ข่าว:

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - support-1

#1
Pullback trading หรือการเข้าซื้อขายแบบกราฟวิ่งย้อนกลับ กลยุทธ์นี้เป็นวิธีการซื้อขายทั่วๆ ไป เทรดเดอร์รายใหม่ จะชอบความเรียบง่าย และเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์มากๆ จะชอบที่จะอยู่ฝั่งเดียวกับแนวโน้มของเทรน แต่การเข้าสู่ตลาดในขณะที่ ตลาดกำลังทำการ Pullback หรือวิ่งย้อนกลับนั้นเป็นเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้น ตัวเทรดเดอร์เอง จำเป็นที่จะต้องมีความระมัดระวังในการป้องกันความเสี่ยงของตัวเอง และยังต้องรักษาผลกำไรไว้อย่างรอบคอบอีกด้วย

จากที่กล่าวมา สิ่งที่เทรดเดอร์ต้องทำคือ เทรดเดอร์จำเป็น ต้องหยุดการขาดทุนและจัดการหา  กลยุทธ์วิธีการทำกำไรในตำแหน่งที่เทรดเดอร์เข้าตลาดให้ได้
ในบทความนี้ เทรดเดอร์จะได้เรียนรู้ กลยุทธ์การจัดการกับตำแหน่งหรือจุดในการเข้าเทรด โดยมี 3 หัวข้อใหญ่ คือ

1. กำหนดจุด หยุดการขาดทุนในขั้นต้น

2. กำหนดจุด เป้าหมายของการทำกำไร

3. ติดตามเส้นทางของการหยุดการขาดทุน

ภาพตัวอย่าง ด้านล่าง เป็น ระบบการเทรดแบบพื้นฐาน คือการรอให้กราฟ เบรคราคาและรอให้กราฟวิ่งย้อนกลับมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นการออกแบบมาเป็นอย่างดีสำหรับกลยุทธ์การซื้อขายแบบกราฟวิ่งย้อนกลับ (Pullback trading) ถ้าตัวเทรดเดอร์เอง ฝึกฝนบ่อยๆ และคุ้นเคยกับกลยุทธ์นี้ มันจะเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมาก

แต่อย่างไรก็ตามตัวเทรดเดอร์เองก็สามารถปรับใช้เทคนิคเหล่านี้กับ วิธีการเทรดทุกๆ คู่เงินหรือทุกๆ ช่วงเวลาของการวิ่งย้อนกลับของกราฟเลยทีเดียว

# 1: กำหนดจุด หยุดการขาดทุนในขั้นต้น

-   การหยุดการขาดทุนขั้นต้น เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ อันดับแรกต้องจำกัดความเสี่ยงของคุณ

-   อันดับสองต้องมีพื้นฐานในการคำนวณอัตราส่วนระหว่างความเสี่ยงต่อผลตอบแทนของคุณ

-   รูปแบบของการหยุด (การขาดทุน) หรือการมองเห็นจุดที่เทรดเดอร์จะหยุดเทรด รูปแบบการหยุด คือวิธีการ มองหาจุดที่จะเข้าเทรด ในช่วงการเกิดรูปแบบการวิ่งย้อนกลับของกราฟ (Pullback setup) นั่นเอง

-   การมองหาจุดการหยุดขาดทุนจาก รูปแบบของแท่งเทียน แนวความคิดในการมองรูปแบบแท่งเทียน เป็นได้ทั้งในช่วงที่ ให้เทรดเดอร์มีจุดเข้าสู่ตลาด และออกจากตลาดได้เช่นกัน

การคาดหวังของเทรดเดอร์ ในการมองหาจุดที่จะเข้าเทรดในรูปแบบการวิ่งย้อนกลับของกราฟ มักจะทำให้เทรดเดอร์เองได้ไปพร้อมกันกับแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นด้วย ดังนั้นรูปแบบการหยุดนี้ คือรูปแบบความคิดที่มีเหตุผลเป็นไปได้ค่อนข้างมาก

You cannot view this attachment.

# 2: ตั้งเป้าหมาย ของการทำกำไรโดยมีการจำกัด การเปิดคำสั่งซื้อหรือคำสั่งขาย

-   การกำหนดเป้าหมายของกำไรจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเปิดคำสั่งซื้อหรือขายได้ อย่างมีระเบียบวินัย ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับความโลภและการคาดเดาราคาซึ่งจะทำให้ตัวเทรดเดอร์เองเกิดความลังเล

-   ในทางเทคนิค เทรดเดอร์มักจะมองหา บริเวณแนวรับหรือแนวต้าน ไว้เป็นเป้าหมายในการทำกำไร เทรดเดอร์สามารถแยกแยะโซนเหล่านี้ได้โดยดูจากบริเวณที่ราคาเคยไปอยู่บริเวณใด บริเวณหนึ่งนานๆ หรือดูจากจุดกลับตัวที่มีความหมาย และเป้าหมายที่ไตร่ตรองไว้แล้วโดยใช้รูปแบบแท่งเทียนมาวิเคราะห์อีกครั้ง

-   สำหรับการออกคำสั่งซื้อในกลยุทธ์แบบราคาย้อนกลับ ให้เทรดเดอร์กำหนดเป้าหมายกำไรในบริเวณที่เป็นแนวต้าน เพราะบริเวณโซนเหล่านี้คือโซนที่ราคาในตลาดอาจย้อนกลับลงได้

-   สำหรับการออกคำสั่งขายในกลยุทธ์แบบราคาย้อนกลับ ให้เทรดเดอร์กำหนดเป้าหมายกำไรในบริเวณที่เป็นแนวรับ เพราะบริเวณโซนเหล่านี้คือโซนที่ราคาในตลาดอาจย้อนกลับขึ้นไปได้

You cannot view this attachment.

การมีเป้าหมายราคาพร้อมด้วยจุดในการหยุดการขาดทุน จะช่วยให้เทรดเดอร์ทราบถึงอัตราส่วน ความคุ้มค่าของผลตอบแทนที่มีต่อความเสี่ยง เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ มักจะใช้การเทรดแบบราคาย้อนกลับ (pullback) เพียงอย่างเดียว ในขณะที่เทรดเดอร์เองก็คาดว่าจะเป็นการแนวโน้มที่เริ่มต้นใหม่ ดังนั้นเทรดเดอร์ควรรักษากำไรไว้ที่แนวโน้มล่าสุดก่อน
ในบางสถานการณ์ เทรดเดอร์อาจพบว่าการเทรดแบบที่ว่านี้เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ผลกำไรของเทรดเดอร์วิ่งต่อไปอีก ในกรณีดังกล่าว เทรดเดอร์เองอาจต้องใช้เครื่องมืออีกอันหนึ่ง ชื่อว่า trailing stop ให้เข้าใจง่ายขึ้น เรียกว่า การหยุดขาดทุนแบบเลื่อนราคาตาม

# 3: การหยุดขาดทุนแบบเลื่อนราคาตาม

การหยุดขาดทุนแบบเลื่อนราคาตาม คือคำสั่งหยุดการขาดทุนที่สามารถเลื่อนตามราคาจริงไปได้ มันเป็นกลยุทธ์การจัดการตำแหน่งการหยุดการขาดทุน ที่เป็นที่นิยมสำหรับเทรดเดอร์จำนวนมาก ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะวิธีหยุดการขาดทุนแบบนี้ ทำให้ประสบความสำเร็จในหลายวัตถุประสงค์

-   ลดความเสี่ยงของเทรดเดอร์เมื่อเวลาผ่านไป

-   รักษาผลกำไรของเทรดเดอร์

-   ช่วยให้สามารถเพิ่มกำไรได้ในสถานการณ์ที่เหมาะสม

การหยุดขาดทุนแบบเลื่อนราคาตาม หลังจากที่ราคาเลื่อนไป กลยุทธ์นี้แข็งแรงและทำงานได้ดีที่สุดเมื่อเทรดเดอร์คาดหวังว่า จะมีคลื่นราคาที่แข็งแกร่ง

You cannot view this attachment.

คำแนะนำสำหรับเทรดเดอร์รายใหม่

มันเป็นเรื่องง่ายมาก ที่จะปล่อยให้อารมณ์ของเทรดเดอร์ เป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเข้าเทรด ไม่ว่าจะฝั่งซื้อ หรือฝั่งขาย ก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เทรดเดอร์มีเงินในพอร์แล้ว   

ดังนั้นขอให้เทรดเดอร์รายใหม่ใช้วิธีการจัดการ วางแผนในการเข้าเทรดโดยหาจุดเข้า หาเป้าหมาย และอย่าลืมการหยุดการขาดทุนแบบเลื่อนตาม ในเทรดเดอร์รายใหม่ อย่าพยายามเปลี่ยนกลยุทธ์มากจนเกินไปเพราะนั่นจะทำให้ กลยุทธ์หลักไม่สามารถทำงานได้ดี และเกิดความสับสนว่า กลยุทธ์ที่ตัวเทรดเดอร์เองเลือกนั้นได้ผลจริงหรือไม่

สรุป

โปรดจำไว้ว่า เทรดเดอร์ไม่จำเป็นต้องเปิดออเดอร์ทุกๆ ครั้งที่มีการย้อนกลับของราคา (Pull back) ดังนั้นอย่าหงุดหงิดหากเทรดเดอร์จำเป็นต้องคืนผลกำไรบางส่วนกลับสู่ตลาด

อย่าลืมว่า สิ่งที่เทรดเดอร์ต้องการจริงๆ คือการคาดหวังเชิงบวกในการเทรดของตัวเทรดเดอร์เอง เพื่อให้พอร์ตของตัวเทรดเดอร์ดีขึ้นและใหญ่ขึ้น ให้ลองปรับแนวทางการจัดการตำแหน่งในการเข้าเทรดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว จากนั้นแล้ว เทรดเดอร์ก็ต้องปรับขนาดของการออกออเดอร์ ให้เหมาะสมขึ้น เพื่อเพิ่มผลกำไรของตัวเทรดเดอร์เองในอนาคต
#2
โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่เพิ่งจะเริ่มเข้ามาลงทุน ในตลาด Forex มักจะเกิดความสับสน ระหว่างคำว่า Take Profit forex กับการ Stop loss เพราะ 2 คำนี้ มีหน้าที่คล้ายกัน คือ เป็นตัวช่วยในการรักษาเงินทุน ให้มีเทรดได้ต่อไปเรื่อยๆ และช่วยให้เราประสบความสำเร็จ ในการซื้อขาย หรือเทรด Forex ได้ เป็นเรื่องที่สำคัญ และมีประโยชน์อย่างมาก ควรที่จะตั้งค่านี้ในทุกออเดอร์ ที่เราทำการซื้อขาย หรือเทรด Forex

Take Profit forex กับการตั้งค่า เชิงวิชาการ
นักเทรดที่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่จะทำการกำหนดจุด Take Profit forex ซึ่งไม่ควรกำหนดตามความพึงพอใจ หรือตามความต้องการ แต่เราจะต้องมีการกำหนดจุด TP ด้วย เทคนิค forex ขั้นเทพ อย่างมีหลักการ หรือมีองค์ประกอบต่างๆ ในการตั้งค่า เพื่อความถูกต้อง และแม่นยำมากขึ้น ซึ่งการตั้งค่าเชิงวิชาการ มีดังนี้

1. ตั้งค่า ตามเส้น Trendline

หมายถึง เราจะทำการลากเส้น TrendLine ขึ้นมาก่อน จากนั้น มองหาจุดที่จะตั้งค่า TP เพื่อความแม่นยำ ควรจะใช้กราฟ TF ใหญ่ 4 hr  ขึ้นไป ซึ่งวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความรู้ ความชำนาญของนักเทรดแต่ละคนด้วย

2. ตั้งค่า ตามจุดยอด ของคลื่นก่อนหน้า

หมายถึง การหาจุดต่ำสุดของคลื่นก่อนหน้า หรือการหาจุดแนวรับ แนวต้านของกราฟในรอบที่แล้ว เพื่อใช้ในการกำหนดจุด TP

3. ตั้งค่า ตามสัญญาณ ทางอินดิเคเตอร์

หมายถึง การใช้อินดิเคเตอร์ ในการช่วยหาจุดกำหนดจุด TP ในออเดอร์นั้นๆ

Take Profit forex (TP) หมายถึง ?
TP หรือ TakeProfit forex หมายถึง การกำหนดจุด TP หรือ การกำหนดจุดทำกำไร ไว้ ณ จุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งจุดนั้นเป็นราคาที่เราได้กำไรตามเป้าหมายที่วางไว้ หรือได้กำไรจนพอใจ เมื่อราคา มาถึงจุดที่เราตั้งค่า TP ไว้ ระบบจะทำการปิดออเดอร์อัตโนมัติ และเราจะได้รับผลกำไรทันที นักเทรดโดยทั่วไป มักเรียกเทคนิค TP ว่า เป็น เทคนิค forex ขั้นเทพ เนื่องจากเทคนิคนี้ ทำให้นักเทรดส่วนใหญ่มีเงินในบัญชีได้นาน

Take Profit forex กับการตั้งค่า เชิงเทคนิค
การตั้งค่า TakeProfit forex อีกแบบหนึ่ง นั่นก็คือ การตั้งค่าเชิงเทคนิค ซึ่งการตั้งค่าเชิงเทคนิคนั้น จะแตกต่างจากการตั้งค่าเชิงวิชาการ เนื่องจากเป็นการตั้งค่าที่เกิดจากความคิดของ นักเทรด ซึ่งไม่ใช่เพียงความคิดทั่วไป แต่เป็นความคิดที่มีหลักการ มีเหตุผลมากพอที่จะเป็น เทคนิค forex ขั้นเทพ ได้เช่นกัน นั่นคือ

ตั้งค่า ตามเป้าหมาย ที่คาดหวัง ผลกำไร หรือเปอร์เซ็นต์
หมายถึง ก่อนทำการเปิดออเดอร์ เราควรวางแผนไว้ก่อนเลยว่า เมื่อเราเข้าที่ราคาเท่านี้ เราจะกำหนดจุด TP ที่ตำแหน่งใด กำไรเท่าไหร่ที่เราต้องการ แล้วก็ทำการตั้งค่าจุด TP เอาไว้เลย เมื่อราคามาถึงจุดนี้ ระบบจะได้ทำการปิดออเดอร์อัตโนมัติ มีข้อดีคือ สร้างวินัยในการเทรด เพื่อป้องกันความโลภได้อีกด้วย

ตั้งค่า  ตามแนวทางของ นักลงทุนรายใหญ่
หมายถึง เนื่องจากนักลงทุนรายใหญ่ เช่น กองทุน หรือสถาบันใหญ่ ๆ จะมีการเทรดไม่บ่อยนัก ดังนั้น เราจึงควรใช้กราฟขั้นต่ำ 4 hr หรือกราฟ Day เพื่อเข้าออเดอร์ตามนักลงทุนรายใหญ่ แล้วตั้งจุด TP ที่แนวตรงกันข้าม

ตั้งค่า ตามแนวรับ แนวต้าน เชิงจิตวิทยา Fibonacci
คือ ใช้ Fibonacci ในการช่วยหาจุดเข้า และกำหนดจุด TP โดยกางเส้น Fibonacci ลงบนกราฟ และตั้งค่า TP ตามเส้นต่างๆ ของ Fibonacci 

หากเรากำหนดจุด TP นักเทรดจะไม่ต้องเสียเวลาเฝ้ากราฟ Forex หรือเฝ้าหน้าจอ เพื่อที่จะรอปิดออเดอร์ด้วยตนเอง การกำหนดจุด TP จึงเป็นสิ่งที่ควรทำในทุกออเดอร์ เนื่องจากในการซื้อขาย หรือ เทรด Forex หากเราได้ตั้งค่าจุด TP ไว้ ณ ราคาที่เราพอใจกำไรแล้ว เมื่อราคาขึ้นมาถึงจุดที่ตั้งค่า TP ไว้ ระบบจะทำการปิดออเดอร์อัตโนมัติ เหมือนกับที่เราตั้งค่าจุด Stop Loss นั่นเอง

