือนในกรอบ 15 นาที ให้เน้นไปที่กรอบรายวัน แล้วคุณจะไม่เป็นเหยื่อ ของนักล่า STOP LOSS และยังประหยัดเงิน เวลารวมถึงลดความเครียดลงได้



เสียงรบกวนในตลาด การเทรดที่มีความถี่สูง ทำร้ายเทรดเดอร์รายวัน

มีการเทรดด้วยความถี่สูง จากการพบเห็นสัญญาณเท็จ และสิ่งที่เรียกว่า เสียงรบกวนของตลาด อย่างมากมาย เทรดเดอร์ค้าปลีก ที่ทำการเทรดแบบรายวัน ในตลาดในปัจจุบันนี้ มีเวลามากขึ้น ในการพยายามทำกำไร ด้วยเทคโนโลยี ที่สามารถทำการเทรด ได้ทุกที่ เพียงแค่มีอินเตอร์เนต ทำให้พวกเขาพยายาม ที่จะหาทางเข้าเทรด ด้วยความถี่สูง แต่ในสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ส่วนมากจะมีเทคโนโลยี ในการเห็นบางสิ่ง มากกว่าเทรดเดอร์รายย่อย ยิ่งทำให้เทรดเดอร์รายย่อย อ่านหรือคาดเดาตลาด ได้น้อยลง

ให้สังเกตเสียงรบกวน ในภาพตัวอย่างด้านล่างนี้ นี่เป็นชาร์ตราคา กรอบ 5 นาที และในตัวอย่าง แสดงขอบเขตเฉพาะ 15 PIP เท่านั้น เห็นความยุ่งยากไหม หากคิดที่จะลอง ทำการเทรด เห็นสัญญาณที่ล้มเหลวทั้งหมดไหม นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น การเทรดประเภทนี้ จะสับพอร์ตของคุณ เป็นชิ้นๆ อย่างรวดเร็ว



สรุป การเทรดระหว่างวัน

การเทรดระหว่างวัน มักจะตอกย้ำความคิด ที่ว่า MORE IS BETTER มันเป็นความคิด ของนักพนัน โดยทั่วไป แทนที่จะตอกย้ำความคิด ที่ว่า LESS IS MORE ของการเทรดแบบราคาสวิง ในกรอบเวลาสูงกว่า ทั้งนี้ ยังมีเรื่องราวของ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ และอัลกอริธึม ที่ตั้งโปรแกรมโดย พ่อมดทางคณิตศาสตร์อีก ที่ทำให้เรา เสียเวลาไปกับ การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมมากนัก ถ้าคุณยังฝืนเล่น ในกรอบเวลาต่ำๆ

นี่เป็นอีกเหตุผล ที่ฉันชอบการเทรดในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง หรือกรอบรายวัน เพียงแค่กรอบเวลาที่ใหญ่ขึ้น ก็สามารถขจัดเสียงรบกวนต่างๆ ได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น การเทรดในกรอบเวลาสูง จะทำงานอย่างชาญฉลาด และเพิกเฉยต่อการสวิง ไปๆ กลับๆ ของกรอบเวลาเล็กๆ ที่ซึ่งทำให้ เทรดเดอร์เครียด โดยไม่รู้ตัว เพราะไม่สามารถคาดเดา หรือวิเคราะห์แนวโน้มใดๆ ได้เลย
#86
สมัยเด็ก คุณเคยเล่นเกมส์รถแข่ง แล้วมีปุ่ม TURBO ไหม? ทันทีที่คุณกดปุ่ม TURBO รถของคุณ จะวิ่งอย่าง SUPERCHARGE นั่นทำให้ รถของคุณ สามารถวิ่งพุ่งไปข้างหน้า ได้อย่างรวดเร็ว ถึงวันนี้ คุณอยากให้ผลลัพธ์ การเทรดของคุณ เป็นเหมือน SUPERCHARGE ใช่ไหม?  แน่นอน! ฉันเชื่อว่า ทุกคนอยากได้ บทความนี้ จะแนะนำ เทคนิคการเทรดforex เบื้องต้น ที่แข็งแกร่ง และสามารถดำเนินการได้ ซึ่งคุณสามารถเริ่มใช้งานได้ทันที เพื่อปรับปรุงผลการเทรดของคุณ และเป็น การเพิ่มกำไร Forex

ปรกติเทคนิคในการเทรด ที่ฉันใช้ คือ การวัดผลตอบแทน เป็น R โดยรวม ไม่ใช่เปอร์เซ็นต์  (R = หน่วยความเสี่ยง) และนี่คือ สามเทคนิคการเทรด ที่ซึ่งเพิ่มโอกาสในการคืนค่า R ต่อการเทรด ให้มากขึ้นได้


การเพิ่มกำไร Forex เทคนิค #1 โอกาสในการเข้าเทรดครั้งที่สอง ของสัญญาณหลัก หรือของการ BREAKOUTS

บ่อยครั้ง ที่สัญญาณที่ดี จะเกิดขึ้น และด้วยเหตุผลใดก็ตาม ที่เราจะพลาดรายการเริ่มต้น ในกรณีนี้ คุณไม่ต้องตื่นตระหนก หรือไล่ล่าตลาด เพราะส่วนใหญ่ มีโอกาสสำหรับการเข้าเทรด ครั้งที่สอง คุณแค่ต้องอดทน แนวคิด คือ ตลาดมักจะย้อนกลับไปยังพื้นที่ๆ BREAKOUT หรือไปยังพื้นที่ ของสัญญาณการเทรด ที่แข็งแกร่ง อย่างน้อยหนึ่งครั้ง หลังจากการเคลื่อนไหวครั้งแรก และบ่อยครั้ง ที่มันจะย้อนกลับไป มากกว่าหนึ่งครั้ง

เราสามารถใช้เทคนิคนี้ได้ โดยเพียงแค่รอราคา การย้อนกลับ (PULLBACK) จากนั้น เมื่อราคากลับเข้ามา ในพื้นที่นั้น คุณก็แค่เข้าร่วมในการเทรด ไปในทิศทางเดิม ของการเคลื่อนไหว



ในภาพตัวอย่างด้านบน เราจะเห็นกราฟราคา BREAKOUT แนวรับแรก ไปสร้างสวิงต่ำใหม่ ที่ด้านล่างได้ ก่อนจะมีการย้อนกลับขึ้นมา ที่แนวรับแรก ที่กลายเป็นแนวต้าน ไปแล้วอีกครั้ง จังหวะที่เริ่มมีการสร้างสวิง จะสังเกตได้ว่า มีการ PULLBACK และเมื่อเห็นสัญญาณ PIN BAR ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ให้สังเกตช่วงเวลา ที่เกิดสัญญาณรวมกับ LEVEL สำคัญที่เกิดขึ้น มันเป็นโอกาสครั้งที่สอง เพื่อกลับไปในทิศทางเดิม คือ แนวโน้มขาขึ้น

การเพิ่มกำไร Forex เทคนิค #2 สัญญาณเข้าเทรดที่ 50% และจังหวะสวิง

เข้าเทรดที่ 50% ของสัญญาณการเคลื่อนไหว ของแท่งเทียน (ส่วนใหญ่จะเป็น PIN BAR) และเข้าเทรด หลังจากที่ตลาด กลับมาประมาณ 50% ของแท่ง การเทรดที่ PIN BAR 50% ปรกติทั่วไปแล้ว จะมีบ่อยครั้ง ที่ราคาจะกลับไปที่ระดับนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน PIN BAR ที่ขายาว สิ่งนี้ทำให้คุณ มีตำแหน่ง STOP LOSS ที่ต่ำเล็กน้อย และมันสามารถเพิ่มความเสี่ยง หรือเพิ่ม LOT การเทรดได้ และยังส่งผลให้ มีผลตอบแทนจากการเทรด ที่ดีขึ้นอีกด้วย



นี่คือตัวอย่าง ของการเข้าเทรดด้วย PIN BAR ในระดับการย้อนกลับ 50% ของแท่ง โปรดเข้าในก่อนว่า มันอาจใช้เวลาเร็ว หรือช้ากว่าที่เทรดเดอร์คิด กว่ามันจะถึงระดับ 50% ดังกล่าว แต่ก็ไม่สำคัญเท่าไหร่นัก เพราะสิ่งที่สำคัญ คือ ความอดทน และความเข้าใจ ในการปรับแต่ง รายการเข้าเทรดเหล่านี้ และรอให้พวกมันเกิดขึ้น

การเพิ่มกำไร Forex เทคนิค #3 เทรดแบบ PYRAMIDING – การทำ SNOW BALL จะทำกำไรในตลาดที่มีแนวโน้ม

หมายเหตุ: นี่เป็นวิธีการ สำหรับเทรดเดอร์ขั้นสูง และมีประสบการณ์ เพราะมันค่อนข้างยาก ที่จะใช้อย่างถูกต้อง และใช้ความรู้ และความเข้าใจขั้นสูง ของการเคลื่อนไหวของราคา และการเปลี่ยนแปลงของตลาด เพื่อดึงตำแหน่ง ในการเทรดออกมา

สิ่งที่ฉันกำลังพูดถึง คือ การเข้าเทรดในตลาด ที่มีแนวโน้มแข็งแกร่ง มีการวิ่งไปมา ที่มีแนวโน้ม สิ่งนี้จะช่วยให้คุณ เพิ่มศักยภาพการให้ผลตอบแทน อย่างมีนัยสำคัญ และเป็นวิธีเดียว ที่จะสร้างรายได้ อย่างรวดเร็วในตลาด



แต่แนวคิดพื้นฐาน คือ เมื่อคุณมั่นใจว่า ตลาดกำลังเคลื่อนไหวอย่างแข็งแรง และรวดเร็ว ในทิศทางเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากสัญญาณสำคัญ หรือหลังการ BREAKOUT ที่สำคัญ คุณสามารถลองใช้ระบบ PYRAMID ได้ สิ่งนี้จะทำงาน เพื่อสร้างขนาดในการเทรด ที่ใหญ่กว่า

และหากตลาดยังคงเดินหน้าไป ในทิศทางเดียว คุณสามารถสร้าง การเปลี่ยนแปลงที่ดีได้ ในเวลาเพียงเล็กน้อย  แน่นอนคุณต้องวางแผน เทคนิคการออกจากการเทรดด้วย ก่อนที่จะสูญเสียเงินทั้งหมด ถ้าตลาดไม่ทำตามที่คุณต้องการ!

คุณควรมีความเสี่ยงที่ 1R เท่านั้น แม้จะมีเทคนิค PYRAMID แล้วก็ตาม (คุณต้องย้ายตำแหน่งก่อนหน้า ไปสู่จุดคุ้มทุน หรือล็อคกำไร เมื่อการเทรดดำเนินต่อไป ตามทิศทางของคุณ)  และโดยปกติ ควรจะตั้งเป้าไว้ที่ 2R แต่หน้างานเทรดสด คุณสามารถวิเคราะห์ แล้วเปลี่ยนเป็น 5R หรือแม้แต่ 10R ได้

หมายเหตุ: สำหรับ LOT การเทรดที่ใหญ่ขึ้น มีความเสี่ยงที่จะเกิดช่องว่าง มากกว่าในช่วงสุดสัปดาห์ ตลาดอาจทำให้เกิดช่องว่างได้ นี่เป็นอีกเหตุผล ที่เทคนิคนี้ มีไว้สำหรับเทรดเดอร์ขั้นสูง เท่านั้น

สรุป เทคนิคการเพิ่มกำไร Forex

เคล็ดลับการเทรด และการปรับแต่ง จังหวะการเข้าเทรดข้างต้น ช่วยให้เพิ่มผลกำไรได้ โดยการเพิ่มความเสี่ยง เพื่อรับรางวัล ตามอัตราส่วน คุณต้องเพิ่มผู้ชนะ (การเทรดที่ชนะ) ให้สูงสุด เพราะความจริงแล้ว การเทรดที่ดีนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก หากคุณทำการเทรด อย่างถูกต้อง (มีความอดทน และมีระเบียบวินัย ฯลฯ ) คุณจะไม่เทรดบ่อยนัก ดังนั้น ให้ใส่ใจกับเคล็ดลับ ที่กล่าวถึงข้างต้น เพื่อลองและเพิ่มผู้ชนะของคุณ

วิธีการดังกล่าวข้างต้น อาจไม่ได้ใช้ในในทุกการเทรด แต่ให้คุณพยายาม มองหาพวกเขา และมองหาโอกาส ที่จะใช้พวกเขา เป็นประจำทุกวัน การเทรดเป็นเหมือนสงคราม อย่างแท้จริง มันไม่ใช่แค่คุณ เทียบกับเทรดเดอร์คนอื่น เท่านั้น แต่ยังมีคุณกับตัวคุณอีกด้วย คุณต้องกล่องอาวุธ ที่แตกต่างกัน เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการชนะ และเพิ่มผลตอบแทน ให้สูงสุด
#87
หลายๆ เทรดเดอร์เมื่อเปิดเทรดแล้วมีการกำหนด Take Profit น่าจะเจอเมื่อราคาไปทางที่ท่านเปิดเทรดแล้ว Position ที่ถืออยู่กำไร แต่ราคากลับไปไม่ถึงจุดที่กำหนดไว้และลงมาก่อน นานกว่าจะกลับไปชนทีพีที่กำหนด หรือกลับวิ่งสวนเลยก็มีบ่อย การกำหนดจุด TP แม้ว่าจะเป็นเรื่องแล้วแต่ความพอใจกำไรที่เกิดขึ้น แต่ราคาเมื่อวิ่งไปทางที่ท่านเปิดเทรดไม่ได้รู้ว่าท่านได้กำไรที่พอใจหรือเปล่า เพราะราคาหยุดเนื่องจากมีออเดอร์ตรงข้ามมาก ณ ราคานั้นๆ การที่เราเข้าใจตลาดและรู้ว่าทางที่ราคาจะวิ่งไปสามารถทำกำไรได้มากกว่า หรือหยุดตรงไหน ก็จะเปิดโอกาสให้เราทำกำไรได้มากกว่า และยังเป็นการเทรดด้วยการจัดการอารมณ์ได้ด้วย

ราคาวิ่งไปทางที่ง่าย หรือมีตัวต้านทานน้อยเสมอ






เมื่อท่านกำหนด trade setup เป็น 2 สิ่งที่ท่านต้องเห็นชัดเจนก่อนที่จะเปิดเทรดแต่ละออเดอร์ คือว่าจะกำหนด Stop loss และจะกำหนด Take profit ตรงไหน ถ้าเราเปิดเทรดทางไหนก็ต้องการให้ราคาวิ่งสวนได้ยากวิ่งไปทางที่เปิดเทรดได้ง่าย สิ่งที่ทำให้ราคาวิ่งไปทางไหนได้ยากหรือง่าย ประกอบด้วย 2 ส่วนหลักๆ คือออเดอร์ทางที่ราคาปัจจุบันวิ่งไป และออเดอร์ตรงข้ามที่อยู่แต่ละราคา ถ้าราคาตลาดที่มี market orders มากกว่า ออเดอร์ตรงข้าม (limit orders) ราคาก็จะวิ่งต่อไป การที่จะกำหนด Take profit ได้อย่างถูกต้อง ต้องคาดการณ์หรือเห็นความเป็นไปได้ว่าออเดอร์ตรงข้ามเมื่อ position ที่เราเปิดกำไร ทางที่ราคาตลาดวิ่งไปจะมีออเดอร์อื่นเข้ามาต่อเนื่อง และมากพอที่จะเกิดออเดอร์ตรงข้ามที่แต่ละราคาไปได้ง่าย นั่นหมายความว่า ถ้าออเดอร์ทางที่ตลาดวิ่งไปเยอะมากกว่า ออเดอร์ตรงข้ามมากก็จะทำให้ราคาวิ่งไปได้ง่ายและเร็ว หรือถ้าออเดอร์ทางที่ราคาวิ่งไปมากพอที่จะเกิดออเดอร์ตรงข้ามแต่ละจุด หรือเพราะมีออเดอร์ตรงข้ามแต่ละจุดน้อยลงหรือไม่มี ก็จะทำให้ราคาวิ่งผ่านไปง่ายเช่นกัน ทางที่ราคาวิ่งไปถ้ามีออเดอร์ตรงข้ามมากพอหรือเกินออเดอร์ทางที่ตลาดวิ่งไป ถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีตัวต้านทาน (resistance) มากพอหรือเปล่า ถ้าราคาเทรดทางไหนคาดหวัง TP ให้ชนเราก็ต้องมั่นใจว่าทางที่ราคาวิ่งไปจนถึง จุดกำหนด TP มีตัวต้านทานน้อยกว่าออเดอร์ที่จะเขามาทางที่เราเปิดเทรด

