EURGBP
ภาพในกรอบเวลา Daily ราคาสร้างรูปแบบที่บ่งบอกถึงโอกาสที่จะกลับตัวลงอย่าง Double Top จากนั้นราคาได้ร่วงลงมาปิดอยู่ใต้เส้น Neckline เป็นสัญญาณยืนยันว่ารูปแบบกลับตัวที่เกิดขึ้นสมบูรณ์ จากภาพดังกล่าวทำให้เรามองว่ามีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวลงตาม Chart Pattern ที่เกิด มองหาจังหวะเข้า Sell โดยตั้งจุดตัดขาดทุนและคาดหวังเป้าหมายทำกำไรตามภาพประกอบ
You cannot view this attachment.

EURNZD
ภาพในกรอบเวลา Daily โครงสร้างของราคามีสวิงโลวล่าสุดต่ำลงเมื่อเทียบกับสวิงก่อนหน้า เรามองว่านี่อาจเป็นสัญญาณแรกของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มจากขาขึ้นไปสู่ขาลง
ตำแหน่งปัจจุบัน เราสังเกตุเห็นว่าราคาสร้างรูปแบบที่บ่งบอกถึงโอกาสที่จะกลับตัวลงอย่าง Double Top รอให้ราคาลงมาปิดใต้เส้น Neckline เป็นการยืนยันรูปแบบกลับตัวค่อยมองหาจังหวะเข้า Sell โดยตั้งจุดตัดขาดทุนและคาดหวังเป้าหมายทำกำไรตามภาพประกอบ
You cannot view this attachment.

GBPNZD
ภาพในกรอบเวลา Daily โครงสร้างของราคามีสวิงไฮและสวิงโลวล่าสุดต่ำลงเมื่อเทียบกับสวิงก่อนหน้า จากภาพดังกล่าวทำให้เรามองว่าแนวโน้มในกรอบเวลานี้อยู่ในขาลง
ตำแหน่งปัจจุบัน ราคาดีดตัวกลับขึ้นมาที่ Supply Zone เป็นตำแหน่งที่เรามองว่ามีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวลงต่อตามแนวโน้มเดิมจากบริเวณนี้ มองหาจังหวะเข้า Sell โดยตั้งจุดตัดขาดทุนและคาดหวังเป้าหมายทำกำไรตามภาพประกอบ
You cannot view this attachment.

Stochastic Oscillator (STO) ถูกคิดค้นและพัฒนามาโดย Dr. George C. Lane เป็น indicator ที่เหมาะกับการวิเคราะห์ในตลาดที่เป็น Sideways รวมทั้งการลงทุนหรือเก็งกำไรในระยะสั้น หลักการทำงานของ STO คือ จะเคลื่อนไหวตาม momentum ของราคา (ไม่ได้เคลื่อนไหวไปตามแนวโน้ม หรือปริมาณการซื้อ-ขาย) ซึ่งโดยปกติ การเปลี่ยนทิศทางของ momentum นั้น จะเกิดขึ้นก่อนการเปลี่ยนทิศทางของราคา  ฉนั้น STO จึงใช้บอกสัญญาณเตือนการกลับตัวของราคาที่อาจเกิดขึ้นได้

ประโยชน์และการนำไปใช้งาน

- พยากรณ์การกลับตัวของ momentum (Predict Momentum Reversal)
- บอกภาวะการซื้อหรือขายที่มากไป (Overbought – Oversold identification)
- บอกจุด ซื้อ-ขาย

1. พยากรณ์การกลับตัวของ momentum (Predict Momentum Reversal) ประกอบด้วย

 - ทำนายการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง (Bearish Divergence)
 - ทำนายการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น (Bullish Divergence)

ตัวอย่าง ทำนายการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง (Bearish Divergence)



ตัวอย่าง ทำนายกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น (Bullish Divergence)



2. บอกภาวะการซื้อหรือขายที่มากไป (Overbought – Oversold identification)

2.1 บอกภาวะการซื้อที่มากเกินไป (OverBought identification) ภาวะที่ซื้อมากเกินไป คืออุปสงค์มีมากกว่าอุปทาน ตามหลักเศรษฐศาสตร์ ราคามีโอกาสที่จะปรับตัวลดลง เนื่องจากความไม่สมดุลที่เกิดขึ้น โดยสัญญาณของ Stochastic จะบ่งชี้ถึงภาวะ Overbought เมื่อ %K > 80 เป็นต้นไป และจะเข้าสู่ภาวะ Super overbought เมื่อ %K > 90