ได้รับผลกำไรแน่นอน
เมื่อเราตั้งค่า TakeProfit forex ในช่วงเวลาที่ระบบทำการปิดออเดอร์อัตโนมัติ นั่นหมายความว่า เราจะได้รับผลกำไร ตรงตามที่ได้กำหนดไว้แล้ว ทำให้นักเทรดเกิดความสบายใจ ไม่ต้องกังวลใจว่า กราฟจะมีการแกว่งตัว ที่จะทำให้เราขาดทุนหรือไม่ เนื่องจากเราตั้งค่าจุด TP ไว้ ณ ราคาที่เราพอใจในผลกำไร ก็จะได้ตามนั้นเลย เห็นหรือไม่ว่า การกำหนดจุด TP นั้น เป็น เทคนิค forex ขั้นเทพ เลยจริงๆ

บทสรุป
จากข้อมูลที่ได้ศึกษาไปทั้งหมดในบทความเรื่อง TakeProfit forex นี้ จะเห็นได้ว่า การกำหนดจุด TP นั้น มีความสำคัญอย่างมาก เหมือนกับการกำหนดจุด Stop Loss ที่เราควรจะต้องทำการตั้งค่าไว้ในทุกออเดอร์ ที่ทำการซื้อขาย หรือเทรด เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง และจะช่วยรักษาเงินในบัญชีของเรา ให้มีไว้เทรดได้นานๆ หรือช่วยประกันผลกำไรของเราได้ นั่นเอง
#3
สำหรับ Indicator ที่ให้สัญญาณ Trend Following คือตัวชี้วัดที่สามารถใช้เพื่อระบุแนวโน้มของราคาและหาจุดเข้าและจุดออกของตำแหน่งซื้อขายตามแนวโน้มได้อย่างต่อเนื่องได้ดี ที่นิยมใช้กันมีหลายตัว เช่น

- Moving Average
- Parabolic SAR
- Relative Strength Index (RSI)
- Stochastics

ซึ่ง Indicator Trend Following ที่ยกมาเป็นตัวอย่างเหล่านี้ ต่างก็มีคุณสมบัติในการให้สัญญาณที่แตกต่างกัน ที่ชัดเจนที่สุดคือแยกเป็นตัวชี้วัดที่ให้สัญญาณเร็วและให้สัญญาณช้า นั่นเอง

ตัวชี้วัดที่ให้สัญญาณ เร็ว-ช้า
สำหรับ Indicator ที่ให้สัญญาณ Trend Following นั้น สามารถแยกออกเป็นสองประเภทตามลักษณะการบ่งชี้ทางสัญญาณว่าพวกไหนแสดงสัญญาณเร็วหรือช้า ดังนี้

- Indicator ที่ให้สัญญาณเร็ว
- Indicator ให้สัญญาณช้า

You cannot view this attachment.

Indicator ที่ให้สัญญาณเร็ว
Indicator ที่ให้สัญญาณเร็ว คือ "อินดิเคเตอร์ที่คำนวณจากราคาปัจจุบัน" โดยค่าของ Indicator เหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามการเคลื่อนไหวของราคา ดังนั้นอินดิเคเตอร์เหล่านี้จึงสามารถให้สัญญาณการซื้อขายได้เร็วกว่าพวกที่คำนวณจากราคาในอดีต ได้แก่

Relative Strength Index (RSI):
RSI เป็น Indicator ที่วัดระดับโมเมนตัมของราคา โดย RSI มักให้สัญญาณการซื้อขายเมื่อ RSI ทะลุผ่านระดับ 70 หรือ 30

Stochastic Oscillator:
Stochastic Oscillator เป็น Indicator ที่วัดระดับโมเมนตัมของราคา โดย Stochastic Oscillator มักให้สัญญาณการซื้อขายเมื่อ Stochastic Oscillator ทะลุผ่านระดับ 80 หรือ 20

Williams %R:
Williams %R เป็น Indicator ที่วัดระดับโมเมนตัมของราคา โดย Williams %R มักให้สัญญาณการซื้อขายเมื่อ Williams %R ทะลุผ่านระดับ -80 หรือ +20

MACD:
MACD เป็น Indicator ที่วัดระดับโมเมนตัมของราคา โดย MACD มักให้สัญญาณการซื้อขายเมื่อ MACD ตัดกัน

Bollinger Bands:
Bollinger Bands เป็น Indicator ที่วัดระดับความผันผวนของราคา โดย Bollinger Bands มักให้สัญญาณการซื้อขายเมื่อราคาทะลุผ่านเส้น Bollinger Bands

อย่างไรก็ตาม Indicator ที่ให้สัญญาณเร็วมักมีสัญญาณหลอกเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง ดังนั้นเทรดเดอร์ควรใช้ Indicator เหล่านี้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและประสบการณ์ในการซื้อขาย เพื่อให้สามารถตัดสินใจซื้อขายได้อย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ

You cannot view this attachment.

ข้อควรระวังในการใช้ Indicator ที่ให้สัญญาณเร็ว
ในการใช้งาน Indicator ที่ให้สัญญาณเร็ว มีข้อที่ควรระวังในการใช้อยู่ ควรใช้ตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้

1.ใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน Indicator ที่ให้สัญญาณเร็วมักมีสัญญาณหลอกเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง ดังนั้นเทรดเดอร์ควรใช้ Indicator เหล่านี้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและประสบการณ์ในการซื้อขาย
2.ใช้กับการเทรดระยะสั้น Indicator ที่ให้สัญญาณเร็วมักเหมาะกับการเทรดระยะสั้นมากกว่าการเทรดระยะยาว
3.ไม่ควรใช้ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง Indicator ที่ให้สัญญาณเร็วมักไม่เหมาะกับการเทรดในภาวะตลาดที่ผันผวนสูง

You cannot view this attachment.

Indicator ที่ให้สัญญาณช้า
Indicator ที่ให้สัญญาณช้า คือ Indicator ที่ส่งสัญญาณการซื้อขายได้ช้ากว่า Indicator ที่ให้สัญญาณเร็ว "มักใช้ในการเทรดระยะยาว" โดย Indicator ที่ให้สัญญาณช้าที่นิยมใช้กัน ได้แก่

Aroon:
Aroon เป็น Momentum อินดิเคเตอร์ที่วัดระดับการเคลื่อนไหวของราคา โดยค่าของ Aroon จะอยู่ระหว่าง 0 ถึง 100 โดยค่า

Aroon Up: จะวัดระดับการเคลื่อนไหวของราคาขาขึ้น
Aroon Down: จะวัดระดับการเคลื่อนไหวของราคาขาลง

Ichimoku Kinko Hyo:
Ichimoku Kinko Hyo เป็น Momentum อินดิเคเตอร์ที่รวมสัญญาณการซื้อขายหลายแบบไว้ในอินดิเคเตอร์เดียว โดยสัญญาณการซื้อขายที่สำคัญจาก Ichimoku Kinko Hyo ได้แก่

- Tenkan-Sen (เส้นแดง): เมื่อ Tenkan-Sen ตัดผ่าน Kijun-Sen (เส้นสีน้ำเงิน) ในทิศทางตรงกันข้าม
- Kijun-Sen (เส้นสีน้ำเงิน): เมื่อ Kijun-Sen ตัดผ่าน Senkou Span A (เส้นสีเขียว) ในทิศทางตรงกันข้าม
- Chinkou Span (เส้นสีขาว): เมื่อ Chinkou Span ตัดผ่านราคาปัจจุบันในทิศทางตรงกันข้าม

You cannot view this attachment.

Average Directional Movement Index (ADX):
ADX เป็น Momentum อินดิเคเตอร์ที่วัดระดับแนวโน้มของราคา โดยค่าของ ADX จะอยู่ระหว่าง 0 ถึง 100 โดยค่า ADX ที่สูงกว่า 25 แสดงว่าแนวโน้มของราคามีความชัดเจน สัญญาณการกลับตัวจาก ADX ได้แก่

- ค่า ADX ลดลงต่ำกว่า 25: แสดงว่าแนวโน้มของราคาอาจสิ้นสุดลง
- ค่า ADX เพิ่มขึ้นสูงกว่า 25: แสดงว่าแนวโน้มของราคาอาจเริ่มต้นขึ้น

You cannot view this attachment.

Pivot Points:
Pivot Points คือตัวชี้วัดระดับแนวรับและแนวต้านที่คำนวณจากราคาเปิด สูง ต่ำ และปิดของวันก่อนหน้า โดย Pivot Points สามารถใช้เพื่อระบุแนวโน้มของราคาและหาจุดเข้าและจุดออกของตำแหน่งซื้อขายได้

- หากราคาทะลุผ่าน Support 1 หรือ 2: แสดงว่าราคามีแนวโน้มที่จะกลับตัวลง
- หากราคาทะลุผ่าน Resistance 1 หรือ 2: แสดงว่าราคามีแนวโน้มที่จะกลับตัวขึ้น

ข้อที่ควรใส่ใจในการใช้ Indicator ที่ให้สัญญาณช้า

ข้อที่ควรใส่ใจสำหรับนักเทรด ในการใช้ Indicator ที่ให้สัญญาณช้านั้น ควรคำนึงถึงข้อดีและข้อเสียของ Indicator ที่ให้สัญญาณช้า ดังนี้

- ข้อดี สัญญาณการซื้อขายมักแม่นยำกว่า Indicator ที่ให้สัญญาณเร็ว ช่วยลดความเสี่ยงในการซื้อขาย
- ข้อเสีย สัญญาณการซื้อขายมาช้ากว่า Indicator ที่ให้สัญญาณเร็ว อาจพลาดโอกาสในการซื้อขายได้
อย่างไรก็ตาม การใช้ Indicator ที่ให้สัญญาณช้าก็มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากสัญญาณการซื้อขายมักแม่นยำกว่า Indicator ที่ให้สัญญาณเร็ว การใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและประสบการณ์ในการซื้อขาย จะยิ่งช่วยให้สามารถตัดสินใจซื้อขายได้อย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ
#4
การวิเคราะห์ทางเทคนิค / กลยุทธ์ scalping 1 นาที
ธันวาคม 03, 2024, 12:58:33 ก่อนเที่ยง
กลยุทธ์การเทรดแบบ Forex Scalping Strategy โดยใช้ Stochastic Oscillator สามารถสร้าง โอกาสในการทำ กำไรหลายครั้งต่อวัน
ในแต่ละการเทรดคุณควรจะมุ่งหวังกำไร 10 pip เป็นอย่างน้อยและอย่าลืมที่จะทดสอบการตั้งค่าเพื่อ หาว่าอะไรเหมาะสำหรับคุณที่สุด

จะตั้งค่ากราฟของคุณได้อย่างไร

นี่คือ Indicator ที่คุณต้องใช้ : Fisher Indicator และ stochastic oscillator โดยตั้งค่ามาตรฐานที่ให้มา

Timeframe: 1 minute

ช่วงเวลาที่เทรด : เหมาะกับช่วงตลาด UK และ US

ค่าเงิน : spread ต่ำๆ เช่น EURUSD และ GBPUSD AUDUSD etc

กราฟข้างล่างแสดงระบบ Scalping ว่าทำงานอย่างไร อย่างที่คุณเห็นว่ามีสัญญาณ Buy 5 ครั้งใน 2 ชั่วโมงในตลาด Asian forex trading session และ 3 สัญญาณปิดเท่ากับกำไร 30 pip อีก 2 อัน ชน Stop loss

You cannot view this attachment.


กฏการเข้า Buying(long)

กฏการเข้า Buy ง่ายมาก :

1. เครื่องมือ fisher indicator ต้องมีสีเขียว

2. stochastic indicator แตะระดับ 20 และผงกขึ้นหรือกลับตัวขึ้นมา

3. ส่งคำสั่ง ถ้าเงื่อนไข 2 อันนี้ถูกต้อง

4. ตั้ง Stoploss ใกล้กับจุด Swing ต่ำสุดหรือ 10 pip ขึ้นอยู่กับว่าอะไรถึงก่อน

5. เป้ากำไรของคุณควรจะเป็น 10 Pip

กฏการเข้า Selling(Short)

กฏการเข้า Sell นั้นตรงข้ามกับ Buy และนี่คือกฏที่ว่า :

1. fisher indicator เป็นสีแดง

2. stochastic indicator ถึงระดับ 80 level หรือ กลับตัวกำลังจะเปลี่ยนทิศทาง

3. ส่งคำสั่ง Sell หลังจากเงื่อนไข 2 ข้อนี้ตรงกัน

4. ส่งคำสั่ง Stop loss ต่ำกว่าหรือใกล้กับ จุดสูงสุด หรือ 10 Pip ขึ้นอยู่กับว่าอะไรถึงก่อน

5. จุดทำกำไรควรเป็นอย่างน้อย 10 Pip

Scalping Strategies

1 Minute Forex Scalping Strategy ด้วย Pin Bars และ Trendlines

อันต่อไปเป็นกลยุทธ์การ Scalp ด้วยกราฟ 1 นาทีโดยการใช้ Pinbar กับเส้นเทรนด์ไลน์ มันเป็นระบบที่ใช้ง่ายในการ Scalp ในตลาดแม้แต่มือใหม่ก็สามารถทำได้
ความต่างเดียวของระบบนี้กับระบบทั่วไปคือ ใช้กราฟ 1 นาทีในการเข้าเทรด

สิ่งที่คุณต้องมี

Indicators: pin bar indicator-detector

Timeframes: 1 minute

ช่วงเวลาเทรด : UK กับ US

ค่าเงิน : ค่าเงินใดก็ได้ที่มี Spread 2 หรือต่ำกว่านั้น

การลากเส้นเทรนด์ไลน์

สำหรับการลากเส้นเทรนด์ขาขึ้นก็ต้องใช้จุดแนวรับ 2 สุด ในการลากเส้น ส่วนเทรนด์ขาลงก็ต้องใช้ ราคาสูงสุด 2 จุดหรือราคาแนวต้าน
สิ่งที่คุณจะเห็นก็คือถ้าราคาชนเส้น เทรนด์ไลน์มันจะกลับตัว ส่งสัญญาณซื้อขายที่นี่พร้อมกับ Pin bar ในจุดที่เครื่องมือให้สัญญาณ ดังรูป

You cannot view this attachment.