อะไรทำให้ทางที่ราคาจะวิ่งไปง่าย หรือเรียกว่า path of least resistance



ดูสิ่งที่ชาร์ตเปล่าบอกเราอย่างไรกับเรื่องของทางไปที่ง่ายหรือ path of resistance หลังจากที่ราคาขึ้นมาก็ได้ทำ Higher High ใหม่ และราคามีการย่อตัวลงมาทำให้เรารู้ว่า Supply เกิดที่นี่เมื่อราคากลับมา เพราะราคาดันลงไปได้ เพราะว่ามี Sell orders มากกว่า หลักการทำงานของออเดอร์บอกราคาลงมาหยุดที่ Higher Low มองมาทางช้ายจะเห็นว่าเป็นพื้นที่ราคาเบรคขึ้นไปพอดี ราคาดันกลับขึ้นไปได้อีก บอกว่ามี Buy orders กลับมาเกิน Sell orders อีกรอบ เกิดมี demand ขึ้น เทรดเดอร์ที่รออยู่ด้านบนคิดว่าราคาจะลงอีก ก็มีการเพิ่ม sell limit orders พื้นที่ Higher High เลยทำให้คาดว่าน่าจะกลายมาเป็น Resistance การเพิ่ม sell limit orders เป็นการเพิ่มตัวต้านทานที่พื้นที่ตรงนั้น พอราคาตลาดขึ้นไปถึงออเดอร์ไม่มากพอ จำนวน sell limit orders ที่อยู่ตรงนั้น เลยยืนยันว่าเป็น resistance แต่สิ่งสำคัญไม่ได้แค่ยืนยัน resistance เท่านั้น แต่ sell limit orders ที่เป็นตัวต้านทานใช้ไปด้วย เลยทำให้จำนวนลดลงไป ราคาดันลงมาด้านล่างมาเจอ Demand เทรดเดอร์ที่รอเทรดตามเทรนก็จะหาโอกาสเทรดอีกรอบ ก็จะกำหนด buy limit orders ไว้พื้นที่ตรงนั้นเลยทำให้พื้นที่ตรงนั้นมีตัวต้านทาน ออเดอร์ที่มาจากฝั่งราคาตลาดที่ลงมาไม่มากพอ ก็จะทำให้ราคาตลาดหยุดตรงนั้น ก็จะยืนยันว่าเป็น support ไปในตัวด้วย ขณะเดียวกันราคาเด้งกลับขึ้นไปหาที่เลข 2 สังเกตดูก่อนที่ราคาจะไปถึงเลข 2 ราคาได้ทำ Higher Low ขึ้นไปอีกด้วย หรือแม้กระทั่งไปถึงครั้งที่ 3 ราคาเด้งลงมาก็ทำ Higher Low ขึ้นมาให้อีก ยิ่งถึงรอบที่ 4 จะเห็นว่า Higher Low ขึ้นมาเรื่อยๆ มองกลับไปที่เรื่องออเดอร์ สิ่งที่เป็นตัวต้านทานคือ sell limit orders ยังพอที่จะเป็น resistance ได้ แต่พอมองที่ราคาเด้งออกไม่มี sell market orders มากพอที่จะดันราคาลงไปต่อ (sell limit orders เป็นการเปิดเทรด sell ณ ราคาที่กำหนด ส่วน sell market orders เป็นการเปิดเทรดที่ราคาตลาด ตัวที่ทำให้ราคาหยุดคือ limit order ตัวที่ทำให้ราคาวิ่งคือ market orders) เพราะราคาสามารถทำ Higher Low ขึ้นมาได้เรื่อยๆ ดังนั้น ส่วนแรกที่ทำให้ตัวต้านทานลดลงไปคือ การที่ราคากลับมาพื้นที่นั้นๆ หรือ retracement ก่อนที่ราคาจะไปทางนั้นจริงๆ พอเมื่อราคาวิ่งผ่าน ถ้าตอนที่ออเดอร์ตรงข้ามไม่พอก็จะวิ่งผ่านได้ง่าย เลยเกิด path of least resistance เพราะจำนวน limit orders มีการใช้ไป

มาดูส่วนที่ 2 พอราคาเบรคอะไรเกิดขึ้น มองช่วงที่ราคาวิ่งอยู่ในกรอบ ถือว่าเป็นช่วงสะสมออเดอร์หรือ consolidation ต่างฝ่ายทั้ง sellers และ buyers ก็ได้เข้าตลาด สิ่งที่เกิดขึ้นคือ positions ที่อยู่ในตลาดทั้ง Long และ Short เทรดเดอร์ที่เปิดเทรด positions พวกนี้ก็จะกำหนด stop loss เข้าประกอบ เช่นถ้าเป็นเทรด Resistance ก็จะกำหนดไว้ด้านบน Resistance หรือถ้าเป็นเทรด Support ก็จะกำหนดไว้ด้านล่าง Support ไม่ห่างมาก หลักการออเดอร์บอกว่า การออกจากตลาดก็เป็น market order ประเภทหนึ่ง และตรงข้ามกับ position ที่ถืออยู่ในตลาด เมื่อราคาเบรคเลข 4 ขึ้นไป ราคาจึงไม่ลงมาอีกเลย ดันขึ้นเป็นหลัก เพราะออเดอร์ที่ทำให้เกิดความไม่สมดุลย์ มาจากการออกที่ออกจากตลาดด้วย และยังมี breakout traders ที่เปิดเทรดตามทางนี้ด้วย

การกำหนด TP ด้วย path of least resistance



จากที่อธิบายมา ราคาก็จะวิ่งไปทางที่ไปง่ายเสมอ หรือมีตัวต้านทานน้อย (least resistance) เลยทำให้ออเดอร์ทาง market price วิ่งไปทางนั้นๆ ด้วยง่ายเพราะโอกาสที่จะเกิดความไม่สมดุลย์ก็จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าราคาไปถึงพื้นที่ที่มีตัวต้านทานมาก เราก็จะกำหนด TP ด้วยการเข้าใจหลักการทำงานออเดอร์แบบนี้ ก็จะกำหนดไว้ก่อนที่พื้นที่มีตัวต้านทานมาก  ข้อดีคือ ความเป็นไปได้สูงที่จะชนทีพี ราคาวิ่งไปทางที่มีตัวต้านทานน้อยเสมอได้ง่าย
#88
รูปแบบกราฟราคาที่ดีที่สุด สำหรับการเทรด เช่น รูปแบบ BULL FLAGS (ธงวัว) นั้นเรียบง่าย ให้เทรดเดอร์ลองศึกษาดู แต่ยังมีอีกรูปแบบ ที่สามารถทำการเทรดได้ดีเช่นกัน รูปแบบ ANTI PATTERN (รูปแบบต่อต้าน)

รูปแบบการต่อต้านนั้น คำนึงถึงทั้งการย้อนกลับ และปริมาณการเคลื่อนไหว ที่เป็นแรงให้มีการตั้งค่า ของการย้อนกลับ สำหรับการเทรดแบบ PULL BACK เราต้องการให้ราคา ในตลาดกลับมาขี้เกียจ และไม่เคลื่อนไหว ในทิศทางตรงกันข้าม (คล้ายการหมดแรง)

ทำไมถึงเรียกว่า รูปแบบ ANTI ?

เราใช้คำว่า ต่อต้าน ในการเกิดรูปแบบว่า เรากำลังทำการเทรดตามทิศทางของโมเมนตัมในระยะยาวโดยการใช้โมเมนตัมระยะสั้นเพื่อหาโอกาส

แต่เรากำลังดูรูปแบบพิเศษที่แตกต่างจากการ PULL BACK ในรูปแบบความต่อเนื่อง การมองหาหรือการเทรดในรูปแบบต่อต้านอาจทำให้คุณอยู่ในช่วงต้นของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม สำหรับวิธีเทรดด้วยการเลือกทั้งด้านล่างหรือด้านบนของช่วงกราฟราคา ไม่ใช่สิ่งที่เราควรตั้งเป้าหมาย แต่ก็มีความเป็นไปได้เสมอ ในรูปแบบการต่อต้านได้สร้างแนวทางการมองหาเป้าหมายการทำกำไรและจุดวาง STOP LOSS  เพื่อช่วยคุณจัดทำแผนการเทรดได้

รูปแบบ ANTI คือแบบไหน?

วิธีดั้งเดิมในการค้นหาการตั้งค่าการเทรดด้วยรูปแบบต่อต้านโดยใช้อินดิเคเตอร์ STOCHASTIC และเราจะตั้งค่าใหม่เป็น:

- %K PERIOD ตั้งไว้ที่ 7
- %D PERIOD ตั้งไว้ที่ 10
- SLOWING ตั้งไว้ที่  4




รูปแบบการต่อต้านนั้นง่ายต่อการมองเห็นเนื่องจากเรามีเส้นสีส้ม (เส้นช้า) กับการลดลงไปที่ด้านล่าง เส้นสีฟ้า (เส้นเร็ว) ข้ามไปยังด้านล่างและอยู่ใต้เส้นสีส้มและยกตัวสูงขึ้นไปหาเส้นสีส้มอีกครั้ง นี่คือโอกาสในการเทรดในรูปแบบที่เรากำลังมองหา

เราต้องมีอินดิเคเตอร์ที่สามารถบอกถึงความแข็งแกร่งของการย้อนกลับของกราฟราคาได้ ก่อนที่เราจะเข้าทำการเทรด

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ลองบอกเหตุผลมา

ไม่มีสิ่งใดที่จะบอกเรื่องการย้อนกลับได้มากกว่าตลาดที่พบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น อาจมีหลายวิธีในการบอกเรื่องการย้อนกลับรวมถึงการ OVER BOUGHT และ OVER SOLD หรือการ BREAK OUT หลอกและเรายังสามารถสร้างช่อง CHANNEL ในกราฟราคาเพื่อบอกเรื่องการกลับตัวได้เช่นกัน

โดยปรกติตลาดจะเคลื่อนไหวในจังหวะที่มีความผันผวนเป็นส่วนใหญ่ อย่างคงที่และไม่มีอะไรใหญ่เกินไปปรากฏขึ้น นั่นอาจทำให้โอกาสในการเทรดแบบ ANTI ไม่ปรากฏขึ้น ดังนั้นเมื่อเราเห็นสิ่งใหม่เข้ามาในตลาดเราควรสังเกต เราสามารถเทรดรูปแบบต่อต้านได้จากอินดิเคเตอร์ STOCHASTIC ได้ซึ่งอาจทำให้คุณมีคำสั่งเทรดในตำแหน่งที่ดีได้ ลองเพิ่มเติมเรื่องของโครงสร้าง PRICE ACTION เข้าไปจะยิ่งทำให้คุณเห็นชัดมากขึ้น



จากในภาพตัวอย่าง คุณต้องมีเหตุผลที่จะสงสัยว่าเราอาจมองหาการย้อนกลับของกราฟราคาได้ไหม การขยับขึ้นของกราฟราคาเป็นระยะเวลาหนึ่งโดยไม่มีการย้อนกลับเลย และเมื่อกราฟราคาอยู่ในจุดสูงสุดให้ครั้งแรกและมีการย้อนกลับมา เราจะเห็นอินดิเคเตอร์แสดงการต่อต้าน แต่ไม่มีทริกเกอร์ให้เราเปิดคำสั่งเทรด SELL กราฟราคาย้อนกลับไปชนแนวต้านอีกครั้งทำให้สร้างกรอบการเทรดขึ้นมา

นอกจากนี้ยังสังเกต BEARISH DIVERGENCE ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความขี้เกียจในการย้อนกลับของกราฟราคา กราฟราคา BREAK OUT เส้นเทรนด์ไลน์และวิ่งลงในแนวโน้มขาลง

การทำกำไรของรูปแบบ ANTI

การเทรดรูปแบบต่อต้านอยู่ในการตั้งค่าของการเทรดแบบ PULL BACK เราจึงใช้วิธีการเดียวกันในการมองหาเป้าหมาย เราอาจใช้การสวิงของกราฟราคาได้



จากในภาพตัวอย่างเราใช้การสวิงของกราฟราคาในตำแหน่งที่ 1-2 = 3-4 เพื่อเอามาเป็นเป้าหมายในการทำกำไรได้ ในส่วนของ STOP LOSS เราจะให้หางของตำแหน่ง 3 ซึ่งถ้ามองไปทางด้านซ้ายจะเห็นว่ามันเป็นแนวต้านอีกชั้นหนึ่งหรือคุณอาจจะใช้อินดิเคเตอร์ ATR แทนก็ได้ขึ้นกับความถนัดของแต่ละบุคคล

ทริกเกอร์ในการเข้าเทรดของคุณ

คุณสามารถกระโดดเข้าสู่การเทรดได้เมื่อการเคลื่อนไหวของกราฟราคาดูเหมือนจะถ่วงเวลาระหว่างการย้อนกลับ มีหลายวิธีที่คุณสามารถใช้เป็นทริกเกอร์การเทรดได้ รวมถึงการ BREAK OUT ของเส้นเทรน์ไลน์ หรือไปดูโครงสร้างในกรอบเวลาที่ต่ำกว่า

ตัวอย่างต่อมาในกรอบรายวันมีการลดลงของราคาไปสู่แนวรับใหญ่ภายหลังจากที่กราฟราคาทำการ BREAK OUT จากกรอบที่กำหนดไว้ได้ ภาพตัวอย่างนี้เป็นกราฟกรอบสี่ชั่วโมง ที่ซึ่งเราจะเห็นว่ามีกราฟแท่งเทียนสีเขียวที่เป็นโมเมนตัมขนาดใหญ่ขึ้นเป็นจำนวนหลายแท่งก่อนหน้านี้ ถึงตอนนี้เราอาจมีแนวทางในเบื้องต้นอยู่บ้างแล้ว มาดูจุดในการเข้าเทรดกันต่อ



1.กราฟราคา BREAK OUT เส้นแนวรับของแท่งเทียนลงไปได้และมีการย้อนกลับอย่างรวดเร็ว
2.กราฟราคากำลังก่อรูปแบบที่อยู่ในช่วงใต้เส้นเทรนด์ไลน์ที่ต่ำลงมากับเส้นแนวรับของแท่งเทียน
3.รอให้กราฟราคา BREAK OUT กรอบและเข้าเทรด BUY ในระยะใกล้

โดยทั่วไปแล้ว STOP LOSS จะอยู่ที่ต่ำสุดของ PULLBACK โดยมีการเผื่อของ SPREAD ไว้ด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกออกจากการเทรดเร็วเกินไป

สรุป การเทรดในรูปแบบ ANTI

การเทรดในรูปแบบต่อต้าน สามารถนำไปสู่การย้อนกลับของแนวโน้มได้ เราต้องการเห็นตลาด ที่มีเหตุผลที่จะย้อนกลับ หรือดำเนินการต่อเนื่อง เราสามารถใช้วิธีการมากมาย ในการมองหา แต่การมองหาการเคลื่อนไหว ที่แข็งแกร่งของราคาก่อนหน้า จะเป็นวิธีการที่มองได้ง่าย

การเพิ่มช่อง CHANNEL ยังช่วยให้คุณเห็นจังหวะการเคลื่อนไหวของตลาด มองหาการเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับทิศทางก่อนหน้าและจากนั้นสังเกตหาการย้อนกลับที่อ่อนแอ (การย้อนกลับนี้อาจต้องดูในกรอบเวลาที่สูงกว่า) บางครั้งกราฟแท่งเทียนสีแดงในกรอบรายวัน อาจมีการย้อนกลับเป็นแท่งสีเขียวในกรอบเวลาที่ต่ำกว่าได้

ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณใช้ความเสี่ยงที่เหมาะสมกับการเทรด มีตำแหน่งของ STOP LOSS ที่เหมาะสมและไม่โลภ
#89
การเทรดชาร์ตเปล่า สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งเป็นเรื่องของการอ่าน price reaction ว่าเป็นอย่างไร ณ จุดที่ท่านต้องการจะเทรดเช่น แนวรับ-แนวต้าน  ไม่ใช่แค่มองรูปแบบ price actions ต่างๆ หรือรูปแบบ chart patterns หรือถ้ามองขึ้นไปถึงภาพรวมที่ใหญ่ขึ้นเป็น market structure ที่เกิดขึ้นแต่ละช่วง การอ่าน price reaction ออกจะทำให้ตีความตลาดเพื่อช่วยหา trade setup ที่มีความเป็นไปได้สูงได้ง่ายขึ้น