2.2 บอกภาวะการขายที่มากเกินไป (Oversold identification) ภาวะขายที่มากเกินไป คืออุปสงค์มีน้อยกว่าอุปทาน ตามหลักเศรษฐศาสตร์ ราคามีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากความไม่สมดุลที่เกิดขึ้น โดยสัญญาณของ Stochastic จะบ่งชี้ถึงภาวะ Oversold เมื่อ %K < 20 เป็นต้นไป และจะเข้าสู่ภาวะ Super oversold เมื่อ %K < 10



3. บอกจุด ซื้อ-ขาย (Entry & Exit identification)

การนำ indicator STO มาเป็นสัญญาณบอก การซื้อหรือขายนั้น สามารถแยกได้ดังนี้คือ

- ซื้อเมื่อเส้น %K ตกลงในเขต Oversold แล้วดีดกลับขึ้นสูงกว่า 20
  ขายเมื่อเส้น %K ขึ้นในเขต Overbought แล้วดีดกลับลงมาน้อยกว่า 80
- ซื้อเมื่อเส้น %K ตัดขึ้นเหนือ %D และขายเมื่อเส้น %K ตัดลงต่ำกว่า %D
- หาจังหวะการซื้อหรือขายจากการเกิด Bullish & Bearish Divergence

3.1 ซื้อเมื่อเส้น %K ตกลงในเขต Oversold แล้วดีดกลับขึ้นสูงกว่า 20 และ ขายเมื่อเส้น %K ขึ้นในเขต Overbought แล้วดีดกลับลงมาน้อยกว่า 80



3.2 ซื้อเมื่อเส้น %K ตัดขึ้นเหนือ %D และขายเมื่อเส้น %K ตัดลงต่ำกว่า %D



3.3 หาจังหวะการซื้อหรือขายจากการเกิด Bullish & Bearish Divergence

ตัวอย่าง จังหวะการขายจาก Bearish Divergence (การกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง)



ตัวอย่าง จังหวะการซื้อจาก Bullish Divergence (การกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น)



ข้อที่ควรคำนึงจากการนำ STO มาใช้

1. Stochastic Oscillator เป็น indicator ประเภท momentum oscillator ใช้เป็นสัญญาณซื้อ-ขายได้ดี (แม่นยำ) ก็ต้องเมื่อตลาดเป็น Sideway (ตลาดที่ไม่เกิดแนวโน้ม) เนื่องจากตลาดมีการแกว่งตัวขึ้นลงไปมา

2. ถ้าเป็นตลาดขาขึ้น (Uptrend) STO จะให้สัญญาณซื้อได้ดีกว่าสัญญาณขาย

3. ถ้าเป็นตลาดขาลง (Downtrend)  STO จะให้สัญญาณขายได้ดีกว่าสัญญาณซื้อ

4. ความแม่นยำของ Bullish & Bearish Divergence นั้น จำเป็นต้องดูแนวโน้มประกอบด้วย

SELL : BTCUSD
จุดเข้า : ตอนนี้

TP : 36300
SL : 38300

GOLD
ภาพในกรอบเวลา Daily โครงสร้างของราคามีสวิงไฮและสวิงโลวล่าสุดสูงขึ้นเมื่อเทียบกับสวิงก่อนหน้า อีกทั้งราคายังเคลื่อนที่อยู่ภายในกรอบ Uptrend Channel จากภาพดังกล่าวทำให้เรามองว่าแนวโน้มในกรอบเวลานี้อยู่ในขาขึ้น
ตำแหน่งปัจจุบัน ราคาเพิ่งจะทะลุขึ้นมาทำสวิงไฮใหม่ยกตัวสูงขึ้นอยู่เหนือแนวต้าน ถือเป็นสัญญาณยืนยันการไปต่อในแนวโน้มขาขึ้น มองหาจังหวะเข้า Buy โดยตั้งจุดตัดขาดทุนและคาดหวังเป้าหมายทำกำไรตามภาพประกอบ
You cannot view this attachment.