กฏการเข้า Buying

1. วาดเส้นเทรนด์ไลน์

2. รอราคามาแตะเส้น

3. เมื่อราคาแตะเส้นและคุณเห็น pinbar ก็ส่ง Buy ได้เลย

4. ส่ง Stoploss 10 จุด

5. จุดทำกำไรควรเท่ากับอย่างน้อย 10 pip


กฏการส่ง SellingRules

1. วาดเส้นเทรนด์ขาลง

2. รอราคามาแตะเส้นเทรนด์ไลน์

3. เมื่อเส้นแตะและเกิดสัญญาณ Pinbar ส่งออเดอร์ Sell

4. ส่ง stop loss 10 pips

5. จุดทำกำไรไม่ควรน้อยกว่า 10

ทั้งหมดที่ว่ามาคือการใช้ Time Frame 1 นาทีในการเทรด Scalping ทั้ง 2 กลยุทธ์ หวังว่าทุกคนคง สามารถนำไปใช้และได้กำไรกัน
#5
การอ่านพฤติกรรมหรือการเคลื่อนไหวของราคาแท่งเทียน หมายถึงการทำความเข้าใจว่าตลาดทำอะไรไปแล้วบ้างและกำลังจะทำอะไรอยู่  ความรู้คืออาวุธ  ความรู้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการคาดการณ์ล่วงหน้าว่าตลาดกำลังจะทำอะไรต่อไป

 เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักจะเรียนรู้วิธีอ่านพฤติกรรมราคา โดยการเรียนรู้รูปแบบกราฟราคาแบบแท่งและรูปแบบแท่งเทียน  ปัญหาที่พบเจอบ่อยๆ คือ การจดจำการกำหนดชื่อและยังต้องจดจำแปลความหมายโดยละเอียดอีกด้วย  ดังนั้นเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ จึงมักจะพลาดรายละเอียดต่างๆ ที่หลากหลายไป ถ้าเทรดเดอร์ฝึกฝนอ่านพฤติกรรมราคาให้มากพอ จะเป็นการช่วยเพิ่มการวิเคราะห์ตลาดของเทรดเดอร์ได้

   ในบทความนี้ จะแนะนำพฤติกรรมในแท่งกราฟราคาและรูปแบบกราฟราคา รวมถึงรูปแบบพฤติกรรมของกราฟราคาหลายแท่งรวมกัน บทความนี้จะช่วยเพิ่มทักษะในการอ่านกราฟราคาให้เทรดเดอร์ได้ แทนการจดจำคำศัพท์แฟนซีของกราฟราคานั่นเอง มาเริ่มกัน

กราฟราคาแท่งเดียว - ONE PRICE BAR

   พฤติกรรมแท่งกราฟราคา เป็นภาพแสดงข้อมูลราคาในหน่วยเวลาหนึ่ง ๆ  หน่วยเวลาทั่วไป ได้แก่  5 นาที – M5, 15 นาที – M15, 30 นาที – M30, 1 ชั่วโมง –H1, ทุกวัน – D1, ทุกสัปดาห์ – W1 และ ทุกเดือน – MN1

   ในบทความนี้ จะแนะนำการอ่านกราฟราคาโดยใช้ประเภทของกราฟราคา ที่เรียกว่า กราฟแท่งเทียน  - CANDLESTICK โดยจำเป็นต้องมีข้อมูลสี่อย่างนี้เพื่อวาดแถบราคา  การเขียนกราฟราคา ด้วยข้อมูลพื้นฐานราคา (OHLC) เป็นเรื่องพื้นฐาน

•   เปิด  OPEN (O)
•   สูง  HIGH (H)
•   ต่ำ  LOW (L)
•   ปิด  CLOSE (C)

You cannot view this attachment.


   ให้เทรดเดอร์จำไว้ว่าเมื่อราคาแถบปิดสูงกว่า ราคาแถบที่เปิดอยู่  จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวให้แตกต่าง หากราคาแถบปิดต่ำกว่าราคาแถบเปิด ก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดง  เนื้อสีแท่งเทียนที่โดดเด่นนี้เป็นข้อแตกต่างระหว่างกราฟราคาแบบดั้งเดิมกับแท่งเทียน

   กราฟ ราคาแท่งเทียน CANDLESTICKS เหล่านี้ มีดีมากกว่าความสวยงามของตัวมันเอง เพราะ OHLC หลังจากทำหน้าที่ของมันเสร็จสิ้นแล้วแถบราคา ที่กราฟราคานี้ จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกสี่อย่าง ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการอ่านราคา RANGE

•   เนื้อเทียน
•   ด้านบน มีการทำไส้เทียน
•   ด้านล่าง มีการทำไส้เทียน

You cannot view this attachment.

   # ขอบเขตของกราฟราคาแท่งเทียน

   RANGE ช่วงหมายถึงขอบเขตของการเดินทางของกราฟราคาแท่งเทียนของตลาดในช่วงเวลาที่เทรดเดอร์ใช้งาน

   ขอบเขตนี้แสดงให้ เทรดเดอร์เห็นถึงความผันผวนของตลาด  ตลาดที่ไม่มีแนวโน้มจะขยับเพียงแค่เล็กน้อย และครอบคลุมพื้นที่ เพียงเล็กน้อยต่อหน่วยในช่วงเวลาที่เทรดเดอร์ใช้งาน แต่สำหรับ ตลาดที่มีการเคลื่อนไหวหรือตลาดที่มีแนวโน้ม กราฟราคาแท่งเทียงก็จะเคลื่อนไหวอยู่เรื่อยๆ จนกว่าจะหมดช่วงเวลาที่เทรดเดอร์ใช้งาน

   การสังเกต ขอบเขตของกราฟราคาที่ขยับอยู่  เทรดเดอร์ก็ยังสามารถประเมินความผันผวนของตลาดได้เช่นกัน ว่าในขณะที่เทรดเดอร์อยู่ในตลาดนั้น ตลาดกำลังทำอะไรอยู่ อาจจะอยู่นิ่งๆ นอนหลับอยู่ หรือวิ่งอาละวาดขึ้นลงๆ? แถบขอบเขตจะบอกเทรดเดอร์ได้

   # เนื้อเทียน กราฟราคาแท่งเทียน

   ช่วงขอบเขตของกราฟราคาจะแสดงให้เทรดเดอร์เห็นว่าตลาดมีการต่อสู้กันอยู่  โดยเนื้อเทียนจะแสดงให้เทรดเดอร์เห็นว่า ตลาดฝั่งขาขึ้นหรือฝั่งขาลงเป็นผู้ชนะ
   ตัวเนื้อเทียนแสดงถึงความแข็งแรงของแท่งเทียนนั้นๆ  ความแข็งแกร่งจะแสดงออกมา ไม่เว้นว่าจะเป็นตลาดขาขึ้น หรือตลาดขาลง

   หากราคาเนื้อเทียนปิดอยู่เหนือราคาเนื้อเทียนเปิด แสดงให้เห็นว่าตลาดได้ขยับขึ้น ในขณะที่ตลาดเป็นฝั่งขาลง ราคาเนื้อเทียนปิดจะอยู่ใต้ราคาเนื้อเทียนเปิด นอกจากนี้ขนาดของเนื้อเทียนยังแสดงให้เห็นถึงขนาดของความแข็งแกร่งของตลาดอีกด้วย

You cannot view this attachment.

  จากภาพตัวอย่างด้านบน เทรดเดอร์จะเห็นเนื้อเทียนทางด้านซ้าย เป็นแท่งเต็มไม่มีหางหรือไส้เลย  นี่คือรูปแบบที่แข็งแกร่งที่สุด ของแรงผลักดันที่สูงขึ้นในตลาด

   ส่วนกราฟราคาแท่งเทียนทางด้านขวา  ไม่มีเนื้อเทียนเลยแม้แต่น้อย หรือมีเพียงน้อยนิด เป็นการแสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นใจหรือยังตัดสินใจไม่ได้ สำหรับตลาดในช่วงเวลานี้ นั่นเอง

   ในกราฟราคาแท่งเทียนเหล่านี้มีชื่อเรียก เช่นฝั่งซ้ายมือ ชื่อว่า MARUBOZU และฝั่งขวามือเรียกว่า DOJI  อย่างไรก็ตาม ในบทความนี้จะขอไม่พูดถึงป้ายกำกับ เพราะอย่างที่บอกไปตอนแรกว่า ชื่อกราฟราคาแท่งเทียนไม่มีความหมายอะไร ให้สังเกตจากเนื้อแท่งเทียนหรือ พฤติกรรมของแท่งเทียนจะดีกว่า

สำคัญคือการที่เทรดเดอร์สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้โดยสังเกตจากส่วนของเนื้อเทียน

•   ตอนนี้ ตลาดมีการปรับตัวขึ้นหรือลง หรือไม่ปรับตัวเลย?
•   การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ เป็นอย่างไร?

  # หางหรือไส้ของเนื้อเทียนด้านบนของกราฟราคาแท่งเทียน

   ถ้าเทรดเดอร์ เข้าใจหัวข้อด้านบนเรื่อง ขอบเขตของกราฟราคาแท่งเทียนและ เนื้อของแท่งเทียน ในแต่ละแท่งแล้ว จะสามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้นว่า หางหรือไส้ หรือร่องรอยการวิ่งไปของกราฟราคาแท่งเทียน มีอะไรแฝงอยู่บ้าง

   หางด้านบนเป็นพื้นที่ที่ตลาดเคยวิ่งขึ้นไป (เป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลา) แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ (เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย) มันไม่สามารถที่จะพิชิตพื้นที่ดังกล่าวนี้ได้ เพราะตลาดผู้ขายมีมากกว่าตลาดผู้ซื้อ ดังนั้นหางหรือไส้ด้านบนจะเป็นตัววัดแรงกดดันในการขาย

You cannot view this attachment.

# หางหรือไส้ของเนื้อเทียนด้านล่างของกราฟราคาแท่งเทียน

ใช้ตรรกะเดียวกันกับหางหรือไส้ด้านบนเมื่อ แต่สลับกันเล็กน้อย  หางหรือไส้ด้านล่าง กับสิ่งที่เทรดเดอร์จะพบคือการดัน การซื้อของแต่ละกราฟแท่งเทียน เป็นการแย่งชิงพื้นที่กัน ระหว่างฝั่งซื้อที่มีมากกว่า ฝั่งขาย ทำให้กราฟราคาดันขึ้นไปนั่นเอง
#6
 เทคนิคการเทรดตลาด FOREX แบบกราฟราคาแท่งเทียนรูปแบบ OUTSIDE BAR เทคนิคการเทรด OUTSIDE BAR นี้เป็นเทคนิคการเทรดที่เรียบง่าย และยังง่ายต่อการสังเกต การตั้งค่าในการมองรูปแบบกราฟราคาและยังมีกฎการเทรดที่เทรดเดอร์มือใหม่สามารถใช้งานได้ง่ายอีกด้วย

   แนวคิดของการเทรดกราฟราคารูปแบบ OUTSIDE BAR จะมีเทคนิคการเข้าเทรดเหมือนกันกับ เทคนิคการเทรดกราฟราคารูปแบบ INSIDE BAR แต่การตั้งค่ารูปแบบเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม


  อะไรคือรูปแบบ PATTERN OUTSIDE BAR ?

   เพื่อให้เทรดเดอร์สามารถเข้าทำการเทรดด้วยเทคนิคในบทความนี้ เทรดเดอร์จำเป็นต้องเรียนรู้ก่อนว่า กราฟราคาแท่งเทียนรูปแบบ OUTSIDE BAR เป็นอย่างไร?  กราฟราคาแท่งเทียนรูปแบบ OUTSIDE BAR เป็นรูปแบบของ กราฟราคาแท่งเทียนสองแท่ง โดยลักษณะจะเหมือนกราฟราคารูปแบบ กลืนกิน / ENGULFING แต่ว่าอยู่ด้านนอกของแท่งเทียนหลัก

   สิ่งนี้หมายความว่า กราฟราคารูปแบบ OUTSIDE BAR จะมีเนื้อแท่งเทียนที่ด้านบนและด้านล่าง สูงและต่ำเพื่อปกคลุมกราฟราคาแท่งเทียนก่อนหน้า ในตอนนี้กราฟราคาแท่งเทียนที่ด้านนอกอาจจะมีชื่ออื่นด้วย อาจจะเรียกได้ว่าเป็นกราฟราคารูปแบบ BULLISH ENGULFING หรือ BEARISH ENGULFING ได้

You cannot view this attachment.

You cannot view this attachment.

   กฎ - สำหรับการเข้าเทรด กราฟราคาแท่งเทียนรูปแบบ OUTSIDE BAR

•   ให้เทรดเดอร์ วางคำสั่งซื้อล่วงหน้า ถ้าหากเกิดกราฟราคาแท่งเทียนรูปแบบ BULLISH OUTSIDE BAR ประมาณ 2-5 PIPS ที่ด้านบนของกราฟราคาแท่งเทียน

•   ให้วางคำสั่งขายล่วงหน้า ถ้าหากเกิดกราฟราคาแท่งเทียนรูปแบบ BEARISH OUTSIDE BAR ประมาณ 2-5 PIPS ที่ด้านล่างของกราฟราคาแท่งเทียน

•   ถ้าเทรดเดอร์เปิดคำสั่ง BUY ให้วางคำสั่ง STOP LOSS ประมาณ 2-5 PIPS ที่บริเวณด้านล่างของกราฟราคาแท่งเทียน

•   และถ้าเทรดเดอร์เปิดคำสั่ง SELL ให้วางคำสั่ง STOP LOSS ประมาณ 2-5 PIPS ที่บริเวณด้านบนของกราฟราคาแท่งเทียน


เป้าหมายในการทำกำไรของเทรดเดอร์ เทรดเดอร์มีตัวเลือกน้อย :

•   ถ้าเป็นการเทรดฝั่ง BUY ให้กำหนดเป้าหมายการทำกำไรที่ตำแหน่งกราฟราคาสวิงไฮ ล่าสุด ก่อนหน้า

•   หรือกราฟราคาสวิงโลว ล่าสุด ก่อนหน้า ถ้าเป็นการเทรดฝั่ง SELL ให้เป็นเป้าหมายในการทำกำไรของเทรเดอร์

•   หรือเทรดเดอร์อาจจะใช้อัตราส่วนความเสี่ยงต่อการทำกำไรที่ 1 : 3 เท่าของการออกคำสั่งในการเทรดแต่ละครั้ง เช่นว่าถ้าเทรดเดอร์วางคำสั่งเทรดฝั่ง BUY ไปแล้ว มีระดับการวาง STOP LOSS ที่ 50 PIPS ก็หมายความว่า เป้าหมายในการทำกำไรของเทรดเดอร์ควรจะ 150 PIPS เป็นต้น


ต่อมาคือเรื่อง MANAGEMENT สำหรับการเทรดแบบ OUTSIDE BAR :

•   หนึ่งในเทคนิคการเทรดที่ดี ที่สุดคือการใช้  TRAILING STOP ที่ด้านล่างของกราฟราคาแท่งเทียน ถ้าเทรดเดอร์เปิดการเทรดฝั่ง BUY

•   และวาง TRAILING STOP ไว้ที่ด้านบนของกราฟราคาแท่งเทียน ถ้าเทรดเดอร์เปิดการเทรดฝั่ง SELL

•   TRAILING STOP จะทำงานจะทำให้คำสั่งฝั่ง BUY ของเทรดเดอร์หยุดลง ถ้ากราฟราคามีการย่อตัวลงมาแตะโดนคำสั่ง

•   หรือถ้ากราฟราคามีการดีดตัวขึ้นไปแตะโดนคำสั่ง TRAILING STOP สำหรับการเทรดฝัง SELL ก็จะทำให้คำสั่งของเทรดเดอร์หยุดลง ถึงแม้ว่าคำสั่งในการเทรดของเทรดเดอร์จะต้องหยุดลงไม่ว่าจะเป็นด้านฝั่ง BUY หรือ ฝั่ง SELL ก็ตามแต่ แต่อย่างน้อยเทรดเดอร์ก็จะเดินออกจากตลาด ไปพร้อมกับผลกำไรที่เทรดเดอร์ล็อคไว้แล้ว

You cannot view this attachment.