Price Reaction คืออะไร



ราคาเปิดเผยตลาดสถานะตลาดแต่ละช่วงว่าเป็นอย่างไร ถ้าเราศึกษาการอ่าน Price Reaction เป็นการโต้ตอบของราคา ส่วนมากการมองการโต้ตอบก็จะมองจากพื้นที่ที่คาดหวังการโต้ตอบจะเกิดขึ้น คือแนวรับ-แนวต้านหรือ key levels เป็นต้น เพราะเทรดเดอร์สนใจพื้นที่ตรงนั้นเลยคาดหวังการโต้ตอบเขากับ trade seutp  ในที่นี้จะกล่าวถึง price reaction จากมุมมองเรื่องของออเดอร์เป็นหลัก สิ่งที่มองหลักๆ คือเรื่องของ rejection และ break เพราะเน้นอธิบายพื้นที่คาดหวังการเทรด การเกิด rejection บอกถึงว่าราคาไปเจอ พื้นที่ๆ มีความต้านทาน (resistance) จาก limit orders ที่เพิ่มเข้าไปพื้นที่ตรงนั้นอาจมาจากการเพิ่มเข้าไปเพื่อเข้าตลาด และการปิดทำกำไรของฝ่ายตรงข้ามก็ได้  นอกจากเรื่องของลักษณะอาการ rejection ให้ดูเรื่องแท่งเทียนประกอบด้วย แท่งเทียนไม่ควรเกินขึ้นไปมาก และไม่ควรปิดบนพื้นที่ได้ และแท่งเทียนอยู่พื้นที่ตรงนั้นนานหรือเปล่า อย่างกรณีในตัวอย่างที่ยกประกอบ และสิ่งต่อมาที่ต้องดูคือผลของ rejection เป็นอย่างไร เพราะเมื่อเข้าใจออเดอร์แล้วจะเข้าใจว่าทำไม อย่างแรก เมื่อราคาวิ่งขึ้นหรือลงเพราะ market orders เกิน limit orders ฝั่งตรงข้ามที่ราคานั้นๆ แต่ถ้า Limit orders มากพอและเกิน ราคาก็จะไปต่อไม่ได้ แต่นั่นยังไม่พอ เราต้องการเห็น market orders เกิดทางที่ทำให้ราคาหยุดด้วย เพราะแสดงว่าการที่ราคาหยุดนั่นเป็นผลจากการมีส่วนรวมของขาใหญ่ เพราะ market orders ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าราคาเด้งออกมาหรือ rejection จากพื้นที่

ดูที่เลข 1 การที่เกิด rejection ก่อน และผลของการเด้งลงไปทำให้เทรดเดอร์คาดว่าจะเกิด resisance ตรงนี้ เทรดเดอร์ต่างๆ เห็น ขาใหญ่เห็น และเทรดเดอร์ที่ถือ positions ก็เห็น ดูก่อนราคาจะขึ้นมาถึงที่เลข 1 ราคาพัฒนาขึ้นมาอย่างไร เกิดการ rejection ด้านล่างด้วย หลักการเดียวกัน ก็คาดหวังว่าจะเป็น support หรือเทรดเดอร์ที่เทรดแนว demand/supply ก็มองว่าเป็นพื้นที่ demand ที่เพิ่งเกิดขึ้น ดูที่เลข 1 ที่ราคากลับมา การเกิด rejection เพราะเทรดเดอร์หวังว่าราคาจะทำแบบก่อน เลยมองว่าเป็นพื้นที่ resistance เทรดเดอร์ที่รอเข้าก็จะได้พื้นที่เปิดเทรดเข้าตลาด และเทรดเดอร์ที่เปิดเทรด ด้านล่างด้วยการ buy ขึ้นมา ก็จะปิดเทรดตรงพื้นที่นั้นด้วย ออเดอร์ทำงานแบบนี้ ต้องการเข้าตลาดที่ resistance เป็น sell limit orders เข้าไปหรืออาจเป็นการเปิด sell market orders เองก็ได้ และเทรดเดอร์ที่เปิด long ด้านล่างปิดกำไรตรงนั้นเป็นการเปิด sell market orders ด้วย แล้วต้องมาดูว่า rejection สะท้อนว่าออเดอร์ sell market orders มากพอที่จะดันราคาลงมาได้ขนาดไหน และดูตัวต้านทานตรงข้ามด้วย ราคาเด้งลงมาได้นิดหน่อย ไม่สามารถเบรคพื้นที่ ราคาเบรคขึ้นไปได้ แล้วเด้งกลับไปครั้งที่ 2 ราคาเด้งลงมา ถึงต้นตอที่ support ที่ราคาดันกลับไปต้นตอ resistance ได้  และราคามา 2 ครั้ง เช่นกัน ก็ไม่สามารถเบรคลงไปได้ สิ่งที่เห็นทั้ง 2 ข้าง คือราคาเด้งน้อยๆ เลยทำให้ราคาวิ่งอยู่ในกรอบ กลายเป็นช่วง consolidation



ดูหลังจากที่เลข 3 เด้งราคา 2 ครั้งที่ตามมา ถ้ามองจากการเด้งราคา เราอาจมองเรื่องผลจากการทำงานของออเดอร์ได้ บอกได้ถึง trading pressure ที่เกิดขึ้นจากฝ่าย sellers และ buyers เป็นอย่างไร เพราะราคาบอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาด ราคาสามารถทำ Higher low ได้เรื่อยๆ บอกว่า buyers เริ่มเข้ามาเยอะ มากขึ้นและ sellers น้อยลง ส่วนเรื่องของออเดอร์ก็บอกว่า sell market orders เริ่มน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

สุดท้ายราคาเบรคขึ้น สิ่งที่เรียนรู้จากตรงนี้คือ เมื่อเห็น key levels แล้วดูว่าราคากลับมาอย่างไร  และโต้ตอบอย่างไรและผลการโต้ตอบเป็นอย่างไร พอราคาเบรค ให้ดูลักษณะการเบรคและราคาปิดประกอบ พร้อมทั้งการเทสหรือการทดสอบ อย่างในตัวอย่างประกอบจะเห็นชัดเจนว่าราคาเปลี่ยนข้าง rejection จากที่เคยเห็นแท่งเทียน rejection จากด้านบนเพราะก่อนเป็น Resistance มาเป็น rejection จากด้านล่างเพราะกลายมาเป็น Support พอเบรคแล้วก็นำหลักการ rejection มาประยุกต์เปลี่ยนข้างไป ดูผลว่าเป็นอย่างไร เพราะบอกถึงความไม่สมดุลย์ บอกถึงคุณภาพของเทรนที่เกิดขึ้น

Price reaction กับการส่งต่อ momentum



ราคาไม่ได้เปลี่ยนเทรนง่าย ถ้าจะเปลี่ยนก็จะเปิดเผยให้เห็นผ่าน market structure การเทรดการส่งต่อเทรน แล้วใช้เรื่องของ price reactin ช่วยได้มาก เพราะขาใหญ่เมื่อเข้าเทรดทางใดทางหนึ่ง จะไม่เปลี่ยนข้างทันทีจนกว่าพวกเขาได้กำไรตามที่ต้องการ แต่การส่งต่อเป็นเรื่องจำเป็นเพราะเปิดโอกาสให้พวกเขาสะสมออเดอร์เพิ่มได้ กรอบสีแดงคือตัวอย่าง การใช้ price reaction ช่วยการเทรดการส่งต่อ momentum แบบง่ายๆ ดูสิ่งที่ราคาบอก ด้วยหลักการ rejection และ break ที่อธิบายมา ราคา rejection จากด้านบนลงมาแทบไม่มีผล และยังเห็นราคาได้สร้าง support ใหม่ขึ้นมาด้วย และที่สำคัญในกรอบ ราคายังได้ทำ Higher Highs ขึ้นไปได้เรื่อยๆ ด้วย แต่ไม่สามารถ เบรค Low ลงมาได้ ลักษณะแบบนี้ ก็จะเกิดขึ้นประจำต่อเนื่องจาก กรอบด้านล่างเพราะขาใหญ่ต้องการดันราคาไปต่อและเข้าเทรดเพิ่มด้วย ตรงที่ราคา rejection จาก support ที่ 2 และ 3 ก็จะเปิดโอกาสการเทรดตามขาใหญ่แบบง่ายๆ ขึ้นมาทันที



#90


การเทรด ไม่ใช่อาชีพที่ง่ายที่สุดในโลก ที่จะประสบความสำเร็จ อย่างที่คุณอาจจะรู้ตอนนี้ เราจำเป็นต้องทำทุกอย่าง เท่าที่ทำได้ เพื่อให้มีโอกาส ในการประสบความสำเร็จ มากเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ ยังคงทำสิ่งที่ตรงกันข้าม พวกเขาเปลี่ยนโอกาส ที่จะประสบความสำเร็จ ของพวกเขาส่วนใหญ่ โดยไม่รู้ตัว ด้วย day trade

วิธีที่สำคัญที่สุด และง่ายที่สุด ในการเอียงสเกล แห่งความสำเร็จ ไปเป็นของคุณ คือ การไม่ดูชาร์ตราคาระหว่างวัน ครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันได้เห็นเทรดเดอร์ล้มเหลว เพราะพวกเขามีสมาธิ มากเกินไป ในกรอบเวลาสั้นๆ มีความเข้าใจผิด หลายประการ เกี่ยวกับชาร์ตราคาระหว่างวัน ที่ทำให้เทรดเดอร์ เชื่อว่า การดูของพวกเขานั้น มีข้อดีบางประการ ในความเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับเทรดเดอร์ผู้เริ่มต้น หรือมือสมัครเล่น การดูชาร์ตราคาระหว่างวัน ไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากขัดขวางความก้าวหน้า ของพวกเขา และลดโอกาสในการรอดชีวิต

ปรกติแล้ว ฉันจะวิเคราะห์ตลาด เมื่อสิ้นสุดวัน ที่ทำการเทรดforex และจะอิงกับข้อมูล ณ สิ้นวันนั้นๆ  จากนั้น จะตั้งค่าการเทรด และลืมความคิด ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเทรดส่วนใหญ่ ทั้งหมดไป ปล่อยให้ตลาดทำสิ่งนั้น เพราะฉันรู้ว่า ฉันไม่สามารถควบคุมราคา ในตลาดได้ สิ่งนี้ช่วยให้ฉันหลีกเลี่ยง อารมณ์ส่วนใหญ่ ที่เกิดขึ้นจากการดูการเคลื่อนไหว ของราคาในระหว่างวัน สิ่งสำคัญคือ ต้องรู้ตำแหน่งในการเข้าเทรด และขนาด LOT ของการเทรดให้ดี

day trade อย่าทรมานตัวเอง ด้วยการดูการเทรด ของคุณ

คุณเคยเข้าสู่การเทรด และดูมันติ๊ก – ติ๊กไปอีกสองสามวัน ข้างหน้าไหม? คุณทนทุกข์ทรมานกับทุกๆ 20 จุดสวิง กับจุดเข้าเทรด ของคุณไหม? หากคุณกลับไป ที่ชาร์ตราคา และดูสถานการณ์ย้อนหลัง คุณจะเห็นว่า ตลาดย้ายจากจุด X ถึงจุด Y แม้จะมีการเคลื่อนไหว และสลับไปมาระหว่างวัน ไม่มีเหตุผล ที่จะนั่งที่นั่น ดูการสลับไปมาทุกครั้ง ที่คุณมีออเดอร์ในมือ ทั้งหมดนี้ จะส่งผลให้ เกิดความปวดร้าวใจมากมาย สำหรับคุณ ซึ่งสามารถนำคุณไปสู่ การทำผิดพลาด ทางการเทรดที่สำคัญได้

อย่าปล่อยให้ชาร์ตราคา ล่อลวงคุณ ให้ทำการเทรดได้

การดูหน้าจอระหว่างวัน มากเกินไป อาจทำให้ตัวเลข ในความคิดของคุณ ผิดพลาดได้ เราต้องทำทุกอย่าง ที่ทำได้ เพื่อไม่ให้เกิดความคิดผิดๆ ในขณะที่เราวิเคราะห์ และทำการเทรด เพราะเมื่อเราเข้าสู่ความคิดที่ผิด มันอาจเป็นไปไม่ได้ ที่จะแยกมันออกจากกัน

ในขณะที่เรา นั่งจ้องมอง หน้าชาร์ตราคาของเรา ราคาขยับขึ้น ขยับลง เราจะคิดหาเหตุผล เพื่อย้ายคำสั่งเทรด จากที่ๆ เราต้องการวางไว้ในตอนแรก เราจะย้ายจุด STOP LOSS หรือ TAKE PROFIT เราจะเข้าสู่การเทรด ด้วยอารมณ์ หรือออกจากการเทรด ด้วยอารมณ์ ความรู้สึกทั้งหมด

โดยการดูชาร์ตราคา มากเกินไป อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้จบลง เมื่อคุณได้รับความคิดเหล่านี้ แต่มันจะทำให้การเทรด ในแต่ละครั้งนั้น ยากขึ้นๆ เพราะคุณใช้ชีวิต อยู่ในวงจรย้อนกลับ นี่คือที่ๆ คุณวิเคราะห์ และคิดเกี่ยวกับตลาดรวม ไปถึงการเทรดมากเกินไป มันทำให้คุณเสียนิสัย ที่เหมาะสมในการเทรด และยังทำให้คุณ คาดเดาการเทรดทุกๆ ครั้งอีกด้วย

เปรียบเทียบผลการเทรด ตอนสิ้นวัน กับระหว่างวัน day trader

การเทรด ณ สิ้นวัน เหนือกว่าการเทรดระหว่างวัน ด้วยเหตุผลหลายประการ บางทีเหตุผลที่สำคัญที่สุด คือ กรอบเวลากราฟรายวัน แสดงมุมมองที่สำคัญ ของตลาดมากกว่า การเคลื่อนไหวไปมา ระหว่างวัน ดังนั้น ระดับหรือสัญญาณ การเคลื่อนไหวของราคา ที่คุณเห็น ณ สิ้นวัน ของกราฟรายวัน จะแม่นยำมากกว่า ระดับหรือสัญญาณใดๆ ในกรอบเวลาที่ต่ำกว่า

เมื่อคุณดูข้อมูลน้อยลง ในแต่ละวัน คุณจะมีโอกาสที่ดีกว่า ที่จะไม่ตกเป็นเหยื่อ ของการติดการเทรด ที่มีมากเกินไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ คุณระเบิดพอร์ตทั้งหมดของคุณ เร็วกว่าที่คุณคาดคิด

ตัวอย่างชาร์ตราคาทั้งสองด้านล่าง แสดงความแตกต่า งระหว่างการวิเคราะห์ชาร์ตรายวัน กับชาร์ตระหว่างวัน หนึ่งแท่งเทียนกรอบรายวัน สะท้อนข้อมูลตลอด 24 ชั่วโมง กับแท่งเทียนกรอบระหว่างวัน กว่าร้อยแท่ง ถามตัวเองว่า ชาร์ตราคาสะอาด จะเครียดมากกว่า หรือน้อยกว่า



จากนั้นดูชาร์ตราคากรอบ 5 นาที ในช่วงเวลาเดียวกัน กับ PIN BAR ของกรอบรายวันด้านบน ก่อนอื่นคุณไม่สามารถเห็นสัญญาณ PIN BAR ที่ทำให้ราคาลดลงอย่างมาก ในวันต่อมา นอกจากนี้ ยังมีแท่งเทียนจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้ความคิดของคุณสับสน ทำให้คุณพลาดการเทรด ในกรอบรายวัน ซึ่งเป็นผลมาจากการคิด และวิเคราะห์




ตัวอย่างถัดมา คือ กราฟกรอบรายวัน คุณสามารถเห็นสัญญาณ BULLISH PIN BAR ที่ชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับโมเมนตัม ของแนวโน้มขาขึ้น ก่อนหน้านี้ โอกาสในการเทรด BUY ที่ชัดเจน สำหรับเทรดเดอร์ที่สิ้นสุดวัน ไม่มีความเครียดไม่ต้องกังวล



ถัดไปดูที่ชาร์ตกรอบเวลา 4 ชั่วโมง ในช่วงเวลาเดียว กับชาร์ตรายวันข้างต้น ตอนนี้ชาร์ต  4 ชั่วโมง สามารถทำการเทรดได้ หากคุณรู้วิธีการเทรด ในระหว่างวันอย่างถูกต้อง ในบทความนี้ จะแสดงให้เห็นว่า แม้กรอบเวลาที่ดีเช่น 4 ชั่วโมง ก็ไม่ได้ชัดเจนและง่าย ต่อการเทรดเหมือนการเทรดกรอบรายวัน ณ สิ้นวัน



สรุป day trader

บทความนี้ ได้อธิบายว่า ทำไมการดูชาร์ตระหว่างวัน จะเป็นอันตรายต่อ ผลการเทรดของคุณ และเป็นอันตรายต่อ ความสามารถในการตัดสินใจ ที่แม่นยำ บนพื้นฐานที่สอดคล้องกัน หากคุณต้องการเปลี่ยน จากการดูหน้าจอระหว่างวัน ไปสู่การเทรด ในช่วงเวลาสิ้นสุดวัน รวมไปถึง การเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ และมีชีวิตที่เครียดน้อยลง คุณต้องเริ่มเรียนรู้ ที่จะทำการเทรด ในตอนท้ายของวัน

การเทรดคือ การใช้เวลา ในการวิเคราะห์ตลาด และดูตลาดน้อยที่สุด เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงความเครียด และอารมณ์ และท้ายที่สุด สนุกกับชีวิต และผลลัพธ์ของมัน