USDJPY
ภาพในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง โครงสร้างของราคามีสวิงไฮและสวิงโลวล่าสุดต่ำลงเมื่อเทียบกับสวิงก่อนหน้า จากภาพดังกล่าวทำให้เรามองว่าแนวโน้มในกรอบเวลานี้อยู่ในขาลง
ตำแหน่งปัจจุบัน ราคาดีดตัวกลับขึ้นมาที่ Supply Zone แล้วมีแรงขายกลับลงมา ทำให้เรามองว่าราคาน่าจะลงไปสร้างสวิงโลวใหม่ต่ำลงต่อไป มองหาจังหวะเข้า Sell โดยตั้งจุดตัดขาดทุนและคาดหวังเป้าหมายทำกำไรตามภาพประกอบ
You cannot view this attachment.

NZDUSD
ภาพในกรอบเวลา Daily ราคาสร้างรูปแบบที่บ่งบอกถึงโอกาสที่จะกลับตัวขึ้นอย่าง Bear Trap จากนั้นราคาได้ทะลุขึ้นมาปิดอยู่เหนือเส้น Neckline เป็นสัญญาณยืนยันว่ารูปแบบกลับตัวที่เกิดขึ้นสมบูรณ์ จากภาพดังกล่าวทำให้เรามองว่ามีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวขึ้นตาม Chart Pattern ที่เกิด มองหาจังหวะเข้า Buy โดยตั้งจุดตัดขาดทุนและคาดหวังเป้าหมายทำกำไรตามภาพประกอบ
You cannot view this attachment.

TREND IS YOUR FRIEND วลีนี้เทรดเดอร์ทุกคนต้องเคยได้ยิน และแทบเป็นข้อบังคับกลายๆ ว่า ให้ทำ การเทรดไปตามเทรนด์ จะได้กำไรมากกว่าด้วยซ้ำไป ยิ่งถ้ากราฟราคาทำเทรนด์ไปในทิศทางเดียวกัน ในคู่สกุลเงินใดก็ตาม ยิ่งสมควรที่จะเทรดไปตามเทรนด์ ข้อดีของการเทรดไปตามเทรนด์มีมากมาย และเชื่อว่า เทรดเดอร์ทุกคนคงหาอ่านได้ไม่ยากนัก แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงการเทรดตามเทรนด์ที่สามารถทำลายพอร์ตการเทรดของคุณได้ ถ้าคุณปล่อยให้มันทำ

วิธีที่ง่ายที่สุดในการสร้างรายได้ในฐานะเทรดเดอร์คือการเทรดโดยมีแนวโน้มกราฟรายวันที่โดดเด่น อย่างไรก็ตามในช่วงจังหวะของการรอก็ทำให้เทรดเดอร์หลายคนทนรอไม่ได้หรือมองไม่ออกว่าควรทำอย่างไรต่อไป บทความนี้จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการทำผิดพลาดครั้งใหญ่และยังทำให้คุณเห็นว่า TREND IS YOUR FRIEND เป็นอย่างไร?

การเทรดไปตามเทรนด์ อย่าเทรดสวนทางกับแนวโน้มหลัก

เมื่อตลาดกำลังมีแนวโน้ม ตลาดเองต้องการที่จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางของแนวโน้มนั้นๆ เพราะมันคือการวิ่งไปแบบไม่มีแรงต้านและเมื่อตลาดมีแนวโน้มมันจะสร้างความแข็งแกร่งในทิศทางของเทรนด์และจากนั้นมันมักจะย้อนกลับ โดยทั่วไปหมายถึงราคาจะหมุนกลับไปเป็นราคาค่าเฉลี่ยเดิม

เมื่อคุณรู้ถึงการย้อนกลับนี้แล้ว เราจะมีโอกาสในการเข้าเทรดในพื้นที่พิเศษนี้ได้ มันเป็นการเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการเทรดอย่างมีนัยสำคัญ

ลองมาดูภาพตัวอย่างด้านล่างนี้ ดูวิธีการเข้าเทรดจากภายในเทรนด์และวิธีที่อาจจะสูญเสียจากการเข้าเทรดภายในเทรนด์ ตัวอย่างนี้เป็นกราฟราคากรอบรายวัน เราจะทำการเทรดตามแนวโน้มที่ไม่มีแรงต้าน(แนวโน้มขาลง) โดยใช้อินดิเคเตอร์เส้นค่าเฉลี่ยราคาเคลื่อนที่ EMA 8 สีแดงและ 21 สีน้ำเงิน เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ตอนนี้เรากำลังพูดถึงราคาค่าเฉลี่ย เพื่อมองหาพื้นที่พิเศษสำหรับการเข้าเทรด SELL ตามแนวโน้มของเทรนด์ที่เรามองเห็นเป็นขาลงตั้งแต่แรก