แผนภูมิด้านบนแสดงการตั้งค่าการค้าสำหรับการเทรดคำสั่งซื้อ สำหรับการตั้งค่าการเทรดคำสั่งขาย จะเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม


การตั้งค่าก่อนการเข้าเทรด FOREX ด้วยกราฟราคารูปแบบ OUTSIDE BAR

•   กรอบเวลา : กรอบเวลา 4 ชั่วโมง ถึง รายวัน

•   คู่สกุลเงิน : ทุกคู่สกุลเงิน

•   อินดิเคเตอร์ : ไม่ต้องใช้ อินดิเคเตอร์


   ข้อเสีย - ของการเทรดด้วยกราฟราคาแท่งเทียนรูปแบบ OUTSIDE BAR

•   การเทรดด้วยเทคนิคนี้ จะทำให้ ตำแหน่งการวาง STOP LOSS จะมีขนาดใหญ่มาก ซึ่งหมายความว่าเทรดเดอร์จำเป็นต้องคำนวณขนาดล๊อตของการเข้าเทรด ตามความเสี่ยงที่เทรดเดอร์สามารถรับได้

•   บางครั้งอาจใช้เวลาสักครู่ก่อนที่ เทรดเดอร์จะเริ่มเห็นผลกำไรจากการเทรดในครั้งนี้ นี่เป็นเพราะกราฟราคาแท่ง OUTSIDE BAR ได้ทำการเคลื่อนไหวเป็นอย่างมากแล้ว (จึงเป็นแท่ง OUTSIDE BAR) ทำให้แท่งต่อมา ขยับช้า และหรืออาจจะต้องใช้เวลา สักครู่


   ข้อดี - ของการเทรดด้วยกราฟราคาแท่งเทียนรูปแบบ OUTSIDE BAR

•   เป็นเทคนิคการเทรดที่เรียบง่ายและเข้าใจง่าย ไม่มีความยุ่งยากในการต้องเรียนรู้กับอินดิเคเตอร์ต่าง ๆ

•   เทรดเดอร์จะสังเกตเห็นว่าตลาดมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในทิศทางที่ยาวมากเมื่อเกิดกราฟราคารูปแบบ OUTSIDE BAR ขึ้น การก่อตัวขึ้นและสามารถทำให้เทรดเดอร์ทำกำไรได้หลายร้อย PIPS ยิ่งถ้าเทรดเดอร์ทำการ TRAILING STOP เพื่อล็อคผลกำไรด้วยแล้ว
#7
การวิเคราะห์ทางเทคนิค / ดู Divergence ด้วย RSI
พฤศจิกายน 28, 2024, 02:09:54 ก่อนเที่ยง
หลายท่านที่เป็นนักเทรดมือใหม่คงเคยได้ยินคำว่า "Divergence" หรืออ่านว่า "ไดเวอร์เจน" กันบ้างแล้ว
ซึ่งมือใหม่คงจะงงๆว่ามันคืออะไร มองยังไง ยากจัง
ผมขออธิบายแบบง่ายๆในที่นี้เราจะดู Divergence ด้วย RSI กัน

การเกิดรูปแบบ Divergence นั้นเป็นรูปแบบของกราฟที่สวนทางกันกับ indicator ซึ่งแสดงถึงการกลับตัวของกราฟ ทั้งระยะสั้นและยาว
ซึ่งในที่นี้จะใช้ Indicator "Relative Strength Index"หรือที่เราเรียกสั้นๆว่า RSI มาประกอบการดู Divergence นะครับ มาเริ่มกันเลย...

You cannot view this attachment.

ตามภาพข้างบนจะเป็นในรูปแบบของ Divergence ในสองรูปแบบ
คือ Bullish Divergence(กลับตัวขาขึ้น) และ Bearish Divergence(กลับตัวขาลง)
ซึ่งในทั้งสองรูปแบบนี้จะมี 3 รูปแบบย่อยที่ไม่เหมือนกัน

ในที่นี้เราจะเปรียบเทียบคำว่า "Price เป็นกราฟราคาแท่งเทียน" และ "Indicator เป็น RSI" แล้วกัน
เวลาดูก็ดูคู่กัน ทั้ง Price และ indicator

You cannot view this attachment.

Price หรือราคากราฟจะทำรูปแบบยอดหันหัวลงสองยอด โดยที่ยอดแรก(L1)จะอยู่สูงกว่ายอดสอง(L2) หรือเรียกกว่าทำ Lower Low
Indicator หรือ RSI จะทำตรงกันข้ามกับ Price คือ ทำ Higher Low คือ ยอดแรก(L1) ต่ำกว่ายอดสอง(L2) เหมือนกำลังฟ้องว่ากราฟกำลังจะขึ้นแล้วนะ ดังรูปภาพข้างล่าง

You cannot view this attachment.

Bullish Divergence รูปแบบที่2

Price หรือราคากราฟจะทำรูปแบบยอดหันหัวลงสองยอด โดยที่ยอดแรก(L1)จะอยู่สูงกว่ายอดสอง(L2) หรือเรียกกว่าทำ Lower Low
Indicator หรือ RSI ยอดแรก(L1) และยอดสอง(L2) จะต่ำเท่ากัน หรือ Double Bottom  ดังรูปภาพข้างล่าง

You cannot view this attachment.

Bullish Divergence รูปแบบที่3

Price หรือราคากราฟจะทำรูปแบบยอดหันหัวลงสองยอด โดยที่ยอดแรก(L1)และยอดสอง(L2) เท่ากันหรือทำ Double Bottom
Indicator หรือ RSI ยอดแรก(L1) จะอยู่ต่ำกว่ายอดสอง(L2) หรือ Higher Low ดังรูปภาพข้างล่าง

You cannot view this attachment.

You cannot view this attachment.

Bearish Divergence รูปแบบที่1

Price หรือราคากราฟจะทำรูปแบบยอดหันหัวขึ้นสองยอด โดยที่ยอดแรก(H1)ต่ำกว่ายอดสอง(H2) หรือทำ Higher High
Indicator หรือ RSI ยอดแรก(H1) จะอยู่สูงกว่ายอดสอง(H2) หรือ Lower High ดังรูปภาพข้างล่าง

You cannot view this attachment.

Bearish Divergence รูปแบบที่2

Price หรือราคากราฟจะทำรูปแบบยอดหันหัวขึ้นสองยอด โดยที่ยอดแรก(H1)ต่ำกว่ายอดสอง(H2) หรือทำ Higher High
Indicator หรือ RSI ยอดแรก(H1) และยอดสอง(H2) จะเท่ากัน หรือ Double Top ดังรูปภาพข้างล่าง

You cannot view this attachment.

Bearish Divergence รูปแบบที่3

Price หรือราคากราฟจะทำรูปแบบยอดหันหัวขึ้นสองยอด โดยที่ยอดแรก(H1)และยอดสอง(H2) จะเทากัน หรือทำ Double Top
Indicator หรือ RSI ยอดแรก(H1) จะสูงกว่ายอดสอง(H2) หรือ Lower High ดังรูปภาพข้างล่าง

You cannot view this attachment.

ทุกท่านควรฝึกดูบ่อยๆจนชำนาญ และหลังจากที่เราดู Divergence ด้วย RSI  เก่งแล้ว การที่เราจะเข้าออเดอร์แม่นๆคือแท่งกลับตัวในยอดที่สอง
ให้ลองสังเกตุดู ทุกครั้งที่เกิดยอด1 หรือยอด2 ไม่ว่าจะ Bullish หรือ Bearish Divergence จะมีแท่งกลับตัวในยอดที่สองแล้วค่อยกลับตัวไกลเสมอๆ ถ้าเราเก่งในเรื่องแท่งกลับตัวด้วยละก็คุณจะได้จุดเข้าที่ดีมากๆเลยทีเดียว

Divergence + RSI

การเล่น Divergence คู่กับ RSI ส่วนใหญ่ผมจะชอบให้ RSI เลยโซน 70/30 ก่อนแล้วถ้าเกิด Divergence ในโซนนั้นผมจะมั่นใจในการเข้าออเดอร์มากขึ้น เพราะ RSI เกิน70 คือโซนแรงซื้อมากเกินไปยิ่งเกิด Divergence ยิ่งเป็นการคอมเฟริมว่ามันจะกลับตัวเป็นขาลง และถ้าRSIเกิน30 คือโซนแรงขายมากเกินไปแล้วเกิด Divergence ก็ยิ่งคอนเฟริมว่าจะเป็นการกลับตัวจากลงเป็นขาขึ้นนั่นเอง
#8
บทความในวันนี้ที่จะมาพูดเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินออสเตรเลียและทองคำ ซึ่งการเทรดที่ดูความสัมพันธ์ เป็นวิธีการหา trade setup ที่เป็นไปได้และง่ายสุด แต่ถึงอย่างไรคุณต้องมีการศึกษา เพื่อให้คุณสามารถดูได้ว่าคู่เงินที่ท่านทำการเทรดนั้นมีความสัมพันธ์กันหรือไม่

ความสัมพันธ์ค่าเงินออสเตรเลียและทองคำ

การเทรดด้วยการดูความสัมพันธ์หรือ Correlation เป็นวิธีการหา Trade Setup ที่เป็นไปได้สูงและง่ายสุด แต่คุณต้องดูให้เป็นว่า คู่เงินที่คุณทำการเทรดสัมพันธ์กับคู่เงินไหนหรือดรรชนี เช่นถ้าเป็นคู่เงิน EURUSD กับ USDCHF ก็จะวิ่งสวนทางกัน ท่านก็เปิดหรือใช้ Dollar Index เพื่อสัมพันธ์กับคู่เงินที่เกี่ยวกับ USD  และการสัมพันธ์กับสินค้าโภคภัณฑ์

You cannot view this attachment.

วิธีการดูความสัมพันธ์ (Correlation)

วิธีการดูให้ดู price structure หรือ price level พร้อมเวลาในการเคลื่อนไหว ที่เกิดขึ้นเป็นหลักเพื่อหาโอกาสเทรดใช้ชาร์ตยืนยันชาร์ต

อีกคู่หนึ่งที่นิยมกันคือการเทรดทองคำ และ AUDUSD เพราะทั้งสองมักจะเคลื่อนไหวไปทางเดียวกันเป็นหลัก เพราะประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศที่ผลิตทองใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากจีน หรือบางเทรดเรียกคู่เงินที่เกี่ยวกับ AUD เป็นค่าเงินที่มีความเกี่ยวข้องกันกับ Commodity โดยส่วนมากเป็น Commodity ประเภททองคำ  และ AUDUSD จะเคลื่อนไปในทางลักษณะเดียวกัน

You cannot view this attachment.

โดยการเทรดด้วยการดู Correlation ต้องเข้าใจว่าลักษณะการเคลื่อนไหวของราคาต้องเกิดลักษณะเดียวกันหรือตรงข้ามกันถ้าเป็นการดูความสัมพันธ์แบบตรงกันข้าม

You cannot view this attachment.

อย่างภาพด้านบนเมื่อดูทองคำ อย่างเดียวจะไม่กล้าเทรด แต่พอมาดู AUDUSD ด้วยจะเห็นว่าราคาได้ทำ Impulsive Move ลงมา หลังจาก Consolidation แล้วดันราคาลงมาเกิด Trapped Traders ในโครงสร้างของ AUDUSD ถ้าราคากลับมาจะเป็นพื้นที่เข้าเทรดอีก เทรดเดอร์ที่เทรดตามเทรนเมื่อเป็น Impulsive Move ก็จะรอโอกาสเข้าเทรดเมื่อราคากลับมาที่จุดเบรค และเทรดเดอร์ที่ติดลบหรือ Trapped Traders ที่เราลงเบรคลงไป พอราคากลับมาแต่ราคาเกิด Rejection อีก บอกอาการไม่ว่าจะไม่ไปต่อหรือว่าจะดันราคาไปทางที่ราคาเบรคลงไป ก็จะเริ่มหันมาออกจากตลาด และยิ่งเห็นทองคำ เกิด Rejection อย่างแรงแบบเดียวกัน ที่เวลาพร้อมๆ กันด้วย ยิ่งเป็นตัวช่วยยืนยันการเข้าเทรดอีกรอบ ก็จะทำให้การเทรดเพิ่มความเป็นไปได้สูงขึ้นมาอีก

ส่วนเรื่องการกำหนด Take profit ก็ให้ดู Price level แต่ละสินค้าประกอบกัน ถ้าราคายังดันไปไม่มีสินค้าตัวไหนหยุดหรือไม่เห็น Price level ที่บอกว่าแข็งให้ถือรอได้ เพราะต้องการเห็นลักษณะ Price action ที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กันกับการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นด้วย ดังนั้นเมื่อมองจุดนี้ด้วยก็จะได้ภาพรวมการเทรด AUDUSD และ ทองคำ สัมพันธ์กันอย่างไรดังนี้

- หา Trade setup ที่เห็นการเข้าเทรดจริงที่มี Impulsive move ประกอบในโครงสร้างที่เกิดพร้อมกัน

- เปิดเทรดเมื่ออีกสินค้ายืนยันและ Stop loss กำหนดไว้แถวที่จุดเบรค หรือมากกว่าจุดที่จุดต้นตอของ Impulsive move

การกำหนดทีพี ดูพื้นที่ตรงข้ามทั้ง 2 สินค้าประกอบและดู Momentum ต่อเนื่อง ถ้ายังต่อเนื่องอยู่ทั้ง 2 สินค้าให้กำไรวิ่งไปแล้วขยับ Stop loss มาเป็น Break-Even แทนจะไม่ต้องมากังวลเรื่องการสูญเสียไม่ต้องมากดดัน

You cannot view this attachment.

อย่างกรณีชาร์ต Metatrader ของ IC Markets ชาร์ต H4 จะเห็นว่าเกิดรูปแบบเดียวกันเกิดขึ้น มีร่องรอยการเข้าเทรด แต่ราคาปิดเอาชนะพื้นที่ตรงข้ามไม่เด็ดขาด ขึ้นมาด้วยบาร์ยาวๆ แต่ราคาไม่ได้ปิดบนแบบโดดเด่น แต่ก็มาแตะกรอบบนของ supply ได้ และราคาใช้เวลาอยู่ในพื้นที่นานบอกว่าไม่มีเทรดเดอร์ตรงข้ามอยากเปิด sell market orders มาก ไม่งั้นราคาไม่สามารถอยู่ตรงนั้นได้นาน และยังบอกว่าลด sell limit orders ไปด้วยดูกรอบเลข 1 อีกอย่างเพิ่มเติ่มสังเกตุว่าทองได้ทำเทรนขึ้นไปก่อนแล้ว การกลับมาเป็นการย่อตัว ราคาเด้งลงมาจะเห็น demand ที่ดันราคาขึ้นไปตอนแรก ที่บอกว่า impulsive move ไม่โดดเด่นเพราะไม่สามารถปิดบนได้แบบเกินมาเยอะ แต่ที่สำคัญคือข้อความเดียวกันที่เกิด impulsive move เป็นเพราะการเข้าเทรดหรือเปล่า  ดังนั้นเมื่อเทรดด้วยการดูความสัมพันธ์สิ่งที่ต้องใส่ใจคือ อาการที่เกิดขึ้นและเวลาที่อาการที่เกิดขึ้น ต้องสัมพันธ์กันค่อยจะยืนยันกันและกันได้ ดังนั้น ถ้าราคาดันขึ้นไปถึง supply ลักษณะเดียวกันเวลาช่วงเดียวกัน วิ่งอยู่ในกรอบ supply ได้แบบเดียวกัน ราคาเด้งลงมาเจอ demand แล้วเกิดการโต้ตอบเวลาช่วงเดียวกัน จะเห็นว่าพอราคาเบรคกรอบเลข 1 ได้ จะเกิดโอกาสการเทรดที่ชัดเจนมาก สำหรับโอกาสที่ Buy 2 หรือเปิดเทรดที่ Buy 1 ตอนที่ราคากลับมาเทส demand ใหม่ที่เกิดขึ้น

ตัวอย่างที่ยกมาเป็นการใช้ทองคำ หรือ XAUUSD เพื่อช่วยยืนยันการเทรด AUDUSD เพื่อเพิ่มความเป็นไปได้และหาว่าควรจะเข้าที่ไหนและเมื่อไรได้แบบง่ายๆ แม้ว่าทั้งสองจะเคลื่อนไหวทางลักษณะเดียวกัน แต่โครงสร้างจะไม่ชัดเจนแบบการสัมพันธ์คู่เงินอย่างกรณีของ EURUSD และ USDCHF ที่กล่าวมาตอนแรก สำคัญอาการที่เกิดและเวลาที่เกิดอาการนั้นๆ เพราะราคาขึ้นหรือลงเพราะ market orders มีมามาก มาแรงและต่อเนื่อง ณ เวลานั้น เลยทำให้เกิน limit orders ฝั่งตรงข้าม ถ้าเกิดช่วงพร้อมกัน แม้จุดอ้างอิงเช่น key levels ต่างกันบ้าง แต่บอกว่ามีการเข้าเทรดของขาใหญ่จริง เพราะขาใหญ่เมื่อเปิดเทรดพวกเขาสามารถดันราคาไปทางที่พวกเขาต้องการได้ เพราะพวกเขาเทรดด้วยจำนวนปริมาณการซื้อขายที่เยอะมากพอที่จะดันราคาไปทางที่ต้องการหรือปั่นราคาได้ ดังนั้นเมื่อเห็นแบบนี้เกิดขึ้น AUDUSD และ ทองคำก็ยิ่งจะยืนยันการเข้าเทรดจริงของขาใหญ่
#9
การวิเคราะห์ทางเทคนิค / แรงส่งของราคา FOREX
พฤศจิกายน 25, 2024, 12:44:10 ก่อนเที่ยง