#91
เรื่องราวในบทความนี้ จะทำให้คุณประสบความสำเร็จ ในการเทรดอย่างรวดเร็ว หากคุณทำ การทดสอบการเทรด ตามที่แนะนำ มันคือระบบการเทรดที่น่าสนใจ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างตัวตน ในการเป็นเทรดเดอร์ที่ดีในอนาคต นี่คือ การทดลองที่สามารถเปลี่ยนชีวิตคุณได้ ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาไม่เกินครึ่งปี ขอเพียงคุณเปิดพื้นที่ในใจของคุณ สำหรับการทดสอบอย่างจริงจัง

สิ่งที่ให้คุณทำการทดสอบ คือ การมองหาสัญญาณการเทรด ตลอดทั้งเดือน โดยจะมีกฎและเงื่อนไข ของการทดสอบอยู่ด้านล่าง แต่คุณจะต้องมองหา PIN BAR, INSIDE BAR หรือการตั้งค่าหลอก จากรูปแบบแท่งเทียนใดๆ ฉันอยากให้คิด วิเคราะห์ชาร์ตราคาไปด้วย เพื่อเพิ่มประโยชน์ในคราวเดียวกัน

เป้าหมายหลักของ การทดสอบการเทรด

1. ลบความกลัวที่จะเข้าสู่การเทรด ดึงตัวกระตุ้นการเทรดและไว้วางใจการตัดสินใจของคุณเอง ให้คุณรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ทำการเทรดมากกว่าการมองชาร์ตราคาอย่างลังเลใจ
2. เพื่อให้เห็นการบรรลุเป้าหมายการในการได้รางวัลต่อความเสี่ยงอย่างแท้จริงของผู้ชนะและผู้แพ้
3. สามารถยับยั้งการ OVER TRADE เพื่อเปลี่ยนคุณจากมือปืนกลให้กลายเป็น SNIPER

กฎและเงื่อนไขของ การทดสอบการเทรด

กฎและเงื่อนไขของการทดลองนี้ค่อนข้างง่าย อย่างไรก็ตามคุณต้องติดตามพวกเขาอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตั้งใจไว้ให้ได้ กฎและเงื่อนไขมีดังต่อไปนี้

- เทรด 1 MICRO LOT หรือเล็กกว่าหรือพอร์ตเดโม่ แต่จริงๆ แล้วอยากให้คุณเทรดบนแพลตฟอร์มของโบรกเกอร์จริงจะดีกว่า เพื่อเก็บบันทึกและฝึกนิสัยการเทรดของคุณไปด้วย
- ดูชาร์ตราคา 10 คู่เงินหรือมากกว่านั้นและมองหาสัญญาณการเทรดให้มากที่สุดเท่าที่คุณเห็นรวมถึง PIN BAR ที่คุณคาดว่าจะหลอกด้วย ให้ทำในกรอบเวลา 4 ชั่วโมงและยกเว้นกรอบเวลาที่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง
- ใช้อัตราส่วนความเสี่ยง โดยมีการวาง STOP LOSS ขั้นต่ำประมาณ 50 หรือ 100 PIP
- ให้ทำการตั้งค่าการเทรดและลืมมันไป ทุกรายการที่ทำการทดสอบ หมายความว่าคุณจะถูก STOP LOSS หรือ TAKE PROFIT ด้วยการตั้งค่าไม่ใช่จากตัวคุณเอง
- เป้าหมาย GOAL ของเราคือการกำหนด RISK & REWARD เป็น 1:2 เสมอ (เสี่ยง 1 ส่วน กำไร 2 ส่วน)

ตัวอย่าง หลังจากตั้งค่าเสร็จแล้ว

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการเทรดสองรายการเพื่อให้คุณคุ้นเคยกับวิธีการทดสอบนี้ของคุณ ภาพตัวอย่างด้านล่าง เราสามารถมองเห็นรูปแบบ PIN BAR ซึ่งมันเป็นสัญญาณการเทรดในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง มันเกิดขึ้นที่โซนแนวรับในบริบทของกรอบเวลารายวัน

เมื่อคุณเห็นสัญญาณดังกล่าวชัดเจนแล้วให้คุณตั้งค่า STOP LOSS ในกรณีนี้ตั้งที่ด้านล่างของ PIN BAR และตั้งค่าการเข้าเทรดที่ด้านบนของ PIN BAR ส่วนเป้าหมายการทำกำไรอยู่ที่ 2R ขึ้นไปจากตำแหน่งการเข้าเทรด เรากำลังตั้งค่า RISK & REWARD ไว้ที่ 1 ต่อ 2 อย่างเข้มงวด

คุณควรบันทึกรายละเอียดการเทรดลงในสเปรดชีทหรือ TRADING JOURNAL ของคุณเองเพื่อติดตามการเทรดและรับผิดชอบต่อสิ่งที่คุณทำ โปรดจำไว้ว่ารางวัลจากความเสี่ยงเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับการเทรดในแต่ละครั้ง




ตัวอย่างถัดมา เราเห็นรูปแบบแท่งเทียน INSIDE BAR ที่เกิดขึ้นในช่วงแนวโน้มขาขึ้นและนี่คือการตั้งค่าการเทรดที่ง่ายมาก เราจะตั้งค่าและลืมมันไป

ตำแหน่งการเข้าเทรดคือการ BREAKOUT ที่ด้านบนของ MOTHER BAR ส่วน STOP LOSS อยู่ภายใต้แท่ง MOTHER BAR นั้น ต่อมาระยะเป้าหมายการทำกำไรของเราคือสองเท่าให้เราวัดระยะการทำกำไรจากการเข้าเทรดของเราไปแล้วตั้งค่า TAKE PROFIT ไว้

อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าทุกๆ การเทรดคุณจะเป็นผู้ชนะ เป้าหมายของการทดสอบในครั้งนี้คือการแสดงให้คุณเห็นว่าคุณจะเทรดได้ในบางรูปแบบในแต่ละสถานการณ์ คุณอาจจะไม่สามารถทำการเทรดได้ทุกรูปแบบ บางครั้งบางรูปแบบอาจไม่คุ้มค่าที่จะทำ คุณต้องเรียนรู้ที่จะกรองสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดีสำหรับการเทรดในพอร์ตของคุณ




หลังจากการทดสอบเป็นเวลาหนึ่งเดือน คุณจะตระหนักได้ว่าการเทรดในสองตัวอย่างด้านบนนี้จะมีส่วนร่วมในพอร์ตของคุณมาก

ข้อควรพิจารณาอื่น ๆ สำหรับ การทดสอบการเทรด

ตรวจสอบให้แน่ใจว่ารูปแบบแท่งเทียนส่งสัญญาณการเทรดให้คุณจริงหรือไม่? การทดสอบนี้ไม่ต้องการเพียงแค่เข้าเทรดให้ได้กำไรแต่ยังหมายถึงให้คุณคิดเรื่องเทคนิคการเข้าเทรดด้วย คุณต้องเริ่มทำการเทรดด้วยเงินจริง

อาจจะเริ่มจากการสร้างกรอบขอบเขตเป็นจุดเริ่มต้น มองหาแท่งเทียน PIN BAR หรือแม้แต่การตั้งค่าที่ผิดพลาด โดยรวมแล้วการจะประสบความสำเร็จในระยะยาว คุณจะต้องปรับแต่งและกรองขั้นตอนต่างๆ ออกไปเพื่อคงเหลือไว้แต่สิ่งที่คุณสนใจว่ามันจะเป็นเทคนิคการเทรดในแบบของคุณเองต่อไป


ข้อพิจารณาอีกอย่างคือ เทรดเดอร์ไม่ควรเข้าใกล้ตลาดด้วยพลังงานที่มองโลกในแง่ร้ายและพยายามหลีกเลี่ยงการสูญเสีย ในเรื่องราวของการเทรดเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีการสูญเสียเลย ในทุกๆ การเทรดจะมีผู้ชนะและผู้แพ้ ทางที่ดีเทรดเดอร์ควรเข้าหาตลาดด้วยพลังงานที่มองโลกในแง่ดีและมุ่งเน้นไปที่การค้นหาการเทรดที่ชนะ ซึ่งให้ผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำเมื่อเทียบกับความเสี่ยง

การทดลองนี้ออกแบบมาเพื่อให้คุณดึงตัวกระตุ้นการเทรดอย่างต่อเนื่อง มันถูกออกแบบมาเพื่อสอนให้คุณรู้ว่า คุณกำลังจะสร้างผู้ชนะและผู้แพ้ในบางครั้ง มันจะต่อเนื่องไปกับการป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดกับพอร์ตของคุณ ที่ซึ่งคุณต้องเรียนรู้กันต่อไปก่อนจะนำไปใช้ในอนาคต คุณสามารถปรับปรุงผลลัพธ์ของคุณได้อย่างมากและวางการเทรดในแต่ละครั้งด้วยความมั่นใจ

เมื่อคุณเสร็จสิ้นการทดสอบจะมีรูปแบบการเทรดมากมายที่คุณจะมองย้อนกลับไปและเรียนรู้อะไรบางอย่างจากมัน คุณจะต้องศึกษาสิ่งที่ได้ผลและศึกษาสิ่งที่ไม่ได้ผล และหาตัวหารร่วมที่จะทำหน้าที่เป็นตัวกรองก่อนการเข้าเทรดของคุณในขณะที่คุณเติบโตและเรียนรู้ในฐานะเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์
#92
การวิเคราะห์ทางเทคนิค / Forex Scalping
ธันวาคม 26, 2023, 01:50:06 หลังเที่ยง
SCALPING คืออะไร

Scalping คือกลยุทธ์การเทรด Forex ระยะสั้นที่นักเทรดมุ่งทำกำไรจากความผันผวนเล็กน้อยของอัตราแลกเปลี่ยน Scalping มีช่วงเวลาที่สั้นมาก หมายความว่าคุณจะต้องตอบสนองอย่างรวดเร็วกับความเปลี่ยนแปลงของเงื่อนไขของตลาด

คุณต้องมั่นใจว่าการทำ Scalping เหมาะกับลักษณะนิสัยของคุณและคุณสามารถตอบสนองและอ่านพฤติกรรมของราคาได้อย่างรวดเร็ว หากคุณไม่ชอบทำการเทรดแบบ Scalping ยังมีนักเทรดแบบอื่น ๆ ที่คุณสามารถดูรายละเอียดจากแผนการเทรดของนักเทรดแต่ละแบบ

ระดับการเข้าและการออกสำคัญอย่างยิ่งเมื่อทำ Scalping การเข้าและออกได้อย่างถูกต้องจะเป็นตัวบอกถึงความแตกต่างระหว่างการทำกำไรหรือขาดทุน ในกรอบเวลาที่สั้นกว่าราคาจะแสดงลักษณะตามธรรมชาติของมันออกมา ตัวอย่างเช่น ราคามักจะเคลื่อนไหวมากในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของวัน (เช่น ตอนตลาดเปิด) และระหว่างเหตุการณ์ที่เป็นข่าวต่าง ๆ

สำหรับนักเทรดสายเทคนิคและมีประสบการณ์ การทำ Scalping ถือเป็นกลยุทธ์ทำเงินที่ดีในตลาด Forex

เราได้พูดคุยกับโบรกเกอร์หลายรายเพื่อพยายามทำความเข้าใจถึงเหตุผลที่โบรกเกอร์บางรายถึงไม่อนุญาตให้ทำ Scalping บนแพลตฟอร์มของตน เราได้ข้อสรุปว่า อาจจะเป็นหนึ่งในสองเหตุผลคือ ปริมาณการเทรดที่สูงเพิ่มภาระให้เซิร์ฟเวอร์เป็นอย่างมากหรือการทำ Scalping เป็นช่องทางการโกงเงินจากโบรกเกอร์

เทคนิคและเคล็ดลับในการทำ Scalping

หลีกเลี่ยงการทำ Scalping ในช่วงที่มีการประกาศข่าวและเน้นทำ Scalping หลังจากที่ข่าวออก โดยมองหาราคาที่วิ่งตามทิศทางที่ตลาดมีปฏิกิริยาแรกหรือถ้าราคาอ่อนตัวลงให้คุณเตรียมพร้อมและทำ Scalping ในทิศทางตรงกันข้าม



ในฐานะผู้ทำ Scalping กำไรของคุณจะได้รับผลกระทบจากสเปรด หากสเปรดปรับขึ้น ผลตอบแทนของคุณจะลดลง



Spread – Spread สูง

คู่สกุลเงินที่สภาพคล่องน้อยจะมีผลกระทบกับการทำ Scalping ด้วยราคามักจะไม่แน่นอนและสเปรดจะกว้างกว่า อย่างไรก็ตาม ยังมีช่วงเวลาของวันที่ตลาดจะคึกคักและราคาที่สามารถคาดการณ์ได้ง่ายกว่า ข้อแนะนำ ทำ Scalping เมื่อตลาดการเทรดหลักๆ เปิดทำการ

- ตลาดลอนดอนเปิด00 น. GMT
- ตลาดนิวยอร์กเปิดตอน00 น. GMT
- ตลาดโตเกียวเปิดตอน00 น. GMT



กลยุทธ์การทำ Scalping ขั้นสูง

กลยุทธ์การทำ Scalping ขั้นสูงพยายามกุมกระแสของตลาด โดยปรกติแล้วในตลาด Forex กระแสตลาดระหว่างวันขับเคลื่อนด้วยเงินลงทุนจากสถาบันและธนาคารกลางต่างๆ เงินลงทุนสถาบันจำเป็นต้องทำธุรกรรมด้วยเงินก้อนโตที่อาจส่งผลทำให้ราคาผิดเพี้ยนไป เงินลงทุนมักจะเข้ามาในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งของวันเมื่อคำสั่งเข้ามาและได้รับการดำเนินการ คุณสามารถกุมกระแสดังกล่าวโดยดูตัวอย่างตอนตลาดลอนดอนเปิด ตลาดนิวยอร์กเปิดและตลาดโตเกียวเปิด ลักษณะราคาที่ปรากฏในช่วงการเปิดของตลาดการเทรดสำคัญๆ สามารถคาดการณ์ได้ง่ายมาก ซึ่งหมายความว่า คุณสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของแรงส่งของราคาพวกนั้น หนึ่งในวิธีการทำ Scalping ที่เรียบง่ายในตลาดคือ การเทรดในช่วงตลาดลอนดอนเปิดและทำการพักในช่วงราคาของคู่สกุลเงินนับตั้งแต่ตลาดโตเกียวเปิดจนถึงช่วงตลาดลอนดอนเปิด (Asia Range) โดยปรกติแล้ว อย่างแรกที่คุณทำคือกำหนด Asia range โดยการลากหนึ่งแนวต้านที่ราคาสูงสุดและหนึ่งแนวรับที่ราคาต่ำสุดในช่วงตลาดโตเกียวเปิดทำการ (Asia Session)



เมื่อคุณกำหนด Asia range ได้แล้ว ให้คุณอดทนรออย่างมีวินัยจนกว่าตลาดลอนดอนจะเปิดและเริ่มเทรดในทิศทางที่ทะลุแนว จากตัวอย่างของเรา คู่สกุลเงิน EUR/USD เป็นขาลงดังนั้นเราจึงมองหาแต่โอกาสขาย กลยุทธ์การทำ Scalping ในกรณีนี้คือ ทำการขายในแต่ละแท่งเทียนสีแดงและตั้ง Take profit ที่ตอนปิดแท่งเทียน 5 นาที หยุดขายเมื่อเห็นแท่งเทียนสีเขียวและทำซ้ำแต่เฉพาะแท่งเทียนแท่งใหม่ที่เป็นขาลง

สรุป
Scalping คือการเทรดในช่วงเวลาสั้นมากเพื่อกุมความผันผวนเล็กน้อยของราคา อย่างไรก็ตาม การทำ Scalping นั้นเหมาะสำหรับคนที่ชอบนั่งหน้าจอและมีวินัยในการปฏิบัติตามกฎการเทรดของตน คุณจำเป็นต้องตัดขาดทุนแต่น้อยและปล่อยให้การเทรดที่ชนะทำกำไรเพราะนั่นเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยให้การเทรดของคุณสามารถทำกำไรได้ คุณยังต้องค้นหาโบรกเกอร์ที่เสนอ Spread ที่แคบมากและโบรกเกอร์ Forexสำหรับคนที่ทำ Scalping (ดูด้านบน) สุดท้าย อย่าลืมตรวจสอบว่าโบรกเกอร์ของคุณดำเนินการคำสั่งเทรดอย่างแม่นยำและไม่มีความคลาดเคลื่อนของราคาเพื่อการันตีความสำเร็จของคุณ
#93
การเรียนรู้เทคนิคที่พิสูจน์แล้วสามข้อต่อไปนี้ ที่คุณจะสามารถใช้ได้ทุกวันเพื่อทำการเทรดกับเทคนิคการเทรดด้วย อินดิเคเตอร์ KELTNER โดยจะทำงานในระบบช่อง CHANNEL อินดิเคเตอร์ KELTNER CHANNEL มีโครงสร้างเดียวกันกับอินดิเคเตอร์ BOLLINGER BANDS ที่ใช้เพื่อวัดความผันผวนของราคา KELTNER CHANNEL สามารถปรับปรุงผลกำไรของคุณได้อย่างต่อเนื่อง เพราะมันปรับให้เข้ากับสภาพตลาด FOREX ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ในคำแนะนำการเทรดแบบละเอียดทีละขั้นตอนนี้ คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับอินดิเคเตอร์ KELTNER เรียนรู้ข้อมูลพื้นฐาน ฉันเชื่อว่ามันสามารถช่วยให้คุณกลายเป็นเทรดเดอร์ที่ทำกำไรได้ อินดิเคเตอร์ที่น่าทึ่งนี้ทำงานได้ดีที่สุดเมื่อใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อการตัดสินใจในการเข้าเทรดอย่างชาญฉลาดรวมไปถึงวิธีที่จะช่วยคุณเทรดในสภาพตลาดที่แตกต่างกัน