ให้สังเกตกราฟแท่งเทียนรูปแบบ PIN BAR มันจะเป็นสัญญาณเทรด SELL โดยปรกติที่บริเวณเส้น EMA มักจะมีรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวและในแนวโน้มที่แข็งแกร่งกราฟราคามักจะเคารพหรือเชื่อฟังโซนแนวต้านที่พบเห็นโดยมักจะย้อนกลับลงมาตามรูปแบบแท่งเทียน และในตัวอย่างข้างต้นนี้ก็เช่นกัน มันมีแนวโน้มที่ค่อนข้างแข็งแกร่งเราไม่ควรที่จะทำการเทรดสวนทางกับแนวโน้มหลัก

ตัวอย่างในอีกมุมหนึ่ง

คราวนี้เรามาดูภาพตัวอย่างเดิม ในอีกมุมมองหนึ่ง (แถบสีน้ำเงิน ให้สมมุติว่า กราฟราคายังไม่เกิดขึ้น) ทั้งที่มีแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง แต่เราจะเห็นกราฟรูปแบบ PIN BAR ที่แสดงด้านล่าง และแน่นอนว่า มีเทรดเดอร์บางคนหมกมุ่นอยู่กับ การพยายามเลือกจุดต่ำสุด เพื่อทำการเทรด BUY ขึ้นไป โดยจะคิดว่า ตนเองได้ตำแหน่งเทรดที่ต้นทาง เทรดเดอร์เหล่านี้พยายามที่จะทำการเทรด BUY จาก PIN BAR ที่สวนทางกับแนวโน้มหลัก เห็นได้ชัดว่า พวกเขาสูญเสียเงิน ไปกับการเทรด ยิ่งถ้าพวกเขาไม่มี STOP LOSS ก็ยิ่งเป็นการทำลายพอร์ตการเทรด ของพวกเขาเร็วขึ้น




คราวนี้เรามาดูตัวอย่างถัดไป ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งกันบ้าง มันเป็นแนวโน้มที่ชัดเจน เรายังคงใช้เส้น EMA 21 สีน้ำเงินอยู่ โดยเราจะมองหาการเข้าเทรด BUY ตามแนวโน้มที่เราเห็น ใช่! เราจะมองหารูปแบบการกลับตัว มีหลายรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว แต่ตัวยอดนิยมคือ PIN BAR ในรูปแบบแท่งเทียน PIN BAR มีการต่อสู้กันของเทรดเดอร์สองฝั่ง (ส่วนนี้ คุณต้องไปศึกษา ในเรื่องราวของรูปแบบแท่งเทียน อีกครั้ง)

กลับมาที่กราฟราคา ในตัวอย่างกันอีกครั้ง การวิ่งของแท่งเทียน ที่ใกล้กับเส้น EMA 21 ในกราฟแท่งเทียนรูปแบบ PIN BAR เป็นการขึ้น และมีการย่อตัวลงมาแตะ ที่บริเวณเส้น EMA 21 แล้วทำรูปแบบแท่งเทียนแล้ววิ่งขึ้นไปอีก วนไปมาแบบนี้ จนกว่าจะหมดแนวโน้มขาขึ้น ที่แข็งแกร่ง เราจะทำกำไรจากการเทรด BUY ไม้ที่สองหรือสามได้




จากในภาพตัวอย่างเดิม เราจะมองเห็นการวิ่งย้อนกลับมาที่เส้น EMA 21 และทำรูปแบบ PIN BAR เพื่อวิ่งไปตามแนวโน้มหลักอีกครั้ง จังหวะนี้เอง ที่มีเทรดเดอร์หลายคน พยามยามจะทำการเทรดสวนแนวโน้ม โดยการมองหาสัญญาณเทรด SELL จากรูปแบบแท่งเทียน ซึ่งมีทั้ง BEARISH ENGULAFING, PIN BAR ที่ซึ่งทำให้เทรดเดอร์มีความคิด ที่จะเทรดสวนเทรนด์นั่นเอง แต่อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า แนวโน้มหลักเป็นแนวโน้มขาขึ้น ดังนั้น อย่าคิดต่อสู้กับมัน จะเป็นการป้องกันพอร์ตของเทรดเดอร์มากกว่า