แรงส่งของราคา (Momentum) วัดอัตราความเปลี่ยนแปลงของราคาปิดของคู่สกุลเงิน หุ้นหรือสินค้าโภคภัณฑ์ มันมักจะใช้ตรวจหาความอ่อนแอหรือความแข็งแกร่งในคู่สกุลเงิน สิ่งสำคัญคือ แรงส่งของราคาให้สัญญาณจุดเปลี่ยนของแนวโน้มที่อาจจะเกิดขึ้นหรือเมื่อแนวโน้มกำลังจะเริ่มเกิด

นักเทรดมักจะมองหาแรงส่งของราคาและความเปลี่ยนแปลงของแรงส่งของราคา มันช่วยให้เราสามารถคาดการณ์ความผันผวนในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราได้ดียิ่งขึ้น

แนวโน้มจะแข็งแกร่งที่สุดเมื่อมีระดับแรงส่งของราคาที่สูงไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลงก็ตาม เมื่อถึงจุดนั้น เราพบว่ามีสองอย่างที่จะเป็นจริง

- เราทราบว่า ผู้เล่นรายใหญ่เข้าร่วมในทิศทางนั้น
- เราทราบว่า นักเก็งกำไรไม่ลังเลว่าเป็นแนวโน้มจริงหรือไม่อีกต่อไป และพวกเขาทำการเทรดในตลาด

วิธีการอ่านแรงส่งของราคา

เรามักจะพบระดับแรงส่งของราคาที่ต่ำในตอนเริ่มต้นแนวโน้ม นั่นเป็นเพราะแนวโน้มยังไม่ได้สร้างแรงส่งของราคาจำนวนมากไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่งหรือมีการควบคุมแนวโน้มหรือความแข็งแกร่งของแนวโน้มใดแนวโน้มหนึ่งอยู่ นี่เป็นกุญแจสำคัญที่จะทำความเข้าใจวิธีการอ่านแรงส่งของราคาในตลาด Forex ได้อย่างถูกต้อง เมื่อเราอยู่ในแนวโน้มที่แข็งแกร่งไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง แรงส่งของราคาจะเกิดขึ้นก่อนราคา นั่นจึงทำให้แรงส่งของราคาเป็นตัวชี้วัดที่เป็นเหตุ

โดยปรกติแล้ว คุณแค่ต้องการได้สัญญาณตัวชี้วัดแรงส่งของราคาเมื่อมันเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแนวโน้มหลัก หากแรงส่งของราคาไปในทิศทางตรงกันข้ามของแนวโน้ม ขอแนะนำไม่ให้ทำการเทรด มีหลายตัวชี้วัดที่ใช้วัดแรงส่งของราคา ประกอบด้วย Moving Average Convergence Divergence (MACD), Relative Strength Index (RSI), Stochastic และอื่นๆ

Relative Strength Index

สำหรับบทความนี้ เราจะใช้ตัวชี้วัด RSI เป็นเครื่องมือในการวัดแรงส่งของราคา

ตัวชี้วัด RSI เป็นหนึ่งใน Oscillator ที่ใช้มากที่สุดโดยบรรดานักเทรด FX มืออาชีพด้วยมีความแม่นยำสูง ตัวชี้วัด RSI มีตั้งแต่ 0 ถึง 100 มันมักไม่ค่อยวิ่งไปถึงระดับสุดของตัวชี้วัด และปรกติจะอยู่ในกรอบ 20-80

โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเรามีระดับแรงส่งของราคาเหนือกว่า 80 นักเทรดจะตีว่าเป็น Overbought (ซื้อมากเกินไป) ในทางตรงกันข้าม เมื่อเรามีระดับแรงส่งของราคาต่ำกว่า 20 นักเทรดจะตีว่าเป็น Oversold (ขายมากเกินไป)

You cannot view this attachment.

ภาพ 1: อินดิเคเตอร์ RSI

เพราะตลาดสามารถอยู่ในลักษณะนี้ได้เป็นเวลานานก่อนแนวโน้มจะเปลี่ยนทิศทาง เพราะแรงส่งของราคาเกิดขึ้นก่อนราคา เราสามารถถือระดับแรงส่งของราคาเฉกเช่นเดียวกับพฤติกรรมของราคา เมื่อเราเห็นการทะลุของเส้นแนวโน้มบนตัวชี้วัดแรงส่งของราคา พวกมันมักจะเกิดก่อนการทะลุในพฤติกรรมของราคา

แรงส่งของราคาก็เหมือนกับการปาลูกบอลขึ้นฟ้า เมื่อคุณปาลูกบอลขึ้นฟ้า มันจะเป็นแรงส่งขาขึ้น แต่เมื่อลูกหยุด แรงส่งได้กลับทิศทางเป็นขาลงเพราะความเร่งหยุดลง

ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่เกิดบนพฤติกรรมของราคาในตลาด Forex สำหรับคู่สกุลเงินที่ราคาตกลง หมายความว่า แรงส่งของราคาได้ตกลงก่อนหน้าราคาแล้ว

ตัวอย่างการเทรด

You cannot view this attachment.

ภาพ 2: กราฟราย 1 ชั่วโมง EUR/USD

ตัวอย่างข้างต้น เรามีแนวโน้มที่แข็งแกร่งในตัวชี้วัดแรงส่งของราคาและการเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งในพฤติกรรมของราคาเมื่อ Take profit นั้นบนตัวชี้วัด RSI ทะลุผ่านกรอบบน นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่า แนวโน้มใกล้จบลงแล้ว และจะเริ่มกลับทิศทางอย่างรุนแรง

เพราะแรงส่งของราคาเกิดขึ้นก่อนราคาเสมอ เมื่อเราเห็นการทะลุกรอบของแรงส่งของราคา นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่า ตลาดสูญเสียแรงและแนวโน้มหลักกำลังจะเปลี่ยนทิศทาง

ข้อสรุป
สรุปคือ ตัวชี้วัด RSI ที่บอกแรงส่งของราคาเป็นตัวชี้วัดที่ทำความเข้าใจได้ง่ายมาก เป็นตัวชี้วัดชั้นนำเพราะเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่เป็นเหตุไม่กี่ตัวที่มีความพิเศษในเรื่องความเรียบง่ายและทรงประสิทธิภาพ เพราะคุณสามารถใช้มันเหมือนพฤติกรรมของราคา ทำให้เป็นเรื่องง่ายมากในการแปลข้อมูลจากตัวชี้วัดแรงส่งของราคาเป็นพฤติกรรมของราคา RSI Oscillator เหมาะสำหรับการประเมินจุดกลับทิศทางและหาจังหวะเข้าและออกการเทรด
#10
Risk & Reward คืออะไร สำคัญอย่างไรต่อการเทรด

การเทรดเป็นเรื่องของการเก็งกำไรจากการขึ้นหรือลงของราคา ณ จุดที่เปิดเทรด ถ้าราคาไปทางที่ท่านคาดการณ์หรือเก็ง (speculation) การเปิดเทรดนั้นๆ ก็กำไร มากหรือน้อยก็อยู่ที่ท่านปิดตรงไหน  การเทรดเป็นเรื่องของความเป็นไปได้ เทรดเดอร์ที่จะเปิดเทรดเมื่อเห็นว่าความเป็นไปได้อยู่ทางที่เปิดเทรดเป็นหลัก แต่เพราะเป็นเรื่องของความเป็นไปได้ ทุกการเปิดเทรดต้องมีการจำกัดการสูญเสีย พร้อมกับการกำหนดจุดกำไรว่าราคาน่าจะไปถึง เป็นเรื่องของ stop loss และ take profit เลยเป็นเรื่องของ risk:reward ของแต่ละ trade setup

Risk สิ่งที่ต้องรับให้ได้เมื่อเปิดเทรด

You cannot view this attachment.

ความเสี่ยง เป็นเรื่องปกติของการเทรดเพราะการเทรดเป็นเรื่องของการเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวราคา  โดยการกำหนด Risk น่าจะแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือกำหนดจากพื้นที่ trade setup ดังนั้นถ้านับเป็น pips จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่า trade setup มาจาก timeframe ไหน ถ้ามาจาก timeframe ใหญ่มากก็ยิ่งจะมากไปด้วย หรือกำหนดแบบนับ pips เอา อย่างแรกนิยมมากกว่า แต่เทรดเดอร์ส่วนมากก็จะต้องการสัดส่วนของ Risk ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ เลยมีการใช้วิธีการเปิดเทรดจาก timeframe ย่อยลงไปเพื่อตีกรอบการกำหนดพื้นที่ตรงส่วนนี้ให้น้อยลง และเพื่อให้เกิดความเสี่ยงน้อยหรือไม่เกิด ก็จะใช้วิธีการด้วยการเห็น price action ยืนยันก่อนค่อยเปิดเทรด พื้นที่กำหนด Risk ต้องมีตัวต้านทานมากเทรดเดอร์ เลยมักจะเปิดเทรดแถวที่เป็น supply/demand หรือ price level ที่เป็นต้นตอ หรือเมื่อราคาเบรคกลายมาเป็น swap level แล้วเปลี่ยนข้างเทรด

อย่างภาพด้านบนเป็นการกำหนด trade setup ด้วยหลักการ supply/demand เราก็ต้องเข้าใจว่าหลักการนี้กำหนดเทรด setup อย่างไรและกำหนด risk:reward อย่างไร ดูขั้นตอนดังต่อไปนี้เพื่อกำหนด risk:reward สำหรับเทรดครั้งที่บอกว่า Sell 1 และ Sell 2 อย่างไร

You cannot view this attachment.

•   ราคาวิ่งอยู่ในกรอบสีแดงเราไม่รู้ว่าจะกลายมาเป็น supply จนกว่าราคาเบรคลงมาด้วย momentum เราก็ดูว่าราคาที่เบรคลงมาวิ่งไปไกลได้ขนาดไหน ดูตรงส่วนที่บอกว่า Reward 30 pips นั่นคือส่วนที่ราคาวิ่งลงไปไกลสุดก่อนที่จะหันกลับมา เราก็เอา 2ส่วนนี้มาประกอบการหา risk:reward ด้วยการดูพื้นที่กรอบราคาก่อนที่ราคาจะเบรค และกรอบราคาที่พอราคาเบรคแล้วไปได้ไกลขนาดไหน ก็จะได้ 2 กรอบราคาเอามาเทียบสัดส่วนกัน ส่วนที่ราคาวิ่งอยู่ในกรอบหรือ consolidation ก็กำหนดเป็นพื้นที่ท่านจะเสี่ยงว่ารับได้มากแค่ไหน อย่างในตัวอย่างประมาณ 10 pips และกรอบที่ราคาวิ่งไปเป็นกรอบ Reward วิ่งประมาณ 30 กว่า pips ได้ สัดส่วนเทียบได้ 1:3 ได้ เมื่อมองจากมุมของ structure ก็จะบอกได้ว่า ถ้ากรอบ trade setup มองจาก timeframe ที่ใหญ่ขึ้น หรือคู่เงินที่มี volatility มากขึ้น ระยะห่างการเคลื่อนไหวต่อ pips ก็จะมากขึ้นไปด้วย แต่หลักการเดียวกันคือให้ส่วนของ Risk น้อยที่สุด หรืออาจเริ่มที่ 1:3 ส่วนของ Reward ยิ่งมากยิ่งดี

•   กำหนด Stop loss สำหรับ Risk และ Take Profit สำหรับ Reward – เช่นเมื่อ Sell 1 การเปิดเทรดอาจเป็นเปิดทันทีที่ราคามาถึง หรือแบบมี price action ยืนยัน ถ้าเป็นการเปิดเทรดแบบแรก การกำหนด Stop loss เบื้องต้นก็อิงกรอบ Risk ที่กล่าวก่อนนี้เพิ่มขึ้นไปอีกนิดหน่อย ท่านอาจจะพบว่าแบบนี้กรอบ risk อาจมากไป เพราะท่านมีวิธีการที่จำกัดให้น้อยลงได้ ด้วยการเปิดเทรดแบบรอให้ price action บอกหรือยืนยันว่าจะเปิดเทรดเมื่อไร เช่นเปิดเทรดหลังจากที่เห็นบาร์สีแดง Engulfing ลงมา บอกว่า market orders เริ่มเกินออเดอร์ตรงข้าม ได้เวลาที่จะเข้าเทรดอีกรอบ การเปิดเทรดแบบหลัง ท่านสามารถจำกัดเรื่องของ risk ลงมาอีกได้ แค่กำหนดแถว High กรอบที่บอก sell 1 แต่ก็มีข้อเสียอย่างหนึ่งเพราะเป็นไปได้ที่ขาใหญ่อาจดันราคาไปแตะstop loss ด้านบน เพื่อเข้าเทรดอีกแล้วค่อยลงไปต่อได้ วิธีการนี้แนะให้ท่านใช้ trade setup ด้วยการกำหนด stop loss และ take profit จาก timeframe ที่ท่านกำหนด trade setup และใช้ timeframe ย่อยลงมาเปิดการเปิดเทรดหรือเข้าตลาด

•   กรณีการ Sell ที่เลข 2 ก็จะเพิ่มตัวแปรขึ้นมาอีก เช่นส่วนของ reward ที่ราคาลงมา ท่านดูว่าลงมากกว่า Low เดิมได้มากแค่ไหน และเด้งขึ้นตรงไหน และตอนที่ราคาวิ่งกลับไปได้สร้าง demand ใหม่เกิดขึ้นด้วยหรือเปล่า (นั่นเลยเป็นหลักการเทรดสำคัญเรื่องของการเทรด retracement คือให้พยายามเปิดเทรดตอนราคากลับมาครั้งแรก เพราะถ้ามากครั้งขึ้น ต้องดูส่วนประกอบหลายอย่างมากขึ้น) การเปิดเทรดครั้งสอง แม้ว่าจะใช้หลักการกำหนด risk พื้นที่เดียวกัน แต่เนื่องจากราคากลับมาครั้งแรก มีการใช้ไป limit orders พื้นที่ตรงนั้น แนะนำให้เทรดด้วยการใช้ price action ประกอบ ถ้าเป็นค่อยเปิดเทรดแล้วกำหนด risk:reward แบบเดียวกัน แต่ให้ระวัง demand ใหม่ที่เกิดขึ้น จะเห็นว่าแม้เรื่อง risk:reward ได้ตามเปล่า แต่กว่าที่ราคาจะมาถึง หลังจากที่ราคาเบรค demand บนได้ก็ consolidation นานกว่าจะลงมาต่อ

จะเห็นว่าจากตัวอย่างที่ยกมาประกอบ การกำหนด risk ท่านต้องการเห็นว่าพื้นที่ตรงนั้นน่าจะมีความต้านทาน market orders ที่จะมา ไม่สามารถเกินพื้นที่นั้นได้ ยิ่งมีมากยิ่งจะทำให้กรอบกำหนด risk น้อยด้วยยิ่งดี แต่ต้องไม่ลืมว่าท่านกำหนดพื้นที่จาก timeframe ไหน ถ้ามาจาก timeframe ใหญ่พื้นที่กำหนดความเสี่ยงก็จะมากขึ้น ส่วนเรื่องของ reward ท่านต้องดูว่าถ้าราคาจะวิ่งไปมีตัวต้านทานน้อยหรือเปล่า เพราะเมื่อราคาวิ่งไปทางที่วิ่งไปมีออเดอร์ตรงข้ามน้อยก็จะทำให้ราคาวิ่งผ่านไปได้ไม่ยาก เมื่อเทียบสัดส่วนแล้วให้ได้ 1:3 ขึ้น หรือยิ่งมากยิ่งดี เช่น 1:5 1:10 1:15 เป็นต้น เพราะราคาจะวิ่งไปทางที่วิ่งไปได้ง่ายเสมอ เพราะไม่มีจำนวนออเดอร์ตรงข้ามมากพอ หรือที่มักจะได้ยินว่าราคาจะวิ่งไปหา liquidity เสมอ
#11
  กลยุทธ์การเข้าทำการซื้อขาย ด้วยเครื่องบ่งชี้ PARABOLIC SAR และ MACD เป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่ทำงานได้ดีมากในตลาดกราฟราคาแท่งเทียนที่มีความชัดเจน ถ้าเทรดเดอร์เป็นเทรดเดอร์มือใหม่ กลยุทธ์การเข้าเทรดด้วย เครื่องบ่งชี้ PARABOLIC SAR และ เครื่องบ่งชี้ MACD จะเป็นเรื่องที่ง่ายมากๆ สำหรับการหัดเทรด

   ในช่วงท้ายๆ บทจะมีการแนะนำในส่วนของการใช้เครื่องบ่งชี้ ทั้งสองรายการนี้ เพื่อทำกำไรระยะสั้นอย่างรวดเร็วอีกขั้นตอนหนึ่ง

   ให้เทรดเดอร์ ตั้งค่าเครื่องมือตามนี้ :

•   กรอบระยะเวลา : ทุกกรอบระยะเวลา

•   คู่สกุลเงิน : ทุกคู่สกุลเงิน

•   เครื่องบ่งชี้ : PARABOLIC SAR

•   เครื่องบ่งชี้ : MOVING AVERAGE CONVERGENCE  DIVERGENCE (MACD)


                                                                  HOW TO SETTING PARABOLIC SAR INDICATOR

You cannot view this attachment.