วิธีการเข้าเทรดกับ KELTNER CHANNEL อินดิเคเตอร์ KELTNER

KELTNER CHANNEL เป็นอินดิเคเตอร์ที่อิงกับความผันผวนซึ่งประกอบด้วยเส้นค่าเฉลี่ยราคาเคลื่อนที่แบบ EXPONENTIAL แบบง่ายๆ ช่อง CHANNEL ของ KELTNER จะช่วยให้คุณวัดความผันผวนของตลาดประเมินแนวโน้มปัจจุบัน นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้เป็นเทคนิคการเทรดแบบ SCALPING ได้หากคุณต้องการเข้าและออกจากการเทรดที่รวดเร็วมากๆ

โดยทั่วไปช่อง CHANNEL ที่สร้างขึ้นจะมีไว้สำหรับดูกราฟราคาและคล้ายกับอินดิเคเตอร์ BOLLINGER BANDS ความแตกต่างระหว่างทั้งสองคือ KELTNER CHANNELS นั้นใช้ ATR (AVERAGE TRUE RANGE) ในขณะที่ BOLLINGER BANDS ใช้ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน

ในช่วงเวลาที่ช่อง CHANNEL ด้านบนและแถบด้านบนชี้ขึ้นไป นี่เป็นสัญญาณของแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ทำให้กราฟราคาเคลื่อนที่ไปตามแถบด้านบนอย่างต่อเนื่อง

ถ้าช่อง CHANNEL ของ KELTNER ทำลักษณะแบนและเคลื่อนไหวในแนวนอนเรียกว่าเป็นการส่งสัญญาณว่ามีความหลากหลายในตลาดในเวลานั้น ในกรณีนี้กราฟราคามีแนวโน้มที่จะย้อนกลับระหว่างช่อง CHANNEL ที่ด้านบนและด้านล่าง

ระบบของ KELTNER CHANNEL อินดิเคเตอร์ KELTNER

ตลาด FOREX มีจังหวะตามธรรมชาติที่เปลี่ยนไปจากตลาดที่มีแนวโน้มไปจนถึงการรวมตลาด (SIDE WAY) อย่างไรก็ตามคุณต้องจัดการกับความผันผวนประเภทต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นั่นคือสิ่งที่ระบบ KELTNER CHANNEL สามารถช่วยให้คุณได้

การเทรดแบบ BREAK OUT กับ KELTNER CHANNEL

เมื่อพูดถึง BREAK OUT สำหรับอินดิเคเตอร์ KELTNER CHANNEL เป็นอินดิเคเตอร์ที่ทรงพลังมาก มันทำงานได้ดีที่สุดเมื่อความผันผวนเพิ่มขึ้น ไม่เพียงแต่วัดความผันผวน มันยังสามารถแสดงความผิดปกติในพฤติกรรมของราคาได้ด้วย เนื่องจากอินดิเคเตอร์ KELTNER มีความล่าช้า เราจึงต้องมีตัวช่วยบางอย่าง คืออินดิเคเตอร์ ADX (AVERAGE DIRECTIONAL INDEX)

โดยสำหรับอินดิเคเตอร์ ADX เราจะวัดความแข็งแกร่งของการ BREAK OUT โดยทั่วไปและการอ่านค่า ADX ที่สูงกว่า 20 ระดับถือเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้น หรือขาลงได้ ส่วนค่าที่ต่ำกว่า 20 แสดงว่าเป็นช่วงเวลาของ SIDE WAY

เงื่อนไขทริกเกอร์สำหรับการเทรดแบบ  BREAKOUTS:

- KELTNER CHANNEL จะต้องแบนราบ (SIDE WAY)
- กราฟราคาจะต้องทะลุเส้น UPPER BAND
- LEVEL ADX จะต้องอยู่สูงกว่า 20



เนื่องจากตลาด FOREX จะมีช่วงเวลาส่วนใหญ่เป็น SIDE WAY โดยจะมีประมาณ 70% ของเวลาทั้งหมดจึงจำเป็นต้องมีเทคนิคการเทรดที่หลากหลายเพื่อความอยู่รอดในตลาดนี้

การเทรดแบบ SIDE WAY กับ KELTNER CHANNEL

สำหรับการเทรดในช่วง SIDE WAY เราจะใช้ KELTNER CHANNEL ร่วมกับอินดิเคเตอร์ RSI (RELATIVE STRENGTH INDEX) LEVEL 2 โดยจะปรับแต่งการตั้งค่า RSI เพื่อให้เราสามารถระบุพื้นที่ในการเทรดได้ดียิ่งขึ้น

สำหรับเทคนิคการเทรดด้วย KELTNER กับอินดิเคเตอร์ RSI LEVEL 2 โดยเราจะใช้ LEVEL 90 สำหรับ OVER BOUGHT และ LEVEL 10 สำหรับ OVER SOLD

เงื่อนไขทริกเกอร์สำหรับการเทรดแบบ  SIDEWAY:

- ช่อง CHANNEL ของ KELTNER จำเป็นจะต้องแบบราบ
- กราฟราคาต้องต่ำกว่าเส้น MIDDLE BAND
- การเทรด BUY จะเริ่มขึ้นเมื่อเส้น RSI 2 อยู่ต่ำกว่า LEVEL 10 ซึ่งบ่งบอกถึง OVER SOLD
- การเทรด SELL จะเริ่มเมื่อเส้น RSI 2 อยู่สูงกว่า LEVEL 90 บ่งบอกการ OVER BOUGHT
- ตำแหน่ง STOP LOSS ที่เส้น UPPER BAND ในคำสั่ง SELL และ STOP LOSS ที่เส้น LOWER BAND ในคำสั่ง BUY



การเทรดแบบ PULLBACKS กับ KELTNER CHANNEL

การเทรดแบบกราฟราคาย้อนกลับหรือ PULL BACK จะสามารถทำได้ต่อเมื่อมีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง การใช้อินดิเคเตอร์ KELTNER ทำให้เราสามารถศึกษาวิธีการทำงานของ UPPER BAND และ LOWER BAND ได้เพื่อวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม

ในกราฟราคาตัวอย่างด้านล่างคุณจะเห็นการปรับฐานเล็กๆ ในขณะที่กราฟราคาไปชนที่ UPPER BAND ขอให้สังเกตว่ากราฟราคาจะกลับไปสู่บริเวณ MIDDLE BAND มันจะไม่ให้ราคาที่แน่นอน แต่เป็นโซนราคาที่ราคาสามารถย้อนกลับได้และแนวโน้มฝั่งขาขึ้นสามารถกลับมาดำเนินการต่อได้

โดยคุณอาจใช้อินดิเคเตอร์ STOCHASTIC มาร่วมด้วยได้ โดยการทำงานจะคล้ายกับ RSI กล่าวคือมีเรื่อง OVER BOUGHT, OVER SOLD

เงื่อนไขทริกเกอร์สำหรับการเทรดแบบ  PULL BACK :

- มีเป็นเพียงการติดตาม CHANNEL ของ KELTNER เมื่อกราฟราคาพุ่งขึ้นไปที่ UPPER BAND และอินดิเคเตอร์ STOCHASTIC อยู่ใน LEVER OVER BOUGHT

สรุป – อินดิเคเตอร์ KELTNER CHANNEL SYSTEM

การทราบว่าสภาพแวดล้อมของตลาดเป็นแบบใด สามารถช่วยคุณตัดสินใจได้ว่าจะใช้อินดิเคเตอร์ตัวไหน ในการออกแบบเทคนิคการเทรด เพื่อให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมของตลาดทุกประเภทคุณต้องทดลองใช้งานให้มากพอ

และทำการทดสอบด้วยความซื่อสัตย์ นั่นคือเหตุผลที่เราสนับสนุนให้คุณเรียนรู้วิธีการเทรด KELTNER CHANNEL ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นๆ

เมื่อคุณเข้าใจถึงพลังของ KELTNER CHANNEL และวิธีการรวมเข้ากับอินดิเคเตอร์อื่น ๆ อย่างเหมาะสม จะทำให้มีโอกาสในการเทรดเกิดขึ้นอีกครั้ง
#94


AB=CD คือรูปแบบหนึ่งของฮาร์โมนิคแพทเทิร์น (Harmonic Pattern)

เป็นรูปแบบที่ง่ายในการค้นหาบนชาร์ต และประกอบไปด้วย 2 ขาราคาที่เท่ากัน มันมีการวัด Fibonacci แบบเฉพาะในแต่ละจุดภายในโครงสร้างของมัน ซึ่งลดปัญหาการตีความต่างๆ ที่อาจเป็นไปได้ โดยจุด C ต้อง Retrace ไปยัง 0.618 หรือ 0.786 และโปรเจคชัน BC อยู่ที่ไม่ 1.27 ก็ 1.618 โดยเมื่อโปรเจคชัน BC และการสมบูรณ์ของ AB=CD ใกล้เข้าหากัน และเกิดเป็นพื้นที่เล็กๆ โอกาสของการกลับตัวจะเพิ่มขึ้น

ราคาเป้าหมายแรกจะเป็น Retracement 382 ของ AD และราคาเป้าหมายที่สอง Retracement 618 ของ AD ระดับหยุดทั่วไปจะอยู่หลังระดับโครงสร้างเหนือจุด D เทรดเดอร์แบบ Conservative อาจมองหาการยืนยันอื่นๆ เพิ่มเติมร่วมด้วยก่อนที่จะเข้าเทรด ยกตัวอย่างเช่น RSI ที่มีค่าสอดคล้องกัน หรือ รูปแบบแท่งเทียนบางอย่าง ที่ชี้ถึงการกลับตัว

ABCD เป็นรูปแบบฮาร์มอนิกพื้นฐาน รูปแบบอื่นๆทั้งหมดล้วนมาจากมัน รูปแบบประกอบด้วยการแกว่งของราคา 3 ครั้ง สาย AB และ CD เรียกว่า "ขา" ในขณะที่เส้น BC เรียกว่าการแก้ไขหรือการพักตัว AB และ CD มักมีขนาดใกล้เคียงกัน

รูปแบบ ABCD กระทิงตามแนวโน้มขาลง หมายถึงมีความเป็นไปได้ของการกลับตัวเป็นขาขึ้น

รูปแบบ ABCD หมี จะเกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้น แล้วมีสัญญาณของความเป็นไปได้ในการกลับตัวเป็นขาลงที่ระดับหนึ่งๆ

กฎของการซื้อขายบนรูปแบบ ABCD กระทิงและหมีนั้นเหมือนกันคุณจะต้องพิจารณาทิศทางของรูปแบบที่คุณเข้าซื้อขายและการเคลื่อนไหวของตลาดที่มันคาดการณ์ไว้

ตัวอย่างรูปแบบ ABCD  แบบกระทิง



                                                                                             ตัวอย่างรูปแบบ Harmonic Pattern AB=CD (แบบกระทิง)

ในรูปแบบดั้งเดิมจุด C ควรอยู่ที่ระดับ 61.8% -78.6% ของ AB (ใช้เครื่องมือ Fibonacci retracement บน AB: จุด C ควรอยู่ใกล้เคียงกับระดับ 61.8%) จุด D ควรอยู่ที่การขยายตัวของฟิโบฯที่ระดับ127.2% -161.8% ของ BC

สังเกตว่าการพักตัวที่ระดับ 61.8% ที่จุด C มีแนวโน้มที่จะมุ่งเป้าไปที่ระดับ 161.8% ของ BC ในขณะที่การพักตัวที่ระดับ 78.6% ที่จุด C จะมุ่งเป้าไปที่ระดับ 127%

นอกจากนี้ยังมีรูปแบบที่เรียกว่า AB = CD ในรูปแบบนี้ CD มีความยาวเท่ากับ AB พอดี ยิ่งไปกว่านั้นตลาดยังใช้เวลาเดินทางเท่ากันในการเดินทางจาก A ไป B เช่นเดียวกันกับจาก C ไป D ส่งผลให้ทั้ง AB และ CD มีมุมแบบเดียวกัน รูปแบบ ABCD รูปแบบนี้พบเห็นค่อนข้างบ่อยและเป็นที่นิยมในหมู่เทรดเดอร์

ประเภทที่สามคือเมื่อ CD อยู่ที่ส่วนขยายของ AB ที่ระดับ 127.2% -161.8% CD อาจมีขนาดใหญ่เป็น 2 เท่า(หรือมากกว่า) ของ AB มีสัญญาณบางอย่างที่อาจบอกใบ้ว่า CD จะยาวกว่า AB มากๆ สัญญาณนั้นคือช่องว่างหลังจากจุด C หรือแท่งเทียนใหญ่ใกล้จุด C

วิธีการเทรดตามรูปแบบ ABCD

สิ่งสำคัญที่คุณควรจำไว้คือคุณสามารถเข้าเทรดได้เมื่อราคาถึงจุด D เท่านั้น

ศึกษากราฟโดยดูจุดที่ราคาสูงและต่ำ หากใช้ Zigzag ก็จะช่วย (Insert – Indicators – Custom – ZigZag) ให้เห็นการแกว่างตัวของกราฟได้ชัดเจนขึ้น

ดูราคาว่ามันก่อตัวเป็น AB และ BC ในรูปแบบ ABCD กระทิง C จะต้องต่ำกว่า A และควรสูงระดับกลางๆถัดจากจุดต่ำสุดของ B ส่วนจุด D จะต้องเป็นจุดต่ำสุดใหม่ของ B

เมื่อตลาดมาถึงจุดที่ D อยู่ อย่าเพิ่งรีบเข้าเทรด ควรใช้เทคนิคอื่นๆประกอบเพื่อให้มั่นใจว่าราคามีการกลับตัวขึ้น (หรือลงหากเป็นรูปแบบ ABCD หมี) กรณีที่ดีที่สุดคือเกิดรูปแบบการกลับตัวของแท่งเทียน อาจเข้า BUY ที่จุดสูงสุดหรือเหนือกว่าของแท่งเทียนของจุด D



                                                                                            ตัวอย่างรูปแบบ Harmonic Pattern ABCD (แบบหมีและกระทิง)

ระดับ Take profit นี่เป็นระดับเป้าหมายของการเทรดตามรูปแบบ ABCD

TP1: ที่จุดพักตัวระดับ 38.2% ของ AD

TP2: ที่จุดพักตัวระดับ 61.8% ของ AD

TP3: ที่จุด A

แนะนำให้ใช้ระดับเหล่านี้ไปพร้อมกันกับแนวรับแนวต้านที่ระบุได้จากเครื่องมือวิเคราะห์ต่างๆ อย่าลืมเช็ค Time frame ต่างๆเมื่อคุณกำลังหาแนวรับแนวต้าน

หากราคาเคลื่อนที่ไปที่ TP1 อย่างเร็ว เป็นไปได้ว่ามันจะวิ่งต่อไปยัง TP2 ในทางตรงข้ามหากราคาวิ่งไป TP1 อย่างช้าๆ อาจหมายความว่ามันจะถึงแค่ระดับ TP ที่คุณกำลังจะได้

มีหลายกรณีที่ตลาดกลับตัวหลังรูปแบบ AC = CD ไปไกลกว่าจุด A

ส่วนจุดตัดขาดทุน ไม่มีคำแนะนำพิเศษสำหรับเรื่องนี้ คุณสามารถวางจุดตัดขาดทุนที่ระดับใดๆตามการจัดการความเสี่ยงของคุณเอง

ตัวอย่างกราฟในรูปแบบ ABCD



                                                                                             ตัวอย่างรูปแบบ Harmonic Pattern ABCD

สรุป

คุณสามารถพบรูปแบบ ABCD ได้ในหนึ่งแผนภูมิ กฏการเทรดในแต่ละแบบก็เป็นไปตามที่อธิบายไว้ข้างต้น ขอให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจวิธีการประยุกต์ใช้เครื่องมือ fibonacci อย่างถูกต้องและทำตามเคล็ดลับของเราทั้งหมด
#95
"สัดส่วนทองคำ" เกี่ยวกับการเทรด Forex อย่างไร? หลายคนอาจทราบเพียงว่า ทฤษฎีแห่งความสมดุลนี้แฝงตัวอยู่ในธรรมชาติ และถูกนำมาใช้ในวงการออกแบบอย่างแพร่หลาย เพราะพวกเขาเชื่อว่า มันสามารถสร้างความงามที่อิงตามธรรมชาติได้ อย่างไรก็ดี ในวงการ Forex รวมถึงตลาดหลักทรัพย์อื่น ๆ สัดส่วนทองคำนี้ได้ถูกนำมาใช้เป็น Indicator ในการหาแนวรับ - แนวต้านของกราฟ เพราะการเคลื่อนที่ของราคามีความสอดคล้องกับสัดส่วนทองคำ นับเป็นหนึ่งในเรื่องมหัศจรรย์มากเลยใช่ไหมล่ะครับ? ดังนั้น สัดส่วนทองคำ หรือก็คือ "Fibonacci" จึงกลายเป็น Indicator ที่เป็นที่นิยมมาก และวันนี้ เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จัก Indicator ชนิดนี้กัน!