ทั้งนี้ ถ้าตัวเทรดเดอร์มีความชำนาญมากพอ กับการเทรดหรือมีการวางแผนป้องกันความเสี่ยงที่ดีพอ เทรดเดอร์เองสามารถ ที่จะทำการเทรด SELL สั้นๆ ลงมาที่เส้น EMA และปิดทำกำไรก่อนที่จะเทรด BUY ตามแนวโน้มหลักขึ้นไปได้เช่นกัน



ข้อสรุป การเทรดไปตามเทรนด์

จากตัวอย่าง ที่แสดงอยู่ด้านบน เทรดเดอร์จะเห็นชัดเจนมากขึ้นว่า การเทรดสวนกับแนวโน้มหลัก เป็นอันตรายอย่างไรบ้าง และยังคงมีเทรดเดอร์ที่มีแนวโน้ม ที่จะลองและทำการเทรดทั้งสองด้าน ของแนวโน้ม ซึ่งการทำเช่นนั้น พวกเขามักจะให้ผลกำไรส่วนใหญ่ หรือทั้งหมดที่พวกเขาทำได้ จากการเทรดฝั่งแนวโน้มหลัก คืนสู่ตลาด นี่เป็นหนึ่งในข้อผิดพลาด ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ตัวเทรดเดอร์เอง อาจมองไม่เห็นบางครั้ง ดูเหมือนจะเก็บกำไรจากฝั่งแนวโน้มหลักขึ้นมาได้ทัน แต่บ่อยครั้งที่ทำไม่ได้

คุณควรสร้างระบบ และทำให้มันเป็น หนึ่งในเป้าหมายการเทรด ที่ใหญ่ที่สุดของคุณให้ได้ เพื่อให้สอดคล้อง กับแนวโน้มของตลาดที่สำคัญ

SELL : XAUUSD
จุดเข้า : ตอนนี้

TP : 2001
SL : 2022

USDCAD
ภาพในกรอบเวลา Daily ราคาสร้างรูปแบบที่บ่งบอกถึงโอกาสที่จะกลับตัวลงอย่าง Head and Shoulder จากนั้นราคาได้ร่วงลงมาปิดอยู่ใต้เส้น Neckline เป็นสัญญาณยืนยันว่ารูปแบบกลับตัวที่เกิดขึ้นสมบูรณ์ จากภาพดังกล่าวทำให้เรามองว่ามีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวลงตาม Chart Pattern ที่เกิด มองหาจังหวะเข้า Sell โดยตั้งจุดตัดขาดทุนและคาดหวังเป้าหมายทำกำไรตามภาพประกอบ
You cannot view this attachment.

NZDCAD
ภาพในกรอบเวลา Daily โครงสร้างของราคามีสวิงไฮและสวิงโลวล่าสุดสูงขึ้นเมื่อเทียบกับสวิงก่อนหน้า อีกทั้งราคาทะลุขึ้นมาเคลื่อนที่อยู่เหนือ Resistance Trendline เรามองว่านี่อาจเป็นสัญญาณแรกของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มจากขาลงมาเป็นขาขึ้น
ตำแหน่งปัจจุบัน ราคาเพิ่งจะทะลุขึ้นมาทำสวิงไฮใหม่ยกตัวสูงขึ้นอยู่เหนือแนวต้านมีผลทำให้แนวต้านเดิมเปลี่ยนมาเป็นแนวรับและถือเป็นสัญญาณยืนยันว่าราคาจะขึ้นต่อ มองหาจังหวะเข้า Buy โดยตั้งจุดตัดขาดทุนและคาดหวังเป้าหมายทำกำไรตามภาพประกอบ
You cannot view this attachment.

EURUSD
ภาพในกรอบเวลา Daily ราคาสร้างรูปแบบที่บ่งบอกถึงโอกาสที่จะกลับตัวลงอย่าง Bearish QM Pattern
ตำแหน่งปัจจุบัน ราคาดีดตัวกลับขึ้นมาที่ Fibonacci Retracement Zone ถัดขึ้นไปด้านบนมี Resistance เป็นตำแหน่งที่เรามองว่ามีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวลงจากบริเวณนี้ มองหาสัญญาณกลับตัวลงเพื่อเข้า Sell โดยตั้งจุดตัดขาดทุนและคาดหวังเป้าหมายทำกำไรตามภาพประกอบ
You cannot view this attachment.