                         HOW TO SETTING MOVING AVERAGE CONVERGENCE  DIVERGENCE (MACD) INDICATOR

You cannot view this attachment.

 กฎ – การเข้าทำการซื้อขายด้วยเครื่องบ่งชี้ PARABOLIC SAR และ (MACD)

                                           กฎ – การเข้าทำการเปิดคำสั่ง ซื้อ ด้วยเครื่องบ่งชี้ PARABOLIC SAR และ MACD

You cannot view this attachment.

•   ให้เทรดเดอร์ รอสัญญาณจากเครื่องบ่งชี้  MACD ตัดผ่านขึ้นไป โดยให้มองที่เส้นสัญญาณ (SIGNAL) ตัดผ่านแถบ HOLOGRAM ขึ้นไปด้านบน

•   จากนั้นให้เทรดเดอร์มองไปที่ เครื่องบ่งชี้ PARABOLIC SAR เพื่อดูว่า สัญลักษณ์ไข่ปลาได้มาอยู่ด้านล่างกราฟราคาหรือไม่

•   ให้เทรดเดอร์วางตำแหน่งคำสั่งซื้อล่วงหน้าไว้ที่ ด้านบนของกราฟราคาแท่งเทียน ณ จุดที่ทั้ง MACD และ PARABOLIC SAR ยืนยันสัญญาณการซื้อ

•   ตำแหน่งหยุดการสูญเสีย ให้เทรดเดอร์วางไว้ ด้านล่างของกราฟราคาแท่งเทียน แท่งที่เทรดเดอร์วางคำสั่งซื้อล่วงหน้าไป ประมาณ 5-30 PIPS โดยขึ้นกับว่า เทรดเดอร์ใช้กรอบระยะเวลาไหน

•   ให้เทรดเดอร์ ออกจากคำสั่งซื้อเมื่อเทรดเดอร์ได้รับสัญญาณจากฝั่งตรงกันข้ามแท่งเทียน

                                กฎ – การเข้าทำการเปิดคำสั่ง ขาย ด้วยเครื่องบ่งชี้ PARABOLIC SAR และ MACD

You cannot view this attachment.

•   ให้เทรดเดอร์ รอสัญญาณจากเครื่องบ่งชี้  MACD ตัดผ่านลงไป โดยให้มองที่เส้นสัญญาณ (SIGNAL) ตัดผ่านแถบ HOLOGRAM ลงไปด้านล่าง

•   ที่เครื่องบ่งชี้ PARABOLIC SAR เพื่อดูว่า สัญลักษณ์ไข่ปลาต้องเปลี่ยนไปอยู่ด้านบนของกราฟราคาแท่งเทียน

•   จากนั้นวางตำแหน่งคำสั่งขายล่วงหน้าไว้ที่ ด้านล่างของกราฟ ในแท่งเทียน ที่ทั้ง MACD และ PARABOLIC SAR ยืนยันสัญญาณการขาย

•   ตำแหน่งหยุดการสูญเสีย ให้เทรดเดอร์วางไว้ ด้านบนของกราฟแท่งเทียน แท่งที่เปิดคำสั่งขายไป โดยขึ้นกับว่า เทรดเดอร์ใช้กรอบระยะเวลาใด ถ้ากรอบเวลาใหญ่ คำสั่งหยุดการขาดทุนจะต้องมากตามไปด้วย

•   เป้าหมายในการทำกำไร หรือออกจากคำสั่งขาย ให้เทรดเดอร์ คำนวณจากอัตราส่วนกำไรต่อความเสี่ยง หรือจากการแกว่งตัวต่ำสุด ล่าสุดของกราฟราคาแท่งเทียนก่อนหน้า


ข้อเสีย - ของการเข้าทำการซื้อขายด้วยเครื่องบ่งชี้ PARABOLIC SAR และ MOVING AVERAGE CONVERGENCE  DIVERGENCE (MACD)

   แน่นอนว่าในตลาดที่ไม่แนวโน้มที่ชัดเจน  (SIDEWAY TREND) เทรดเดอร์จะได้รับสัญญาณเท็จมากเกินไป ซึ่งจะส่งผลให้คำสั่งซื้อหรือขายของเทรดเดอร์ โดนคำสั่งหยุดการขาดทุนมากเกินไปเช่นกัน

   MACD & PARABOLIC SAR เป็นทั้งตัวบ่งชี้ ที่มีความความล่าช้าในบางส่วน ดังนั้นการเข้าทำการซื้อขายของเทรดเดอร์ จะขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ล่าช้าบ้าง เมื่อราคามีการเคลื่อนไหวไปแล้วและบางครั้งที่กว่าเทรดเดอร์จะได้รับสัญญาณ ก็อาจจะกลายเป็นจุดกลับตัวของกราฟราคาแท่งเทียนไปแล้ว

ข้อดี - ของการเข้าทำการซื้อขายด้วยเครื่องบ่งชี้ PARABOLIC SAR และ MOVING AVERAGE CONVERGENCE  DIVERGENCE (MACD)

   กลยุทธ์นี้ เป็นกลยุทธ์การเข้าซื้อขาย FOREX ที่เรียบง่ายและใช้ง่าย มีการยืนยันจากสอง เครื่องบ่งชี้ เหมาะสมอย่างมากสำหรับการเข้า เทรดโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่เทรดเดอร์สามารถสังเกตเห็นการตั้งค่าการค้าที่ เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย

   ในตลาดที่มีแนวโน้มดี มีความชัดเจนของแนวโน้ม ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มขาขึ้น หรือแนวโน้มขาลง จะมีศักยภาพที่จะทำกำไรได้มาก

คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับ การเข้าทำการซื้อขายด้วยเครื่องบ่งชี้ PARABOLIC SAR และ (MACD) แบบ 5 MINUTE SCALPING

   เทรดเดอร์สามารถ เข้าทำการซื้อขายอย่างรวดเร็วได้ด้วย การเทรดแบบ 5 MINUTE SCALPING  โดยให้ เทรดเดอร์ตั้งค่าเพิ่มเติมดังนี้ :

•   กรอบระยะเวลา : 5 นาที

•   คู่สกุลเงิน : EUR/USD, GBP/USD, EUR/JPY, GBP/JPY

•   เครื่องบ่งชี้ : PARABOLIC SAR

•   เครื่องบ่งชี้ : MOVING AVERAGE CONVERGENCE  DIVERGENCE (MACD)

•   เครื่องบ่งชี้ : เส้นค่าเฉลี่ยราคา EXPONENTIAL MOVING AVERAGE 125



กฎ - การเข้าทำการซื้อด้วยเครื่องบ่งชี้ PARABOLIC SAR และ (MACD) แบบ 5 MINUTE SCALPING

•   กราฟราคาแท่งเทียนจะต้อง อยู่สูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ยราคาเคลื่อนที่ EXPONENTIAL MOVING AVERAGE 125

•   จุดไข่ปลาของเครื่องบ่งชี้ PARABOLIC SAR ต้องอยู่ต่ำกว่า แท่งกราฟราคา

•   ให้เทรดเดอร์สามารถเข้าเปิดคำสั่งซื้อ ได้ในทันที

•   ในแบบการเข้าซื้อที่รวดเร็ว กรอบเวลา 5 นาทีนั้น ให้เทรดเดอร์ มีเป้าหมายการทำกำไรที่  20 PIPS หรืออัตราความเสี่ยงต่อผลกำไร ที่  1: 2



กฎ - การเข้าทำการขายด้วยเครื่องบ่งชี้ PARABOLIC SAR และ (MACD) แบบ 5 MINUTE SCALPING

•   กราฟราคาแท่งเทียนจะต้อง อยู่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยราคาเคลื่อนที่ EXPONENTIAL MOVING AVERAGE 125

•   จุดไข่ปลาของเครื่องบ่งชี้ PARABOLIC SAR ต้องอยู่สูงกว่า แท่งกราฟราคา

•   สามารถเข้าเปิดคำสั่งขาย ได้ในทันที

•   ให้มีการทำกำไรระยะสั้นที่รวดเร็ว ประมาณที่  20 PIPS หรืออัตราความเสี่ยงต่อผลกำไร ที่  1: 2

   เทรดเดอร์สามารถ ตัดจบที่ เป้ากำไร มากกว่าหรือน้อยกว่า 20 PIPS ก็ได้ จะมากกว่าหรือน้อยกว่า 20 PIPS เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจได้เลย

   ถ้าเทรดเดอร์มองเห็นพฤติกรรมกราฟราคาแท่งเทียนแล้ว มีแนวโน้มว่าจะไปต่อในทิศทางที่เทรดเดอร์ยังอยู่ในการซื้อขายก็ สามารถปล่อยถือ เก็บกำไรยาวๆ ได้
   หรือเทรดเดอร์อาจตัดกำไรที่ 20 PIPS แล้วหาจังหวะในการเข้าเทรดใหม่ ขึ้นกับการออกแบบ กลยุทธ์ของเทรดเดอร์
#12
กลยุทธ์การเข้าซื้อขายด้วยระยะเวลารายวัน แบบเข้าใจง่าย เป็น กลยุทธ์การซื้อขายวันอันทรงพลังสำหรับการซื้อขาย ค่าเงิน  FOREX

   จากการทำงานกับเทรดเดอร์ทั่วโลก ทำให้สังเกตเห็นว่า เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ เข้าทำการซื้อขายกราฟแท่งเทียน FOREX ด้วยวิธีการที่ซับซ้อนเกินไป  เทรดเดอร์เหล่านั้นมีเครื่องมือวัดค่า เครื่องมือบ่งชี้ หลายสิบรายการ ชี้วัดค่าต่างๆ บนหน้าจอกราฟราคาของพวกเขาและหลังจากนั้นก็ไม่สามารถที่จะเข้าทำการซื้อขายด้วยความมั่นใจได้ ในบทความนี้ เทรดเดอร์จะได้เรียนรู้วิธีการที่ทำให้มีความมั่นใจในการตัดสินใจในการเข้าซื้อขายได้ โดยใช้กลยุทธ์การซื้อขายด้วยระยะเวลารายวันแบบง่ายๆ ที่อาศัยเฉพาะสองตัวบ่งชี้เท่านั้น

   การตั้งค่าการซื้อขายในบทความนี้ ให้ใช้ตัวบ่งชี้  MACD - MOVING AVERAGE CONVERGENCE DIVERGENCE  เพื่อระบุแนวโน้มและ BOLINGER BANDS เป็นตัวตัดสินใจเข้าทำการซื้อขาย


   การตั้งค่า MACD INDICATOR

•   12 FOR THE FAST MOVING AVERAGE

•   26 FOR THE SLOW MOVING AVERAGE

•   9 FOR THE SIGNAL LINE


   การตั้งค่า BOLLING BANDS INDICATOR

•   12 FOR THE MOVING AVERAGE

•   2 STANDARD DEVIATIONS FOR THE BANDS

You cannot view this attachment.
You cannot view this attachment.

 กฎการเข้าทำการซื้อขาย

   กฎการเข้าทำการซื้อ แบบ รายวัน

•   HISTOGRAM MACD อยู่ด้านบนของเส้นสัญญาณและด้านบนของเส้น ZERO LINE

•   ให้เทรดเดอร์วางคำสั่ง ซื้อล่วงหน้า ที่เส้นด้านบนของ  BOLLINGER BANDS


   กฎการเข้าทำการขาย แบบ รายวัน

•   HISTOGRAM MACD อยู่ด้านล่างของเส้นสัญญาณและด้านล่างของเส้น ZERO LINE

•   ให้เทรดเดอร์วางคำสั่ง ขายล่วงหน้า ที่เส้นด้านล่างของ  BOLLINGER BANDS


   
                          ตัวอย่าง – การเข้าทำการซื้อขาย แบบรายวันด้วย เครื่องมือ BOLLINGER BAND & MACD

You cannot view this attachment.