Fibonacci คืออะไร

Fibonacci คือ ลำดับเลขฟีโบนัชชี ที่ถูกค้นพบโดย Leonardo Fibonacci นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลี แต่ภายหลังมีการสันนิษฐานว่า ลำดับชุดตัวเลขนี้ถูกคิดค้นมานานมากกว่า 100 ปี จากชาวอินเดีย ส่วนแนวคิดหลักของลำดับเลขชุดนี้ คือ การนำตัวเลขก่อนหน้า 2 ลำดับ มารวมกัน และได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นตัวเลขปัจจุบัน หรือลำดับถัดไป ซึ่งในการคำนวณจะเริ่มจากชุดตัวเลข 0 และ 1 หากทุกคนยังงงกันอยู่ ทีมงานของเราก็ได้ทำรูปแสดงสูตรคำนวณ Fibonacci ออกมาให้ทุกคนเข้าใจง่ายขึ้น ดังนี้



จากผลลัพธ์ด้านบน นำมาสู่ภาพก้นหอยได้อย่างไร? ผมขออธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ เลยคือ ผลลัพธ์เหล่านั้นสามารถนำมาต่อทบกันได้เรื่อย ๆ โดยสามารถแทนที่ได้จากรูปสี่เหลี่ยมดังภาพด้านล่าง คือ สี่เหลี่ยม 1 + สี่เหลี่ยม 1 จะได้เท่ากับสี่เหลี่ยม 2 และสี่เหลี่ยม 2 (1+1) + สี่เหลี่ยม 3 ก็จะเท่ากับสี่เหลี่ยม 5 เมื่อนำมาต่อกันเรื่อย ๆ ก็จะกลายเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าในอัตราส่วนเดียวกันขยายขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด วนเป็นวงจนมีลักษณะคล้ายก้นหอยดังรูปนั่นเอง



เราจะเห็นได้ว่า ตัวเลขเหล่านี้มีความสัมพันธ์กัน และสร้างความสมดุลจนเกิดเป็นชื่อเรียกว่า สัดส่วนทองคำ ซึ่งตัวเลขสัดส่วนนี้ถือเป็นกุญแจสำคัญของฟิสิกส์ว่าด้วยเอกภพและจักรวาล และเป็นที่นิยมในสถาปัตยกรรมต่าง ๆ เช่น โครงสร้างวิหารพาเธนอนของกรีก หรือปีรามิดของเมืองกิซ่าประเทศอียิปต์ก็เช่นกัน  หรือแม้แต่ร่างกายของคนเราก็เป็นไปตามสัดส่วนทองคำ เพราะระยะตั้งแต่สะดือถึงศีรษะ และสะดือถึงปลายเท้า จะมีสัดส่วน 0.382 และระยะจากสะดือถึงเท้าจะมีสัดส่วนความยาวเท่ากับ 0.618 พอดี นอกจากนี้ สัดส่วนของเกลียว DNA ก็มีสัดส่วนที่เป็นไปตามสัดส่วนทองคำด้วยครับ ด้วยความสำคัญขนาดนี้ทำให้เราเรียกมันว่า "สัดส่วนทองคำ" (Golden Ratio)

แล้วสัดส่วนทองคำมีค่าเท่ากับเท่าไหร่? จากภาพด้านบน เราสามารถนำด้าน B หารด้วยด้าน A ก็จะได้ผลลัพธ์เริ่มต้นที่ 1.5 แต่เมื่อเรานำตัวเลขของทั้งสองด้านหารกันไปเรื่อย ๆ ผลลัพธ์จะเริ่มนิ่งมากขึ้น จนค่าที่ออกมาอยู่ที่ 1.618 มีเพียงทศนิยมด้านหลังเท่านั้นที่เปลี่ยนไป หรืออาจกล่าวได้ว่า ลำดับเลขฟีโบนัชชีใด ๆ ที่หารด้วยตัวเลขที่อยู่ในลำดับถัดไป จะมีค่าใกล้เคียงกับ 618 ครับ ดังนั้น สัดส่วนทองคำจึงมีค่าเท่ากับ 1.618 ดังภาพประกอบด้านล่าง

 

ความสำคัญของ Fibonacci

ตัวเลข Fibonacci เป็นตัวเลขที่มีการใช้ในทางวิชาการ เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลาย และสามารถใช้ในการคำนวณหาค่าอื่น ๆ ได้อีกมากมาย ตัวอย่างการใช้งานในเชิงวิชาการ ได้แก่

1) ใช้ในการคำนวณวิเคราะห์ Euclid's Algorithm เพื่อหาค่า Greatest common divisor ของ integer 2 ชุด

2) ใช้สร้างแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ Brock-Mirman Economic Growth Model หรือแบบจำลองการเติบโตทางเศรษฐกิจ ของ Brock – Mirman

3) ใช้แสดงในสมการ Diophantine Equation ซึ่งจะนำไปสู่การแก้โจทย์ของ Hilbert's Tenth Problem

4) ใช้ในการวางแผนเล่นโป๊กเกอร์ ซึ่งเป็นการคำนวณโดยใช้ซอร์ฟแวร์ โดยโปรเจ็กต์นี้มีชื่อว่า Scrum Methodology

5) ใช้ในการวิเคราะห์ทางการเงิน ตลาดการเงิน และใช้เป็น Indicator เรียกว่า Fibonacci Retracement หรือลำดับการพักฐานของ Fibonacci

นอกจากที่กล่าวมาแล้ว Fibonacci ยังมีการใช้ในศาสตร์ด้านอื่น ๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะวิธีการทางปรัชญา และหลักการสร้างทฤษฎีต่าง ๆ มากมาย

Fibonacci กับ Forex เกี่ยวพันกันอย่างไร?

หลายคนอาจจะสงสัยใช่ไหมว่า Fibonacci เกี่ยวกับ Forex ได้อย่างไร ดังนั้นจะมาเล่ารายละเอียดให้ฟังกัน โดยเริ่มจาก "1.618" ผลลัพธ์แห่งความลงตัวของสัดส่วนทองคำ พวกเขานำผลลัพธ์นี้มายกกำลังจนได้ตัวเลขมาจำนวนหนึ่ง ดังนี้





จากผลลัพธ์ที่นำสัดส่วนทองคำมายกกำลัง เราจะเห็นว่า เมื่อใช้ Indicator ตีเส้น ตัวเลขที่ปรากฏบนเส้นเหล่านั้นจะตรงกับผลลัพธ์ของเลขยกกำลัง ซึ่งนี่ก็คือความเชื่อมโยงของ Fibonacci และ Indicator ในตลาด Forex รวมถึงตลาดหลักทรัพย์อื่น ๆ นั่นเป็นเพราะหลายคนเชื่อว่า Fibonacci สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกสิ่ง รวมถึงนักเทรดเชิงเทคนิคก็เช่นกัน พวกเขาได้นำสัดส่วนทองคำนี้มาประยุกต์ใช้ในการเทรด ซึ่งหลายคนก็ประสบความสำเร็จจากเครื่องมือนี้ ทำให้มันเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายขึ้นนั่นเอง

Fibonacci ที่นิยมในตลาด Forex
1. Fibonacci Retracement
Fibonacci Retracement เป็น Indicator ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะใช้ในการดูแนวรับ แนวต้าน เพื่อหาจุดเข้า - ออก ของกราฟ



> การหาแนวรับ : ใช้เครื่องมือวางที่จุดต่ำสุด (Low) และจุดสูงสุด (High) จากนั้น จะปรากฏตัวเลขยกกำลังสัดส่วน Fibonacci ให้ทุกคนนำเส้น Horizontal Line มาวางไว้ที่ระดับ 0.5 , 0.618 และ 0.786 ทั้ง 3 เส้นนี้จะแสดงโซนแนวรับ อย่างไรก็ดี ทุกคนสามารถเพิ่มเส้นที่ระดับ 1 เพื่อตั้งจุด Stop Loss ก็ได้เช่นกัน



> การหาแนวต้าน : ใช้เครื่องมือวางที่จุดสูงสุด (High) และจุดต่ำสุด (Low) ลากจากบนลงล่าง ย้อนกลับจากการหาแนวรับ จากนั้น เมื่อได้โซนนัยสำคัญมาที่แสดงเลขยกกำลังสัดส่วน Fibonacci แล้ว ให้เลื่อนไปวางที่ฐานกราฟที่กำลังปรับตัวขึ้นแทน แล้วค่อยนำ Horizontal Line มาวางไว้ที่ระดับ 1 และ 1.618 ซึ่งจะแสดงถึงโซนแนวต้าน หากกราฟมีการปรับตัวสูงขึ้นจากระดับที่วางไว้ นั่นอาจหมายถึงปริมาณการซื้อขายที่เกินคาด ตลาดเกิดความผันผวน หรือนักเทรดเกิด Fomo ได้

อย่างไรก็ตาม เครื่องมือ Fibonacci Retracement เหมาะกับการหาแนวรับมากกว่า สำหรับนักเทรดที่ไม่ค่อยถนัดมาก เพราะแนวต้านจำเป็นต้องมีการเลื่อนเครื่องมือ ดังนั้น จึงมี Fibonacci Extension เข้ามาช่วยแก้ปัญหา

2. Fibonacci Extension
Fibonacci Extension มักถูกใช้เพื่อดูแนวโน้มการเคลื่อนที่ของราคาครับ เนื่องจากสามารถวางจุดได้ 3 ครั้ง ซึ่งต่างจาก Fibonacci Retracement ที่วางจุดได้ 2 ครั้ง (จุดต่ำสุดไปสูงสุด หรือจุดสูงสุดไปต่ำสุด) โดยมีวิธีใช้งานดังนี้



> การหา Uptrend : ใช้เครื่องมือวางที่จุดต่ำสุด A (Low) จุดสูงสุด B (High) และจุดต่ำสุด C (Low) จากนั้น จะปรากฏตัวเลขยกกำลังสัดส่วน Fibonacci ให้ทุกคนนำเส้น Horizontal Line มาวางไว้ที่ระดับ 1 และ 1.618 หากกราฟเคลื่อนไปแตะระดับดังกล่าวก็จะหมายถึง กราฟเป็นขาขึ้น จากภาพตัวอย่างด้านบน ได้นำกราฟเก่ามาเพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่า เมื่อพ้นจุด C แล้ว กราฟมีการขยับขึ้นไปถึงเส้นระดับ 1.618 ในที่สุด ก่อนจะเกิดการกลับตัว



> การหา Downtrend : ใช้เครื่องมือวางที่จุดสูงสุด A (High) จุดต่ำสุด B (Low) และจุดสูงสุด C (High) จากนั้น จะปรากฏตัวเลขยกกำลังสัดส่วน Fibonacci ให้ทุกคนนำเส้น Horizontal Line มาวางไว้ที่ระดับ 1 และ 1.618 หากกราฟเคลื่อนไปแตะระดับดังกล่าวก็จะหมายถึง กราฟเป็นขาลง จากภาพตัวอย่างด้านบน ผมได้นำกราฟเก่ามาเพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นเช่นกันว่า เมื่อพ้นจุด C แล้ว กราฟมีการขยับตัวลงไปถึงเส้นระดับ 1.618 ในที่สุด ก่อนจะเกิดการกลับตัว

โดยสรุปแล้ว Fibonacci ก็คือลำดับเลขที่ใช้ในการคำนวณสมการต่าง ๆ อีกทั้ง ยังแฝงตัวอยู่ในธรรมชาติ สิ่งรอบตัวเรา และเป็นกุญแจในการไขข้อสงสัยหลายอย่างได้ ดังนั้น มันจึงถูกหยิบยกมาใช้ในอุตสาหกรรมการเงิน เพื่อใช้เป็น Indicator ในการคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคา และแนวรับ - แนวต้านของ Forex รวมถึงสินทรัพย์อื่น ๆ อย่างไรก็ดี แม้มันจะมีจุดเด่นที่น่าพิศวง แต่นักเทรดก็ไม่ควรใช้ Indicator เพียงตัวเดียวในการเทรด เพราะมันก็อาจจะผิดพลาดได้ ดังนั้น จึงควรใช้ตัวอื่น ๆ ร่วมด้วย รวมถึงอย่าลืมฝึกการใช้เครื่องมือก่อนนำไปใช้จริง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียง หรือตรงกับความเป็นจริงที่สุดด้วย
#96
สำหรับการฝึกเทรดใดๆ นอกเหนือจากการค้นหารูปแบบการเคลื่อนไหวของแท่งเทียนแล้วยังต้องมีเรื่องการมองหาการเทรดที่มีความน่าจะเป็นสูงซ้อนอยู่อีกด้วย หนึ่งในความน่าจะเป็นสูงคือเรื่องของการยืนยันด้วยการมองหาการไหลมารวมกันของสัญญาณแท่งเทียนกับ KEY LEVEL ที่ไหลมารวมกันและสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ให้ลองใช้อินดิเคเตอร์ไปก่อนจนกว่าจะคุ้นชินหรือจนกว่าจะสามารถมองเห็นพฤติกรรมของแท่งเทียนออก แล้วค่อยเอาอินดิเคเตอร์เหล่านี้ออก ในส่วนของเทรดเดอร์ที่มีความคุ้นเคยกับชาร์ตราคาเปล่าแล้วให้มองหาการบรรจบกันไปได้เลย ดังนั้นเราจะแบ่งงานออกเป็นสองส่วนดังนี้:

- การเคลื่อนไหวของกราฟแท่งเทียน: ถือเป็นการเคลื่อนไหวของตลาดในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยการเรียนรู้ที่จะอ่านการเคลื่อนไหวของราคา สามารถกำหนดทิศทางของตลาดโดยรวมได้ ไปจนถึงความสามารถอ่านรูปแบบ PATTERN ของกราฟราคาจะยิ่งสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงหรือความต่อเนื่องในความเชื่อมั่นของตลาดได้ด้วย

- การบรรจบกัน: ณ จุดหนึ่งในตลาดที่มีสองระดับหรือมากกว่านั้น การตัดกันหรือจุดไหลมารวมกันในตลาด ในพจนานุกรมการบรรจบกันหมายถึงการรวมกันของผู้คนหรือสิ่งของ ดังนั้นโดยทั่วไปเมื่อเรามองหาพื้นที่ที่ไหลมารวมกันในตลาดเรากำลังมองหาพื้นที่ที่มีสองระดับขึ้นไปหรือพื้นที่ที่มีอินดิเคเตอร์กำลังตัดกัน

ปัจจัยในการมองหาการบรรจบกันที่ชาร์ตราคา:

1. แนวโน้ม- มองหาแนวโน้มหลักก่อน ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลงเพราะมันเป็นหลักในการมองหาสิ่งต่อไปที่จะมาบรรจบกับตัวของแนวโน้มเอง
2. อินดิเคเตอร์เส้นค่าเฉลี่ยราคาเคลื่อนที่- ในที่นี้ใช้ EXPONENTIAL MOVING AVERAGE (EMA 8 และ 21) เพื่อช่วยระบุแนวโน้มโดยมันจะมีช่วงช่องแนวรับ แนวต้านในตัวแบบไดนามิก เส้นทั้งสองนี้เป็นปัจจัยหรือระดับที่สามารถเพิ่มการบรรจบกันในการตั้งค่าการเทรดได้
3. แนวรับ แนวต้าน- เส้นแนวรับ แนวต้านจากกราฟแท่งเทียนในอดีตทางฝั่งซ้าย นี่เป็นแนวรับแนวต้านคลาสสิคที่ยังคงต้องใช้อยู่ โดยทั่วไปมันจะเชื่อมต่อสวิงของกราฟราคาให้
4.พื้นที่เกิดกิจกรรม- พื้นที่ดังกล่าวมักจะเกิดเหตุการณ์การเคลื่อนไหวของราคาอย่างมีนัยสำคัญ อาจเป็นการเคลื่อนไหวตามทิศทางแนวโน้มที่แข็งแกร่งหลังจากเกิดสัญญาณการเคลื่อนไหวของแท่งเทียนแล้วหรืออาจเป็นการปฏิเสธ LEVEL ตามด้วยการย้อนกลับ มักจะเหตุการณ์ที่สำคัญบางอย่าง ณ จุดหนึ่งในตลาด ให้พิจารณาพื้นที่กิจกรรมเหล่านี้ให้ดี
5. การย้อนกลับที่ 50%- LEVEL การย้อนกลับหรือRETRACE 50% ถึง 61.8% ในส่วนของ FIBONACCI ปรกติแล้วฉันจะไม่ใช้ LEVEL ทั้งหมดของ FIBONACCI เพราะพวกเขามีความรอบคอบและจับจดเกินไปที่จะใช้งานได้ ความรู้ทั่วไปโดยปรกติแล้วส่วนใหญ่ในตลาดมีแนวโน้มที่จะย้อนกลับประมาณ 50% แต่ระดับต่างๆ ใน FIBONACCI จะใช้ได้ในบางกรณี ไม่ผิดถ้าคุณจะใช้ตัวเลขทั้งหมดแต่จะเป็นการดีถ้าคุณนำเอาแต่สิ่งที่คุณต้องการมาใช้ในส่วนที่ต้องการ นอกนั้นอาจทำให้คุณสับสนได้