Money Flow Index เป็นเครื่องมือใช้ข้อมูลของราคาและปริมาณ Volume เพื่อวัดแรงซื้อแรงขาย ไว้หาจุดกลับตัวของราคาได้เป็นอย่างดี ซึ่งถูกคิดค้นและพัฒนาโดย Gene Quong และ Avrum Soudack
 
การวิเคราะห์
 
Money Flow Index (MFI) จะวิเคราะห์คล้ายกับ RSI แตกต่างกันที่ MFI มีปริมาณการซื้อขายเข้ามาคำนวณด้วย ซึ่งผู้คิดค้นเครื่องมือนี้ Quong และ Soudack ได้พูดถึงการใช้เครื่องมือนี้ในการเทรดอยู่ 3 วิธีการ คือ
1.Overbought/Oversold
2.Divergence
3.Failure Swings

Overbought/Oversold
 
ในช่วงที่ MFI เข้าสู่ภาวะ Overbought/Oversold สามารถบ่งชี้ได้ว่า ราคาอยู่ในช่วง Extreme (ปลายแนวโน้ม) ซึ่งมีโอกาสเปลี่ยนแนวโน้มเกิดขึ้น
 
      - MFI ต่ำกว่าระดับ 20 เป็นภาวะ Oversold : ราคามีโอกาสกลับตัวขึ้น
      - MFI สูงกว่าระดับ 80 เป็นภาวะ Overbought : ราคามีโอกาสกลับตัวลง



ตัวอย่างกราฟช่วงที่ MFI ขึ้นเหนือระดับ 80 เป็นภาวะ Overbought (โซนสีแดง) เป็นสัญญาณเตือนว่าราคาขึ้นมามากเกินไป มีโอกาสที่จะพักตัวเกิดขึ้นได้ และในช่วงที่ MFI ลงต่ำกว่าระดับ 20 เป็นภาวะ Oversold (โซนสีเขียว) เป็นสัญญาณเตือนว่าราคาลงมามากเกินไป มีโอกาสฟื้นตัวในอนาคต
 
Divergence และ Failure Swings
 
Bullish Failure Swings เป็นจังหวะที่ MFI ขึ้นสูงกว่าระดับ 80 ในรอบแรก แต่ในรอบที่สองไม่สามารถขึ้นสูงกว่าระดับ 80 ได้ และ MFI ได้ทำ Low ใหม่
 
ส่วน Bearish Failure Swings ก็เป็นจังหวะที่ MFI ลงต่ำกว่าระดับ 20 ในรอบแรก ส่วนในรอบที่สองกลับไม่ลงต่ำกว่าระดับ 20 และ MFI ได้ทำ High ใหม่
 
ซึ่งการเกิด Divergence พร้อมกับ Failure Swings สามารถบ่งชี้ได้ถึงสัญญาณการกลับตัวของราคาได้ดีอย่างยิ่งเลยทีเดียว



ตัวอย่างข้างต้นเป็นการเกิดสัญญาณ Bearish Divergence และ Bearish Failure Swing โดยในเส้นสีชมพู ราคาเกิดสัญญาณ Bearish Divergence กับ MFI ส่วนเส้นสีเหลืองเป็นการยืนยันรอบของ Bearish Failure Swing เป็นสัญญาณการเข้าสู่รอบขาลง
 
สรุป
 
Money Flow Index เป็นการนำหลักการของโมเมนตัมและปริมาณการซื้อขายมาพิจารณา สูตรจะคล้ายกับ RSI แต่ต่างกันที่ MFI ใช้ Volume เข้ามาเกี่ยวข้อง สามารถใช้ในการจับจังหวะการเปลี่ยนแนวโน้มของราคาได้ดี โดยสามารถดูได้จาก Overbought/Oversold และ Divergence + Failure swing ซึ่งเทรดเดอร์สามารถนำเครื่องมืออื่น ๆ มาสร้างเป็นกลยุทธ์การเทรดของ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการใช้งานให้ดียิ่งขึ้นไปได้อีกด้วย