•   ตลาดขาขึ้นมีการขึ้นของกราฟอย่างต่อเนื่องในระหว่างวัน  อย่างไรก็ตามกราฟราคาที่ระดับสูงกว่าความสูงครั้งก่อนหน้าขึ้นนี้ มีความใกล้เคียงกับที่ระดับต่ำสุดของ HISTOGRAM ของ MACD  เหตุการณ์ที่เกิดนี้เกิดขึ้นเป็นสัญญาณของความขัดแย้งระหว่างกราฟราคาแท่งเทียนกับเครื่องมือชี้วัด ในตลาดขาลง เป็นการส่งสัญญาณเตือนสำหรับการกลับตัวของกราฟราคาแท่งเทียน ความขัดแย้งของตลาดขาลงนี้ให้ถือเป็นบริบทที่ยอดเยี่ยมมาก สำหรับการซื้อขายระยะสั้น

•   อ่อนตัวลงมาใกล้เส้น ZERO LINE และสัญญาณ MACD เคลื่อนตัวใต้เส้น ZERO LINE นั่นเป็นสัญญาณของเทรดเดอร์ สำหรับแนวโน้มขาลง คำสั่งหยุดการขาย STOP LOSS ถูกวางไว้ที่แถบ BOLLINGER BAND ตอนล่างเพื่อป้องกันการขาดทุนจากการเข้าทำการขาในระยะสั้น

•   หลังจากนั้น มีสัญญาณ MACD ขึ้นเหนือเส้น ZERO LINE อีกครั้ง เป็นความพยายามที่จะดันราคาขึ้นไปอีกครั้ง



   ปัญหาทั่วไปเกี่ยวกับความแตกต่างของ MACD

   หนึ่งในปัญหาหลักของเครื่องบ่งชี้ MACD ที่มีความแตกต่างก็คือว่า มันมักจะส่งสัญญาณกลับตัว (เป็นไปได้) แต่ไม่เกิดการกลับตัวที่เกิดขึ้นจริง แต่ความแตกต่างจะเกิดขึ้นเสมอเมื่อมีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน (เคลื่อนไหวใหญ่ในระยะเวลาสั้น ๆ )

   แนะนำให้ใช้เครื่องบ่งชี้ MACD กับเครื่องมืออื่นๆ นอกเหนือจาก BOLLINGER BANDS ด้วย

   ทบทวน - กลยุทธ์การเข้าซื้อขายรายวันแบบง่ายกับ BOLLINGER & MACD

   ในบทความนี้ ให้เทรดเดอร์ใช้เครื่องมือบ่งชี้ สำหรับวัดค่าเพียงสองตัวเท่านั้น และใช้สองขั้นตอนง่าย ๆ วิธีเหล่านี้เป็นกลยุทธ์การซื้อขาย แบบรายวันที่ดีมาก

   จากการได้ทดลองใช้กรอบเวลาที่แตกต่างกันแล้ว และพบว่ากลยุทธ์การซื้อขายของแบบระยะเวลารายวัน น่าจะเป็นที่เหมาะสมที่สุด สำหรับการเฝ้าติดตามแนวโน้ม

   ด้วยว่าเวลาที่ HISTOGRAM MACD ปรับตัวสูงขึ้น ไม่เพียงแต่เหนือเส้นสัญญาณ แต่ยังเหนือเส้น ZERO LINE ด้วย นี่เป็นกลยุทธ์การซื้อขายรายวันวัน ที่สามารถหาแนวโน้มระยะสั้นได้ด้วย การประยุกต์ใช้ MACD นี้ สามารถทำได้หลากหลาย

   ถ้าเทรดเดอร์ต้องการ จำกัดตัวเองเพื่อการเข้าทำการซื้อขายที่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะสามารถทำกำไรได้เท่านั้น ก็ให้เทรดเดอร์ใช้การตั้งค่าที่เกิดขึ้นหลังจากเครื่องบ่งชี้ MACD ชุดแรกข้ามเส้น ZERO LINE ไปได้แล้ว ถ้าเทรดเดอร์ทำตามกฎนี้จะทำให้ ตัวเทรดเดอร์มีแนวโน้มใหม่
#13
วิธีการใช้งานระบบ Pivot Point

Q: ระบบ Pivot Point คืออะไร ?
A: คือ เครื่องมือทางเทคนิคคอลที่เทรดเดอร์มืออาชีพ และ Market Maker นิยมที่จะใช้ Pivot point นี้มาเป็นเครื่องมือในการหาแนวรับแนวต้านที่สำคัญ ที่อาจเกิดการกลับตัวของราคาได้ในระดับแนวรับแนวต้านนั้นๆ เราอาจเห็นว่า Pivot point นั้นมีความคล้ายคลึงกับ Fibonacci อยู่มากทีเดียว แต่ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างทั้งสองอย่างก็คือการใช้ Fibonacci เราสามารถเลือกจุดสวิงสูงสุด และต่ำสุดได้ตามที่เราต้องการ แต่การใช้ Pivot point เราจะไม่สามารถเลือกสวิงได้ แต่เราจะใช้ค่าเดียวที่ได้จากการคำนวณ

Q: ระบบ Pivot Point มีประโยชน์ยังไง ?
A: ระบบ Pivot point นี้เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากสำหรับเทรดเดอร์ระยะสั้น ที่กำลังมองหาความได้เปรียบในการเคลื่อนไหวของทิศทางราคาในระยะสั้น สามารถใช้ในการเล่น Swing trade โดยใช้หาจุดกลับตัวของราคา รวมทั้งยังสามารถหาจุด Breakout ของราคา และ ยังใช้ในการดูแนวโน้มระยะสั้นของแต่ละวันได้อีกด้วย

You cannot view this attachment.

Q: ระบบ Pivot Point จะทำอัพเดทข้อมูล แนวรับ แนวต้าน เวลาใด ?
A: โดยระบบจะทำการอัพเดทในทุกๆ วัน เวลา 17.00 น.

Q: วิธีการใช้งาน Pivot Point ?
A: การใช้งาน Pivot point อย่างแรกเลยก็คือ ใช้เป็นแนวรับแนวต้านได้เป็นอย่างดี เพราะราคามันจะมาเทสที่เส้น ยิ่งมาเทสบ่อย แล้วไม่วิ่งผ่านทะลุไป หมายความว่าแนวรับ หรือแนวต้านนั้นมีความแข็งแกร่งมาก แสดงว่ามีแนวโน้มมาก ที่ราคาจะมีการกลับตัวได้ในตำแหน่งนั้นๆ
เมื่อราคาวิ่งมาอยู่บริเวณ Pivot point จะส่งสัญญาณที่ดีในการเทรดว่าควรจะเปิด Buy หรือ Sell และควรตั้ง TP (Target Price) และ SL (Stop Loss) ไว้ที่ไหน ซึ่งโดยปรกติแล้ว ถ้าราคาอยู่เหนือเส้น Pivot จะแสดงถึงแนวโน้มขาขึ้น และ ถ้าต่ำกว่าเส้น Pivot ก็จะแสดงแนวโน้มขาลง บางคนจึงใช้จุดนี้ในการเข้าเทรดได้แบบง่ายๆ คือ ราคาอยู่เหนือ Pivot point ก็ซื้อ, ต่ำกว่า Pivot point ก็ขายตามไป SL แค่เหนือหรือต่ำกว่าจุด Pivot point

ส่วนถ้าคุณเห็นราคาอยู่ใกล้กับเส้นแนวต้านด้านบน คุณก็ขายลงมา และตั้ง SL เหนือระดับแนวต้านนั้น หรือถ้าคุณเห็นราคาอยู่เหนือเส้นแนวรับ คุณก็ซื้อขึ้นไป และตั้ง TP ที่แนวต้านด้านบน และ ตั้ง SL ไว้ใต้แนวรับนั้น หรือห่างออกไปอีกแนวรับหนึ่ง ซึ่งก็แล้วแต่สถานการณ์และวิจารณญาณในขณะนั้นของแต่ละคน

You cannot view this attachment.

ก็เหมือนกันแนวรับแนวต้านทั่วๆไป Pivot point นั้นก็ต้านราคาไม่อยู่ตลอดไป บางครั้งราคาอาจจะวิ่งทะลุเส้นไปเป็น Breakout และบางทีราคาก็มาไม่มาเทสที่เส้นแนวรับแนวต้านต่างๆ อาจจะวิ่งมาแค่เฉียดๆ หรือ อยู่ในระยะที่ใกล้เคียง ก็เพราะมันไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ และไม่มีอะไรที่แน่นอน ดังนั้นบางครั้งถ้าเรามัวแต่รอให้ราคาวิ่งมาชนที่เส้น เราก็อาจพลาดจังหวะการเข้าเทรดได้

จงจำไว้ว่า เมื่อแนวรับถูกทำลายมันจะกลายเป็นแนวต้านแทน (ตามหลักการ แนวต้าน กลายเป็นแนวรับ แนวรับ กลายเป็นแนวต้าน)

ไม่ว่าเราจะใช้เครื่อมือใดๆก็ตามแต่ อย่างไรซะในการเทรดมันก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ ดังนั้นเราจึงควรมีเงื่อนไขในการเทรดด้วย ว่าเมื่อไหร่เราควรทำอะไร ต่อไปนี้เป็นภาพตัวอย่างการตั้ง TP และ SL

You cannot view this attachment.

สังเกตว่า เมื่อราคาวิ่งผ่านแนวต้านแต่ละแนวไป เราจะตั้ง Stop Loss ไว้ที่ใต้แนวรับนั้นๆ ส่วนเป้าหมายราคาหรือ Target Price ก็จะเป็นแนวต้านต่อๆไป หรือ ถ้าเป็นในทางกลับกัน ราคาวิ่งลงมา เราก็จะตั้ง Stop Loss ไว้ที่เหนือแนวต้าน แล้ว Target Price ที่แนวรับถัดๆไป นี่เป็นหลักการเบื้องต้นง่ายๆในการใช้ Pivot point ในการเทรด ประโยชน์ของมันเล็กน้อยแต่มากมายมหาศาลสำหรับคนที่รู้จักการนำมาปรับใช้

#14
รูปแบบสามเหลี่ยมเป็นรูปแบบเทรนด์ต่อเนื่องที่เกิดขึ้นและมีรูปร่างเป็น 3 เหลี่ยม

หมายความว่านี่เป็นรูปแบบกราฟที่เกิดขึ้นในตลาดขาขึ้นหรือตลาดขาลงก็ได้ แม้ว่ารูปแบบสามเหลี่ยมจะเกิดเป็นเทรนด์ต่อเนื่องในทิศทางใดทิศทางหนึ่งในเทรนด์ระยะยาว มันสามารถใช้ระบุจุดการจบของเทรนด์แบบจุดกลับตัวเมื่อมันมีรูปแบบที่ถูกต้องได้

You cannot view this attachment.

กราฟรูปแบบสามเหลี่ยม

มีรูปแบบกราฟหลายประเภทในการวิเคราะห์ทางเทคนิคและอย่างหนึ่งที่ต้องคิดเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนในการวิเคราะห์คือว่ามันเป็นกราฟที่ทำให้ราคากระจุกตัวหรือว่า ราคากระจายตัวออก

นิยามลักษณะของของรูปสามเหลี่ยม :

- จะต้องมี 2 จุด ณ จุดยอดที่จะทำให้เกิดแนวต้านโดยการใช้เทรนด์ไลน์ 2 จุดที่จุดก้นจากระดับแนวรับ

- เส้นจะบรรจบเรียกว่า Apex ราคาจะเกิด Higher Low และ Lower high ในกรณีของเทรนด์ขา ขึ้นเมื่อราคาเริ่มแคบในกรอบ

- ถ้าคุณเทรดตลาดอื่น ๆ นอกเหนือจากตลาด Forex ที่ซึ่งคุณสามารถวัดปริมาณการเทรด และจะ ได้เห็นปริมาณการเทรดที่ลดลงภายในกราฟ

- กฏที่สำคัญคือ เทรนด์ขาขึ้น จะต้องมีการเกิดเบรคเอาท์เกิดขึ้น

- ในเทรนด์ขาลง ราคาอาจจะทะลุแนวรับ

- เราไม่เคยรู้ว่ามันจะทะลุทางไหน ดังนั้นคุณต้องใช้การยืนยันสัญญาณก่อนว่ามันเบรคแล้วค่อย เทรด

- สิ่งสำคัญ : เบรคเอาท์หลอกบ่อยครั้งที่เราต้องเจอกับภาวะขาดทุน และบ่อยครั้งเช่นกันที่มันจะ ไปต่อในทิศทางที่เกิดเบรคเอาท์หลอกนี้

รูปสามเหลี่ยมเป็นรูปแบบหนึ่งของการเทรด Forex ซึ่งเป็น Price Action ซึ่งหมายความว่าคุณไม่ต้องใช้ indicator ใด ๆ แต่ว่าต้องมีความสามารถในการรับรู้รูปแบบกราฟเมื่อมันเกิดรูปแบบสำหรับ เทรดขึ้นมา

หัวใจหลักในการเทรดรูปแบบสามเหลี่ยม

นี่คือ 2 สิ่งที่สำคัญที่คุณต้องใช้ในการเทรดรูปแบบสามเหลี่ยมเพื่อให้ประสบความสำเร็จ :

1. รูปแบบสามเหลี่ยมสามารถเกิดที่ไหนก็ได้บนกราฟแต่ว่ามองหาโมเมนตั้มในทิศทางของเทรนด์ที่คุณคิดและมันส่งสัญญาณ

2. ถ้าคุณเห็นเทรนด์ขาขึ้น ตัวอย่างเล่น มี ราคา Lower High และ Higher High เกิดขึ้น ให้มองหาจุดที่จะลากเส้นเทรนด์ไลน์จุดที่ 2

3. เป้าหมายทำกำไรสามารถใช้วัด ใช้กรอบที่กว้างของโซน 3 เหลี่ยมแล้วทำนายมันจากพื้นที่ของเบรคเอาท์ใกล้ ๆ วัดไปจากระยะที่กว้างที่สุดของสามเหลี่ยม

You cannot view this attachment.

กุญแจสำคัญในการเทรดรูปแบบสามเหลี่ยม

กลยุทธ์การเทรดสำหรับรูปแบบสามเหลี่ยม

เช่นเดียวกับกลยุทธ์ Price Action และกลยุทธ์การเทรดแบบใช้โครงสร้างราคา มีสิ่งที่จับต้องไม่ได้เนื่องจากเทรดเดอร์ 2 คนอาจจะเห็นกราฟ ๆ เดียวแตกต่างกัน

สิ่งที่คุณต้องคิดคือ แผนการเทรดที่ถูกต้อง ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่จับต้องไม่ได้ และคุณสามารถใช้แผนการเทรดตัวอย่างที่ให้ข้างล่างนี้ เพื่อดูว่าเหมาะกับคุณหรือเปล่า

- รอและเฝ้าดูว่าแท่งเทียนเบรคเอาของกรอบ 3 เหลี่ยมจะเกิดเมื่อไหร่ ยิ่ง TF ใหญ่ยิ่งดี แท่งเทียนนี้ต้องปิดนอกกรอบสามเหลี่ยมด้วย

- เมื่อแท่งเทียนแท่งนี้ปิด ขึ้นอยู่กับว่ามันปิดด้านไหน คุณสามารถส่ง buy stop/sell stop order 2-5 pips จากราคาปิดของแท่งเทียน

- ตั้งเป้า TP เท่ากับ จุดกว้างสุดของรูปแบบตามที่ได้กำหนดไว้ก่อนหน้า

การตั้งค่า Stop loss เป็นสิ่งสำคัญและคุณต้องมีออพชั่นให้ด้วย:

- ถ้าคุณส่งออเดอร์ buy stop order ตั้งค่า stop loss ของคุณในช่วง 10-30 pips ( ซึ่งขึ้นอยู่กับ TF อะไร) อยู่ใต้ราคา Low ของแท่งเทียนที่ทะลุเบรคเอาท์ของรูปแบบสามเหลี่ยม หรือ คุณสามารถตั้ง Stop loss บนอีกข้างหนึ่งของสามเหลี่ยม นั่นคือ ถ้าคุณส่งออเดอร์ Sell จุดที่คุณต้องส่ง Sell stop ออเดอร์ คือจุดที่คุณส่ง Stop loss ซึ่งค่อนข้างมีประสิทธิภาพมีโอกาสน้อยที่จะชน

- คุณสามารถส่งออเดอร์ ณ ครึ่งหนึ่งของจุดระหว่างกรอบ 3 เหลี่ยม ณ จุดที่เกิดเบรคเอาท์

- ถ้าคุณส่งออเดอร์ sell stop order ตั้ง stop loss 10-30 pips เหนือกว่าจุดสูงของแท่งเทียนที่ทะลุรูปแบบสามเหลี่ยม

You cannot view this attachment.

Triangle entry. Stop loss. Profit Targets

การจัดการการเทรด

- เมื่อคุณเทรดและกำไร และมันอยู่ครึ่งทางของจุดที่จะชนจุดทำกำไร คุณสามารถย้าย Stop loss ไปจุดเท่าทุนเพื่อควบคุมความเสี่ยงได้

- หรือคุณสามารถทำกำไรครึ่งหนึ่งของ Lot ที่ส่งไปแล้วเก็บอีกครึ่งซึ่งปล่อยให้อีกครึ่งที่เหลือทำกำไรต่อไป

- และต้องล็อคกำไรของคุณโดยการย้าย Stop loss ตามไปเรื่อย ๆ ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ทำฝั่งตรงข้ามเป็นฝั่ง Sell เช่นเดียวกัน จนกว่ามันจะชนออเดอร์ Stop เอง.