5 หัวข้อข้างต้นที่กล่าวมาเป็นเพียงบาง LEVEL ที่สามารถตัดกันเพื่อมองหาพื้นที่ไหลมารวมกันในตลาดได้ นอกจากนี้อาจมี LEVEL ระหว่างวันและปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติมอีกได้เช่นกัน

การรวมกันของ LEVEL การบรรจบกับสัญญาณการเคลื่อนไหวของแท่งเทียน

เริ่มด้วยการมองหารูปแบบแท่งเทียนที่ชัดเจนที่ก่อตัวที่จุดบรรจบกันในตลาดเป็นหลัก ยิ่งชัดเจนยิ่งมีความน่าจะเป็นสูง จากนั้นให้วิเคราะห์โครงสร้างตลาดและบริบทที่สัญญาณเกิดขึ้น  ตรวจสอบปัจจัยการรวมตัวกันอีกครั้ง ให้มีอย่างน้อยสองรายการที่สอดคล้องกัน ก่อนตัดสินใจเพราะหากไม่เป็นเช่นนั้นอาจไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยงต่อเงินของคุณ

ตัวอย่างของการตั้งค่า PIN BAR ที่เห็นได้ชัดบนกรอบรายวันมีการไหลมารวมกัน 4 หัวข้อ:

- PIN BAR นี้มีการบรรจบกับแนวโน้มขาลงที่โดดเด่น เนื่องจากมีการทำสวิงที่ต่ำลงมาแล้วตามลำดับ
- มีการวิ่งสลับไปมาระหว่างเส้น EMA ก่อนที่เส้น EMA 8 จะวิ่งตัดเส้น EMA 21 ลงมา นำไปประกอบกับหัวข้อแรกคือมีการทำสวิงลงมา
- PIN BAR ปฏิเสธเส้นแนวต้านทางฝั่งซ้าย (เส้นแนวนอน)
- ในจังหวะที่มาการ BREAK แนวรับฝั่งซ้ายลงมาได้ เราอาจเข้าทำการเทรดหรือรอการยืนยันด้วยการลากเส้น FIBONACCI ก่อนที่จะรอให้แท่งเทียนย้อนกลับไปที่ 50% พร้อมกับสัญญาณ PIN BAR ที่เกิดขึ้นให้เราเข้า เทรด forex ได้



ลองมาดูอีกตัวอย่าง ที่มี 3 ข้อของการไหลหรือการบรรจบกันให้เห็น:

- กราฟแท่งเทียนจากแนวโน้มขาลงที่มีโมเมนตัมที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน มีการทำสวิงขึ้นไปทดสอบแนวต้านฝั่งซ้ายที่ไม่สามารถทะลุได้ ยิ่งยืนยันการลงมาของแนวโน้มชัดเจนมากขึ้น มันเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ
- เราสามารถมองเห็นช่วงช่องของเส้น EMA 8 และ 21 ที่ขนานกันลงมา ก่อนจะมีการ BREAK แนวรับลงไปได้ แน่นอนว่ามักจะมีการย้อนกลับไปทดสอบแนวรับเดิม (ตอนนี้เป็นแนวต้านแล้ว) ที่ทะลุลงมาได้
- มีรูปแบบ INSIDE BAR เกิดขึ้น



จากภาพตัวอย่าง มีปัจจัยเรื่องแนวโน้ม โมเมนตัม ช่วงช่องเส้นค่าเฉลี่ยราคา การทะลุแนวรับ การทดสอบแนวต้าน รูปแบบแท่งเทียน ปัจจัยหลายอย่างมารวมกันเช่นนี้สำหรับการตั้งค่าการเทรดโดยเฉพาะมันเป็นสัญญาณที่ดีมากและเป็นการยืนยันในประเภทที่ทำให้เราเห็นว่าการเทรดนั้นคุ้มค่าที่จะเสี่ยง

สรุป

จากตัวอย่างข้างต้นเมื่อคุณได้รับความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของแท่งเทียนกับการไหลมารวมกันของ LEVEL สำคัญกับสิ่งต่างๆ ที่เป็นปัจจัยในตลาดเพื่อการเข้าเทรดที่ชัดเจน คุ้มค่ากับความเสี่ยงแล้ว ให้คุณฝึกฝนและต่อยอดไปที่เรื่องของการหาเป้าหมายการทำกำไรและการจัดการด้านการเงินต่อไป เพื่อให้การเทรดของคุณยิ่งมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
#97
การวิเคราะห์ทางเทคนิค / Auto Fibo indicator
ธันวาคม 18, 2023, 12:50:30 หลังเที่ยง
ถ้าหากเราใช้การเทรดแบบแนวรับแนวต้าน เครื่องมือชนิดหนึ่งที่ต้องศึกษา คือ Fibonacci แต่ว่า ปัญหาของการใช้งาน Fibonacci คือ การตีเส้นและการตีความที่แตกต่างกัน ทำให้การใช้งานได้ผลออกมาไม่คงที่ โดยเฉพาะมือใหม่ กล่าวคือ การลากเส้น Fibonacci ที่แตกต่างกันนี้อาจจะทำให้ผลกำไรและขาดทุนนั้นแตกต่างกัน และเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว วันนี้ขอนำเสนอเครื่องมือ Auto Fibo คือ เครื่องมือสำหรับลากเส้น Fibonacci อัติโนมัติ

ข้อมูลเบื้องต้น
สำหรับใครที่ไม่รู้จัก Fibonacci นั้นมาทำความรู้จักกับ Fibonacci กัน โดย Fibonacci คือ ลำดับเลข Fibonacci ซึ่งเป็นลำดับเลขและอัตราส่วน โดยลักษณะเด่นของ Fibonacci คือ ลำดับเลขนั้นจะเรียงกัน โดยบวกกันจากตัวเลขข้างหน้า โดยลำดับเลขจะเรียงลำดับดังต่อไปนี้

0,1,1,2,3,5,8,13,21,34......n

ข้อสังเกตุของลำดับเลข Fibonacci คือ จะเริ่มต้นจากเลข 0 และ เลข 1 โดยจะนำเลข 2 ตัวสุดท้ายไปบวกกันและได้เลขใหม่ขึ้นไปเรื่อย ๆ ดังแสดงข้างต้น และเมื่อเรานำจำนวนใดจำนวนหนึ่ง หารกับตัวเลขด้านหน้าและเลขด้านหลัง จะได้อัตราส่วนใกล้เคียงกันแทบทุกจำนวน (เพราะมันบวกมาจากเลขตัวมันเอง) ด้วยอัตราส่วนนี้ ทำให้มีการนำเอามาใช้เป็นอัตราส่วน Fibonacci ตัวอย่างเช่น

13/21 =  0.6190

34/21 =  1.6190

ซึ่งถ้าใช้ 5 เป็นหลักแทน 21 อัตราส่วนก็ได้ใกล้เคียงกัน ดังนี้

3/5 =  0.6

8/5 = 1.6


ค้นหาความรู้ Forex

ซึ่งยิ่งใช้ตัวเลขที่มากขึ้น จำนวนเลขส่วนทศนิยมก็ใกล้เคียงกันมากขึ้น จึงมีการนำสัดส่วนเหล่านี้ไปคำนวณ และสร้างเป็นระดับต่าง ๆ ของ Fibonacci ขึ้นมา โดยที่ สัดส่วน Fibonacci นั้นยังปรากฏอยู่ในที่ต่าง ๆ ตามธรรมชาติ เช่น สัดส่วนของอัตราส่วนทองคำ สัดส่วนของเปลือกหอย สัดส่วนของเกลียวดอกไม้ เป็นต้น

ด้วยความมหัศจรรย์ของมันทำให้ มันถูกใช้ในตลาด Forex ด้วย สำหรับ การตีเส้น Fibonacci นั้นสามารถลากเส้นในโปรแกรม MT4 ได้เลยเนื่องจาก เป็นเครื่องมือที่ติดมากับโปรแกรมอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม การลากเส้นนั้นค่อนข้างลำบากเพราะแต่ละคนก็มีมุมมองของตัวเอง ดังนั้น การมีเครื่องมือ Auto fibo จึงช่วยให้การลากเส้นนั้นง่าย การอ่านค่านั้นง่าย

วิธีการใช้
สำหรับการใช้งาน Fibonacci นั้นเป็น indicator ประเภทบอกจุดกลับตัว การลากเส้น Fibonacci จะลากจากจุดสูงสุดและต่ำสุดของราคา เมื่อลากเส้นแล้ว จะเห็นระดับราคาต่าง ๆ ที่จะใช้ในการพยากรณ์การเคลื่อนไหวจุดพักฐานและการณ์คาดการราคาที่จะไปถึง



                                              Fibonacci จะลากจากจุดสูงสุดและต่ำสุดของราคา

สำหรับการใช้งาน ในการคาดการณ์มีดังต่อไปนี้

การใช้งาน Auto Fibo ต้องให้ความสำคัญกับระดับ Fibonacci ต่อไปนี้  คือ 38.2 % และ 61.8 %  ถ้าหากจำกันได้มันคืออัตราส่วนที่หลังจากหารตัวหน้าและตัวหลัง ดังนั้น ถ้าหากเราจะหาจุดพักฐานหลังจากกราฟเคลื่อนไหวมาไกล ระดับที่สำคัญ คือ 38.2 % คือ จุดที่ราคาจะพักฐานเป็นจุดแรก



                                                การใช้งาน Auto Fibo ต้องให้ความสำคัญกับระดับ Fibonacci

ขณะที่จุดต่อไป ซึ่งถือว่าไกลมาก คือ 61.8 % ซึ่งโอกาสก็เกิดขึ้นน้อยตามไปด้วย หลังจากที่เกิดการพักฐาน ณ ระดับ 38.2 % แล้วต้องรอสัญญาณต่อไป เพราะว่า ต้องมีการคำนวณระดับราคาใหม่ขึ้น โดยที่จะต้องให้ความสำคัญ ที่ 38.2 % และ 61.8 % แต่บ่อยครั้งที่การเคลื่อนไหวของราคา อาจจะเคลื่อนไหวเกิน 100 % ซึ่งก็คือ ระดับที่ 138.2 % นั่นก็จะเป็นระดับที่สำคัญต่อไป เช่นเดียวกับ อัตราส่วนที่ได้จากการหารของ Fibonacci นั่นแหละ

เมื่อเราได้จุดคาดการณ์ เราก็สามารถส่ง pending Buy หรือ ส่ง Buy ที่ระดับราคาเหล่านี้ หรือว่า สามารถส่ง Sell เมื่อราคาเคลื่อนไหวไปในระดับต่าง ๆ ที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม หลักการนี้ก็ต้องการ Stop loss เพื่อให้การเทรดนั้นไม่เผชิญกับความเสี่ยงมากนัก

สรุป
การเทรดโดยใช้ Fibonacci เป็นหลักการที่น่าสนใจ โดยต้องประยุกต์ใช้ให้ถูกต้อง และที่สำคัญในการเทรด ตามอัตราส่วน Fibonacci ก็ต้องตั้ง Stop loss เช่นเดียวกัน  เพื่อป้องกันความเสี่ยงของการเทรดที่เกิดจากการเคลื่อนไหวผิดพลาดในสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง
#98
 หากเทรดเดอร์ได้เรียนรู้วิธีการเข้าซื้อขายด้วยกราฟราคาแท่งเทียน เทรดเดอร์คงต้องรู้จักและเคยได้ยินชื่อ รูปแบบกราฟแท่งเทียนกลืนกิน (ENGULFING CANDLESTICK) เป็นชื่อที่โดดเด่นและมีรูปแบบที่ชัดเจน ทำให้เป็นรูปแบบกราฟแท่งเทียนที่เป็นที่นิยมมากที่สุด

   กราฟราคารูปแบบแท่งเทียนกลืนกิน (ENGULFING CANDLESTICK) มีแท่งเทียนอยู่ด้วยกันสองแท่งเทียนเป็นหลัก  โดยเนื้อแท่งเทียนที่สองจะต้องสูงยาวกว่าเนื้อแท่งเทียนแรก เป็นการส่งความหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของความเชื่อมั่นในตลาดเลยทีเดียว




   ในกราฟราคารูปแบบแท่งเทียนกลืนกิน (ENGULFING) มีโอกาสสูงมากในการตั้งค่าการซื้อขาย หรือมองหาโอกาสในการเข้าซื้อขายที่ถูกต้อง ให้เทรดเดอร์มองหาวิธีการเข้าซื้อขายที่น่าเชื่อถือได้ อาจจะเป็นการหา เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ และหรือตัววัดค่าการแกว่งของราคา

   อย่างไรก็ตามในการทบทวนนี้ เทรดเดอร์ อาจจะคิดว่าเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ใช้แนวคิดเรื่องโครงสร้างการตลาดเพื่อหาจุดที่ เทรดเดอร์เข้าทำการซื้อขายไปในทิศทางที่ถูกต้อง  โครงสร้างตลาดหมายถึงความสัมพันธ์ของการแกว่งตัวของกราฟราคาในจุดที่สูงสุด กับจุดที่ต่ำสุด และความผันผวนที่ทำให้โครงสร้างตลาดมีแนวโน้มที่ดีขึ้น

  กฎการเข้าซื้อขายด้วย รูปแบบกราฟราคาแท่งเทียนแบบกลืนกิน

   รูปแบบกราฟราคาแท่งเทียนแบบกลืนกิน แบบขาขึ้น


1.   กราฟราคาแท่งเทียนแกว่งตัวขึ้นสูงสุด และแกว่งตัวขึ้นต่ำสุด

2.   เข้าทำการซื้อ ตำแหน่งกราฟราคาแท่งเทียนรูปแบบกลืนกิน

3.   ตำแหน่งของกราฟราคาแท่งเทียนที่สูงสุด จะต้องอยู่ต่ำกว่า ตำแหน่งของกราฟราคาแท่งเทียนที่แกว่งตัวสูงกว่า ก่อนหน้า


  รูปแบบกราฟราคาแท่งเทียนแบบกลืนกิน แบบขาลง

1.   กราฟราคาแท่งเทียนแกว่งตัวลงสูงสุด และแกว่งลงต่ำสุด

2.   เข้าทำการซื้อขาย ตำแหน่งกราฟราคาแท่งเทียนรูปแบบกลืนกิน

3.   ตำแหน่งของกราฟราคาแท่งเทียนที่ต่ำสุด จะต้องอยู่สูงกว่า ตำแหน่งของกราฟราคาแท่งเทียนที่แกว่งตัวต่ำกว่า ก่อนหน้า




1.   จุดสูงสุดของกราฟราคาแบบแกว่งตัวขาขึ้น อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าตำแหน่งครั้งก่อนหน้า และเป็นการยืนยันจุดเริ่มต้นของแนวโน้มเพิ่มขึ้น กับตลาดขาขึ้น

2.   กราฟราคาปรับตัวขึ้นทันทีหลังจากที่ทำ (SIDE WAY) มาระยะเวลาหนึ่ง คล้ายการทะลุราคาของกราฟไป (BREAK OUT) พร้อมกราฟราคารูปแบบแท่งเทียนกลืนกิน (ENGULFING) ขาขึ้น เป็นสัญญาณให้เข้าทำการซื้อ

3.   รูปแบบแท่งเทียนกลืนกินขาขึ้นเกิดขึ้นที่จุดแกว่งตัวต่ำรองขึ้นมาจาก จุดแกว่งตัวต่ำสุดก่อนหน้า
   


   ทบทวน การเข้าซื้อขายกราฟราคาแท่งเทียน ด้วยรูปแบบแท่งเทียนกลืนกิน ร่วมกับโครงสร้างของตลาด

   กลยุทธ์การเข้าซื้อขายหลายๆ ครั้งจะใช้รูปแบบกราฟแท่งเทียนในรูปแบบกลืนกิน เป็นการส่งสัญญาณให้เทรดเดอร์ทราบว่า มีการพลิกกลับของแนวโน้มหลักแล้ว  อย่างไรก็ตาม ให้เทรดเดอร์ใช้ประโยชน์จาก กราฟราคาแท่งเทียนที่มีรูปแบบการกลืนเพื่อการทำกำไรอย่างต่อเนื่อง จะเป็นการสร้างโอกาสที่ดีกว่า

   เทรดเดอร์ที่ใช้รูปแบบกราฟราคาแท่งเทียนจำนวนมาก จะรออีกอย่างน้อยหนึ่งแท่งเทียนหลังจาก กราฟราคาเป็นรูปแบบกลืนกินแล้ว เป็นการยืนยัน  แต่บางครั้งสำหรับกลยุทธ์การซื้อขายนี้ เทรดเดอร์ไม่ควรรอการยืนยันอีก ถ้าเทรดเดอร์มีการมองภาพรวมไว้แต่แรกแล้ว เพราะส่วนใหญ่ การรอการยืนยันจะส่งผลต่ออัตราส่วนความเสี่ยงที่มีมากขึ้น

   หากเทรดเดอร์รอการยืนยันการจากกราฟราคาแท่งเทียนอีกครั้ง อาจทำให้อัตราส่วนในการเข้าซื้อขายของเทรดเดอร์ มีอัตราผลตอบแทนที่ไม่ดีนักเมื่อเทียบกับความเสี่ยงต่อครั้ง



   การสังเกตความสูงและต่ำสุดของแกว่งตัวของกราฟราคาแท่งเทียน เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการติดตามแนวโน้มของตลาดในปัจจุบัน โครงสร้างของกราฟราคาแท่งเทียนในตลาด ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมือตัวบ่งชี้ใดๆ แม้ว่าวิธีนี้จะทำให้สัญญาณสับสนในช่วงเวลาที่มีการ ย้อนกลับ (PULL BACK) ของกราฟราคาแท่งเทียนที่ค่อนข้างลงลึก  แต่ความเรียบง่ายของรูปแบบกราฟราคาแท่งเทียนนี้ก็ยังคงเป็นรูปแบบที่น่าสนใจ

   การที่เทรดเดอร์ไม่คำนึงถึงกลยุทธ์การซื้อขาย แต่ไปใส่ใจกับโครงสร้างของกราฟราคาแท่งเทียนในตลาดมากเกินไป อาจทำให้เทรดเดอร์พลาดโอกาส หรือทำให้การเทรดในครั้งนั้นๆ ไม่ถูกต้องมากนัก

   ช่วงที่ตลาดมีการซื้อขายค่อนข้างมาก (เทรดเดอร์เข้ามาทำการซื้อขายมาก) อาจมีกราฟราคารูปแบบกลืนกินจำนวนมาก แต่ให้สังเกตดูว่า หลายๆครั้ง รูปแบบกลืนกินดังกล่าว ไม่ได้เป็นไปตามแนวโน้มหลัก  ให้เทรดเดอร์เพิ่มความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงสัญญาณการเข้าซื้อขายในช่วงที่ตลาดไม่มีแนวโน้ม (SIDE WAY) ให้เทรดเดอร์พยายามมองหา การแกว่งตัวที่ค่อนข้างชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในการเข้าซื้อขาย

   เพิ่มทักษะในการมองภาพโครงสร้างของกราฟราคาแท่งเทียนในตลาดให้มากๆ จะเป็นวิธีล้ำค่ามาก ในทุกๆ รูปแบบการซื้อขาย
#99


RVI อินดิเคเตอร์ หลายคนที่ใช้ RSI เป็นอินดิเคเตอร์หนึ่งในการกำหนดจังหวะ ซื้อ-ขาย เพราะใช้งานง่าย และสามารถศึกษาได้จากเทรดเดอร์ที่ถ่ายทอดไว้หลายคน แต่อยากจะขอแนะนำ อินดิเคเตอร์เพิ่มเติมที่ใช้ควบคู่กับ RSI ได้ดี โดยสามารถนำไปใส่ซ้อนกันในหน้าต่างเดียวได้เลย

อินดิเคเตอร์นั้นมีชื่อว่า Relative Vigor Index (RVI) ที่มีลักษณะการทำงานคล้าย RSI แต่ถูกปรับให้ Smooth ขึ้น มีเส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้น ช้ากับเร็วเพื่อสร้างจุดตัดที่มีนัยสำคัญ (ตามภาพจะเป็นสีเขียว-แดง) ซึ่งเราสามารถใช้จุดตัดดังกล่าว เปิด ออเดอร์ได้ทันที

 ทั้งนี้จะใช้อินดิเคเตอร์ RSI เพื่อดู Overbought-Oversold เท่านั้น ส่วนการเปิด Buy-Sell สามารถใช้ RVI จากการตัดกันของเส้น และหาเส้นแนวรับ-แนวต้านในตัวอินดิเคเตอร์เดียวได้เลย ซึ่งจากการทดสอบให้ผลที่ดีทั้งในลักษณะของการเล่นสั้นระหว่างวัน หรือการเทรดที่ TF ใหญ่ ขอยกตัวอย่างดังนี้

ตัวอย่างการใช้งาน RVI อินดิเคเตอร์



                                                                         แนวทางการเปิดออเดอร์ SELL 

กรณี Breakout จากภาพ เมื่อกราฟราคาเดินทางจากแนวจุด A ไปยังแนวจุด B จะเห็นว่าอินดิเคเตอร์ RVI (เส้นเขียว-แดง) สร้างจุดต่ำที่ยกตัวขึ้น เกิดเป็นแนวรับเส้นประสีขาวอย่างชัดเจน เมื่อเกิดรูปแบบนี้ขึ้นมาให้เรารอจังหวะ เส้น RVI หลุดแนวรับลงมาที่จุด C จึงทำการเปิดออเดอร์ Sell

กรณี Overbought เมื่อกราฟราคา เดินทางมาถึงจุด D สังเกตเห็นว่าอินดิเคเตอร์ RSI เข้าสู่โซนที่เรียกว่า Overbought (ตัดเส้น 70 ขึ้นไป) จากภาพ ในวงกลมที่ 1 เราจะยังไม่เปิดออเดอร์ในทันที ให้รออินดิเคเตอร์ RVI จนกว่าเส้นสีเขียวตัดเส้นสีแดงลงมาก่อนถึงค่อยโดดเข้าทำกำไร และยังมีจุดวงกลมที่ 2 ที่สามารถเปิดออเดอร์ได้ต่อเนื่อง ข้อสังเกตคือ RSI ยังไม่ตัดเส้น 50 ขึ้นไปมาก และ RVI เส้นสีเขียวตัดเส้นสีแดงลงมาอีกรอบ ทั้งนี้สิ่งสำคัญคือต้องสอดคล้องกับปัจจัยอื่นด้วยเช่น แนวโน้มกราฟเป็นอย่างไร ตลาดคู่เงินที่เราเก็งกำไรมีข่าวในทิศทางเดียวกันหรือไม่ เป็นต้น


 
                                                                           แนวทางการเปิดออเดอร์ Buy

กรณี Oversold เมื่อกราฟราคา เดินทางมาถึงจุด D สังเกตเห็นว่าอินดิเคเตอร์ RSI เข้าสู่โซนที่เรียกว่า Oversold (ตัดเส้น 30 ลงมา) จากภาพ ในวงกลมที่ 1 เราจะยังไม่เปิดออเดอร์ในทันที ให้รออินดิเคเตอร์ RVI จนกว่าเส้นสีเขียวตัดเส้นสีแดงขึ้นไปก่อนถึงค่อยโดดเข้าทำกำไร และยังมีจุดวงกลมที่ 2 ที่สามารถเปิดออเดอร์ได้ต่อเนื่อง

ข้อสังเกตคือ RSI ยังไม่ตัดเส้น 50 ลงไปมาก และ RVI เส้นสีเขียวตัดเส้นสีแดงขึ้นไปอีกรอบ ทั้งนี้สิ่งสำคัญคือต้องสอดคล้องกับปัจจัยอื่นด้วยเช่น แนวต้านบนกราฟราคา เป็นต้น

กรณี Breakout จากภาพ เมื่อกราฟราคาเดินทางจากแนวจุด A ไปยังแนวจุด B จะเห็นว่าอินดิเคเตอร์ RVI (เส้นเขียว-แดง) สร้างจุดสูงที่ลดตัวลง เกิดเป็นแนวต้านเส้นประสีขาวอย่างชัดเจน เมื่อเกิดรูปแบบนี้ขึ้นมาให้เรารอจังหวะ เส้น RVI ทะลุแนวต้านขึ้นไปที่จุด C จึงทำการเปิดออเดอร์ Buy
#100
การเทรด PULL BACK หมายถึง กราฟราคาย้อนกลับ การเทรด PULL BACK สามารถทำกำไรให้คุณได้มาก คุณจะสามารถเทรด PULL BACK ที่คู่สกุลเงินไหนก็ได้ ที่กรอบเวลาใดก็ได้ หรือแม้แต่ที่แนวโน้มใดๆ ก็ยังได้ มันเป็นเรื่องราวของรูปแบบกราฟราคาหรือที่เรียกว่า PATTERN โดยปรกติส่วนมากแล้วรูปแบบใดๆ ที่มีในแนวโน้มขาขึ้นก็จะมีในแนวโน้มขาลงด้วย เพราะกราฟราคามีเพียงแค่ไปแล้วก็มา มาแล้วก็ไป

รูปแบบ PULL BACK นี้ก็เช่นกันการย้อนกลับในแนวโน้มขาลงเราจะเรียกว่า PULL BACK  แต่ถ้าเกิดการย้อนกลับในแนวโน้มขาขึ้นเราจะเรียกว่า THROW BACK  แต่เทรดเดอร์ทั่วไปมักจะเรียกแต่ PULL BACK  และใช้การมองเอาเองว่าแนวโน้มกำลังขึ้นอยู่หรือลงอยู่ การ PULL BACK คือการย้อนกลับของกราฟราคานั่นเอง

กราฟราคาในรูปแบบพื้นฐานของตลาดที่มีแนวโน้มเป็นอย่างไร? ขึ้นอยู่กับแนวโน้มของตลาดใช่ไหม? หากตลาดมีแนวโน้มสูงขึ้นเราคาดว่าจะเห็น HIGHER HIGH และHIGHER LOW และเรายังคาดว่าจะเห็นกราฟราคาสวิงในทิศทางเดิม

นี่เป็นความรู้พื้นฐานที่เทรดเดอร์ทุกคนควรรู้และมันสามารถทำกำไรได้และฉันต้องการแสดงให้คุณเห็นว่าการเทรดแบบ PULL BACK ทำได้อย่างไร

ขั้นตอนแรกเราต้องรู้ก่อนว่า การเทรด PULL BACK มีลักษณะอย่างไร

การเทรดแบบ PULL BACK เป็นการเทรดแบบกราฟราคามีการเคลื่อนไหวโดยเราจะทำการติดตามการเคลื่อนไหวนั้น  มันมักจะมีการหยุดชั่วคราวในช่วงการเคลื่อนไหวของแนวโน้มนั้นๆ ถือเป็นเรื่องปรกติ คุณอาจคิดว่าจะมีการเปลี่ยนแนวโน้มแล้วหลังจากกราฟราคาวิ่งมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแต่ความน่าจะเป็น อาจจะยังคงอยู่ที่แนวโน้มต่อเนื่อง มันยังไม่สิ้นสุด

การหยุดชั่วคราวในแนวโน้มหรือการ PULL BACK S โดยทั่วไปแล้วจะเป็นการย้อนกลับขาข้างเดียว (ย้อนกลับแบบง่าย) หรือบางครั้งก็สองขาสอง (ย้อนกลับแบบซับซ้อน) ในกรอบเวลาที่คุณทำการเทรด อีกสิ่งหนึ่งที่อยากให้คุณทำความเข้าใจคือการมองหา PULL BACK  มักจะเป็นอะไรที่ซับซ้อนในกรอบเวลาที่ต่ำกว่า



จากภาพตัวอย่างคุณจะเห็นว่ามันดูง่ายมีการต่อสู้กันของเทรดเดอร์สองฝั่งแต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่คุณเห็นในกรอบเวลานี้เป็นกรอบเวลาใหญ่และถ้าคุณมองลึกลงไปคุณจะเห็นว่านี่คือการย้อนกลับที่ซับซ้อน ภาพตัวอย่างต่อมาคือการแสดงให้เห็นการย้อนกลับของกรอบเวลาที่เล็กกว่า คุณจะเห็นความซับซ้อนแต่มันคือโครงสร้างที่ดีมากสำหรับ PULL BACK



ตอนนี้เราเห็น PULL BACK แล้วคำถามต่อมาคือเราจะเข้าเทรด PULL BACK ได้อย่างไร?



วิธีการเข้าสู่การเทรดแบบ PULL BACK

1.หางที่ยาวนี้บ่งบอกถึงเทรดเดอร์ฝั่ง BUY ที่ผลักดันให้กราฟราคาขึ้นไป สำหรับกรอบเวลานี้มันเป็น PULL BACK ง่ายๆ ที่สามารถมองออกได้แต่ในกรอบเวลาที่ต่ำกว่านี้อาจมีความสับสนเล็กน้อย
2.ส่วนที่สองของการ PULL BACK  คุณจะเห็นว่ามีราคาปิดของกราฟราคาที่ต่ำกว่าตำแหน่ง A ในจุดนี้นี่เองที่มักสร้างความสับสนให้เทรดเดอร์มือใหม่ เพราะมักคิดว่ากราฟราคาจะลงมาแล้วตามการ BREAK OUT ทางแก้ไขคือให้คุณรอให้แน่ใจว่ากราฟราคาในแท่งต่อไปจะทำอะไรก่อน
3.กราฟราคาสามารถทำการทดสอบแนวรับฝั่งซ้ายมือได้ เป็นการ PULL BACK  ที่ยืนยันสำหรับเทรดเดอร์ฝั่ง BUY อีกครั้งที่พร้อมจะผลักดันให้กราฟราคาขึ้นไปต่อได้ ตำแหน่งนี้เองที่เป็นการยืนยันในการ PULL BACK และเราสามารถเข้าทำการเทรดในช่วงของการปิดกราฟแท่ง C นี้ได้



ในภาพตัวอย่างนี้ เป็นตัวอย่างของการ PULL BACK สองขา จากรูปแบบแท่งเทียน มันทำช่วงช่องแนวรับ แนวต้านในตัวเอง มีการทดสอบแนวรับเป็นครั้งที่สอง ก่อนจะสามารถ BREAK OUT แนวต้านออกไปได้ ในตำแหน่ง A เป็นจุดเริ่มต้นของการ PULL BACK  ก่อนหน้านี้ กราฟราคาได้มีการเด้งขึ้นไป และทดสอบอยู่หลายครั้ง

ทำให้เกิดแนวต้านขึ้น และเมื่อกราฟราคาทำ PULL BACK ครั้งที่สอง เป็นการยืนยันของเทรดเดอร์ฝั่ง BUY อีกครั้งตำแหน่งนี้ เราสามารถออกคำสั่งเทรดได้ และเมื่อกราฟราคาสามารถทำการ BREAK OUT แนวต้านทางซ้ายมือได้ เราก็ยังสามารถออกคำสั่งเทรดได้อีกหนึ่งไม้

การเทรดแบบ BREAK OUT เป็นอีกหัวข้อ ของการเทรดด้วยรูปแบบกราฟราคา มันจะมีความคล้ายคลึงกับการเทรด PULL BACK ก็ตรงที่มันสามารถทำการเทรดได้ตลอดเวลา ทุกแนวโน้ม ทุกกรอบเวลา ทุกคู่สกุลเงิน

มีเทรดเดอร์จำนวนมาก ที่ทำการเทรดโดยการใช้เพียงแค่เส้นแนวรับ แนวต้านบวกกับประสบการณ์ส่วนตัวในการมองแนวโน้มให้ออกว่าเป็นแนวโน้มใดเพื่อทำการเทรด โดยอาจใช้การเทรดเพียงสองรูปแบบเท่านั้น คุณคงคิดออกว่ารูปแบบใด ตำตอบคือใช่! รูปแบบ PULL BACK กับรูปแบบ BREAK OUT แล้วยังมีวิธีอื่นๆ อีกที่คุณสามารถใช้สำหรับการมองหาการ PULL BACK ได้และวิธียอดนิยมเหล่านี้ยังรวมถึงการใช้อินดิเคเตอร์ต่างๆ หรือแม้แต่ LEVEL ของ FIBONACCI

ให้คุณทำความเข้าใจกับการเคลื่อนไหวของโครงสร้างราคาและทำการเทรดเป็นรอบ ๆ ในช่วงแรกคุณอาจจะเข้าทำการเทรดด้วยระยะการทำกำไรไม่มากนัก เพราะคุณอาจจะยังมองไม่เห็นแนวโน้มที่ชัดเจนนักว่าจะเป็นแนวโน้มต่อเนื่องหรือแนวโน้มย้อนกลับ แต่หากคุณทำการฝึกฝนมองโครงสร้างกราฟราคาบ่อยๆ คุณจะเข้าใจในธรรมชาติของคู่สกุลเงินที่คุณทำการเทรด