กลยุทธ์การเทรดรูปแบบสามเหลี่ยมแบบรุดหน้า

- รูปแบบสามเหลี่ยมเป็นรูปแบบที่พุ่งแรง ถ้าคุณสามารถจับเบรคเอาท์ได้ทันเวลา กำไรจะมาอย่างรวดเร็ว

- มันขึ้นอยู่กับ พฤติกรรมราคา และไม่จำเป็นต้องเพิ่ม Indicator อื่น ๆ เข้าไปอีกคุณควรเรียนรู้ที่จะทำให้มันง่ายเข้าไว้ โดยไม่ต้องทำอะไรให้มันซับซ้อน

- กราฟรูปแบบสามเหลี่ยมเกิดขึ้นได้ทุก TF แล้ว TF อะไรที่คุณเทรด มันเกิดขึ้นบ่อยน้อยกว่าหรือมากกว่า Time Frame 1 นาที หรือ 30 นาทีอย่างไร
#15
เทรดเดอร์ที่ดีจะต้องรู้จักการจัดการความเสี่ยง การจัดการความเสี่ยงนั้นจะรวมไปถึงแผนการเทรด จุดตัดขาดทุน และ ออเดอร์สูงสุดและการบริหารมัน การไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เทรดเดอร์ จะตกในหลุมพรางของอารมณ์

เทรดเดอร์ที่ดียังสามารถทำตามแผนการเทรดและมุ่งมั่นกับการรักษาเงินทุนของเขา ขณะที่กำไร นั้นเป็นเรื่องรองลงไป การให้ได้ผลการเทรดที่ยอดเยี่ยม เทรดเดอร์มืออาชีพจะทำการจำกัดการ ขาดทุนของเขา เช่น ต่อวัน ต่อสัปดาห์ หรือรายเดือน

การเทรดโดยรู้ข้อจำกัดทำให้เรามั่นใจได้ว่าเทรดเดอร์จะไม่ต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบาก ในช่วงที่อารมณ์ขีดสุด ซึ่งอารมณ์สามารถมีอำนาจเหนือเหตุผลได้และมันทำให้ขาดทุน

เมื่อถึงวันที่ขาดทุน เทรดเดอร์ที่ดีจะไม่เทรดหลังจากที่เวลาแย่มาถึง นี่เป็นสิ่งที่ควรจะพิจารณา ในการที่นำสภาวะปกติในการเทรดของคุณกลับมาและมันทำให้เทรดเดอร์ได้พักจากตารางการ เทรดของเขา

เทรดเดอร์มืออาชีพจำนวนมาก โดยเฉพาะในบริษัทมักจะตามแนวคิดเรื่องการตั้งขีดจำกัดไว้ใน รายวันรายสัปดาห์ รายเดือนไว้ เมื่อมันถึงแล้วพวกเขาก็จะไม่เทรด ไม่ว่าจะเป็นกรอบรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน

จริง ๆ แล้วเทรดเดอร์มืออาชีพบางคนหรือว่าแม้แต่พวกกองทุนก็จะพักเทรดเดอร์ของเขา เมื่อ จำนวนขาดทุนที่ตั้งไว้ถึงเป้า จนกว่าความมั่นใจจะกลับมา

You cannot view this attachment.

ขณะที่แนวคิดเกี่ยวกับการจำกัดผลการเทรดนี้อาจจะดูย้อนแย้ง แต่ว่ากระบวนการนี้สามารถช่วย ให้เทรดเดอร์รักษาเงินทุนและสามารถสร้างวินัยแบบมืออาชีพที่ทำกัน ตามแนวคิดนี้มันยังช่วย ให้เทรดเดอร์โฟกัสในการสร้างแผนการเทรดที่ดี การมีกลยุทธ์การเทรดที่ดี

ทำไมคุณควรตั้งขีดจำกัดในการเทรด?

การกำหนดขีดจำกัดการเทรดไว้มีประโยชน์สำหรับเทรดเดอร์หลายอย่าง สิ่งสำคัญที่สุดคือมัน จะช่วยให้เทรดเดอร์ไม่เทรดมากเกินไป ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่เทรดเดอร์มักจะละเลยกฏการเทรด และทำให้อารมณ์มีผลต่อการเทรด

เทรดเดอร์เกือบทุกคน เคยมาถึงจุดที่เวลามันมักกระตุ้นให้เทรดมากขึ้น หรือ ถูกยั่วยุให้แหกกฏ ในการเทรด ในการเพิ่ม ออเดอร์ บ่อยครั้งที่กฏเหล่านี้ได้ถูกเพิกเฉย และอารมณ์เข้ามามีบทบาท เหนือสิ่งอื่น ๆ และนำเทรดเดอร์ไปสู่การตัดสินใจที่ใช้อารมณ์มากกว่าการใช้เหตุผล
ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงเวลาแห่งหายนะ การเทรดแบบนี้ทำให้เราขาดทุนอย่างรวดเร็ว การขาดทุน นำไปสู่การล้างพอร์ทอย่างรวดเร็วเมื่อเกิดในเวลาที่มีข่าวทางเศรษฐกิจออกมา

การตั้งขีดจำกัดไว้ที่รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน จะช่วยฝึกให้เราเป็นมืออาชีพมากขึ้น

You cannot view this attachment.

ภาพข้างบนแสดงตัวอย่างของ โปรแกรมบันทึกการเทรดออนไลน์กับการใช้กฏการจำกัดจำนวน การเทรด ในตัวอย่างของ Myfxbook สามารถตั้งเป้าหมายได้ (Goal) แต่ว่าแนวคิดยังคง เหมือนเดิม

ในกราฟข้างบนจะเห็นจำนวนการเทรดรายปี รายเดือน รายสัปดาห์ จำนวนกำไรขาดทุนที่ เกิดขึ้นทั้งมูลค่าจำนวน pip และเป็นมูลค่าเงิน การตั้งค่าอาจจะตั้ง 20 % ต่อเดือนซึ่งระบบจะ เตือนเทรดเดอร์เมื่อมันใกล้ถึงขีดจำกัดที่ตั้งไว้.

ซึ่งแน่นอนว่าสามารถทำใน Excel ก็ได้แต่ว่าต้องบันทึกข้อมูลด้วยตัวเอง

การตั้งขีดจำกัดในการเทรด ?

ข้อจำกัดของการเทรดสามารถตั้งเป็น รายวัน รายสัปดาห์ หรือ รายเดือน มันขึ้นอยู่กับเทรดเดอร์ ว่าอยากจะจำกัดตัวเองเท่าไหร่และตอบคำถามเกี่ยวกับเงินทุนของเทรดเดอร์แน่นอนว่ามันต้อง ทนทนต่อความเสี่ยง

หลักการที่ได้รับการยอมรับอย่างมากคือ 1 หรือ 2 % ของเงินทุนเป็นการขาดทุนสูงสุดที่จะ สามารถยอมรับได้ อย่างไรก็ตามนี่เป็นแค่ต่อการเทรด 1 ครั้ง หรืออีกแง่หนึ่ง 1 % ต่อการเทรดเทรดเดอร์จะสามารถเทรดได้หลายครั้งกว่าจะหมดทุน

แนวคิดการตั้งขีดจำกัดในการเทรดในระดับ รายวัน รายสัปดาห์ หรือ รายเดือนนั้นแตกต่างตาม ขีดจำกัดที่อยู่บนพื้นฐานการเทรดต่อครั้ง

ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณ ขาดทุน 1 % ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง การตั้งขีดจำกัดไว้ที่ 5 % หมายความว่า คุณสามารถขาดทุนได้ 5 ครั้ง ซึ่งนำไปสู่การขาดทุน 5 % ต่อวัน การเทรดนี้จะหยุดสำหรับวันนี้ไปเลย

เช่นเดียวกัน ถ้าคุณตั้งไว้ที่ 10 % ต่อสัปดาห์ คุณสามารถถึงขีดจำกัดนี้ภายใน 3 วันหลังจากนั้น การเทรดของคุณจะหยุดลงสำหรับเวลาหนึ่งสัปดาห์นั้น ส่วนการเทรดรายเดือนก็เช่นเดียวกัน

จำนวนที่คุณต้องการเสี่ยงสามารถขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ เช่น 1% -2% การเทรด อีกวิธีคือ การให้ ความสนใจกับการตั้งค่าการเทรดคือการโฟกัสในการตั้งค่าเปอร์เซ็นต์กำไรแทนที่จะสนใจจุด ขาดทุน

ดังนั้นถ้าเทรดเดอร์ตั้งเป้าไว้ที่ 1.5 % มันสามารถตั้งค่าการเทรดไว้ที่ การขาดทุน 0.75 % หรือ 0.5 % ขึ้นอยู่กับอัตรากำไรขาดทุนที่สามารถรับได้

กฏง่าย ๆ คือการตั้ง 20% หรือ 10% ต่อเดือน จากการพิจารณาที่ว่าในการเทรด 1 เดือนมี 20 วันที่สามารถเทรดได้ หมายความว่าขาดทุน 1 % ต่อวัน แน่นอนหมายความว่าเทรดเดอร์จะต้อง ส่งคำสั่งด้วยขนาดเล็กพอสมควรโดยเฉพาะหากพวกเขามีทุนน้อย

เกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณถึงขีดจำกัดรายวัน หรือ รายสัปดาห์แล้ว ?

ในเหตุการณ์ที่การตั้งขีดจำกัดถึงแล้ว ไม่มีการเทรดเหลือให้เทรดในช่วงเวลาจำกัดนั้น

เทรดเดอร์ในกองทุนบางกองทุน มักจะให้เทรดเดอร์กลับไปเทรดบัญชีทดลองจนกว่าเทรดเดอร์ จะสามารถนำความมั่นใจกลับมาจากการเทรดได้ มันเป็นธรรมดาที่ตลาดจะทำให้เราลังเลกับออเดอร์ที่เข้าได้ไม่ดีและบางครั้งเทรดเดอร์ที่เก่งที่สุดก็ยังหวั่นไหวกับพฤติกรรมตลาดแบบนั้น

ในช่วงเวลาอย่างนี้เทรดเดอร์จะต้องเจอกับภาวะทางอารมณ์ และอารมณ์ยังสามารถที่จะทำให้ การตัดสินใจในการเทรดนำไปสู่ผลขาดทุน ซึ่งการเปลี่ยนไปใช้บัญชี Demo หรือเทรดใน กระดาษทำให้เทรดเดอร์สามารถเรียกความมั่นใจกลับมาได้อีกครั้ง

นอกจากนี้การเทรดบัญชีทดลอง ทำให้เทรดเดอร์สามารถวิเคราะห์ผลการเทรดขาดทุนว่าทำไม ถึงขาดทุน ทำให้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเทรดโดยบัญชีทดลองเป็นตัวเลือกที่ดีในการหยุดบัญชี เงินจริง ๆ และสามารถการวิเคราะห์การตัดสินใจที่นำไปสู่ผลขาดทุน

ในการที่จะทำอย่างนั้น เทรดเดอร์ต้องทำการบันทึก และทำการตัดสินใจบนข้อมูลที่มี บางครั้ง การใช้ข้อมูลราคาในอดีตเพื่อทบทวนเหตุการณ์จำลองเหตุการณ์ จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าเกิดอะไร ขึ้นในตอนที่เราตัดสินใจผิดพลาด

การตั้งขีดจำกัดในการเทรด – ข้อแนะนำจากมืออาชีพ

Mike Bellafiore, เป็นโค๊ชสอนเทรด เป็นผู้ก่อตั้ง SMB Capital และเป็นผู้แต่งหนังสือขายดี One Good Trade และ The PlayBook ซึ่งแนะนำโดยเทรดเดอร์หลายคน กล่าวว่าควรให้ความสำคัญ กับขีดจำกัดในการเทรดในช่วง 6 เดือนแรก

Bellafiore ซึ่งได้ทำการฝึกเทรดเดอร์ให้กับกองทุนหลายคนกล่าวว่า การตั้ง Stop loss บนกราฟ daily, weekly หรือ monthly ควรจะตั้งให้เหมาะกับสไตล์การเทรด ไม่สำคัญว่าจะตั้งน้อยหรือ มากขนาดไหนมันก็ส่งผลกระทบได้มหาศาลเช่นเดียวกัน เทรดเดอร์ควรจะต้องให้เวลาตัวเองใน การกำจัดจุดอ่อน

อีกจุดที่สำคัญที่ Bellafiore แนะนำคือว่า การตั้ง Stop loss อย่างน้อยควรจะอยู่ที่ระดับ TF daily ซึ่งทำให้เทรดเดอร์สามารถรับการขาดทุนได้ 8 – 10 ครั้งติดกัน เพราะว่าหลักการนี้กองทุนจะเทรดด้วยปริมาณการเทรดที่สูง เทรดเดอร์รายย่อยที่ตั้งในกราฟรายเดือนรายสัปดาห์ก็สามารถเป็น ตัวเลือกที่ดีได้เช่นกัน

You cannot view this attachment.

แต่จำนวนการเทรดควรจะต้องมีการปรับให้เหมาะกับสไตล์การเทรดและสภาพตลาดที่เรากำลัง เทรดอยู่

การมีขีดจำกัดในการเทรดทำให้เทรดเดอร์ได้รับผลดีหรือไม่?

ประโยชน์ของกลยุทธ์การเทรดที่มีวินัย รวมกับการจัดการการเทรดนั้นเป็นเรื่องที่ดี แนวคิดการ จำกัดจำนวนการเทรดทำให้เทรดเดอร์สามารถโฟกัสไปที่จำนวนการขาดทุนในการเทรดของเขา ขณะที่มันสามารถตรวจสอบได้ว่าระบบได้เอื้อให้เทรดเดอร์เอาตัวรอดจากอารมณ์ได้หรือไม่

อย่างที่ตอนแรกในเกริ่นในบทความ มีวิธีการในการจำกัดการขาดทุนในการเทรด หลายวิธี อย่างไรก็ตามวิธีการเข้าถึงก็จะแตกต่างกันและได้รับประโยชน์ที่แตกต่างกันในการจำกัดการเทรด ซึ่งแต่ละคนก็อาจจะรู้สึกกับวิธีการที่แตกต่างกันด้วย

ขณะที่เทรดเดอร์รายย่อยอาจจะไม่สนใจเกี่ยวกับการตั้งขีดจำกัดนี้แต่ว่ากองทุนนั้นได้ทดสอบ กระบวนการความเสี่ยงของเขาแล้วว่า นี่เป็นวิธีที่ดีในการควบคุมไม่ให้อารมณ์มามีอำนาจใน ช่วงเวลาที่ทำการเทรด

การตั้งขีดจำกัดในการเทรดสามารถสร้างประโยชน์ได้เมื่อมันมาถึงเรื่องการจัดการ Drawdown และยังช่วยให้เราสามารถฟื้นจาก Drawdown ได้ซึ่งขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และวิธีการจัดการความ เสี่ยงของเทรดเดอร์แต่ละคน.

ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของการจำกัดการเทรด คือ มันจะช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจว่าการเทรดของ เขาเป็นอย่างไรในสภาพตลาดแบบต่าง ๆ โดยการทบทวนกลยุทธ์และสภาพตลาด เทรดเดอร์ จะต้องดูจุดอ่อนจุดแข็งของกลยุทธ์ของตัวเอง

วิธีการนี้จะช่วยเทรดเดอร์มีวิธีการที่แตกต่างออกไป พวกเขาสามรถใช้และเลือกดูวิธีการที่จะดูว่า ตลาดมีพฤติกรรมอย่างไร ท้ายที่สุดเมื่อจบวัน การจำกัดการเทรดยังสามรถช่วยเทรดเดอร์จัดการ ความเสี่ยงและวิเคราะห์ตลาดและกลยุทธ์ที่เขาจะใช้กับตลาด

ความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งคือว่า ถ้าคุณตั้งข้อจำกัดไว้ที่ 20 % มันไม่ได้หมายความว่าคุณกำลัง ปล่อยให้ Drawdown ลดลงไปถึง 20 % ตัวอย่างเช่น ถ้าเดือนแรกคุณเจอ Drawdown 20 % ทีนี้ในเดือนที่ 2 เจออีก 20 % จะทำให้ Drawdown ของคุณคือ 40 %

ขณะที่ข้อจำกัดการเทรดไม่ได้การันตี ว่าคุณจะจำกัด Drawdown ได้เท่าไหร่ แต่คุณจะได้รับการ เตือนว่าคุณถึงจุดขีดจำกัดของคุณแล้วให้คุณตรวจสอบกลยุทธ์การเทรดและต้องค่อย ๆ ตัดสินใจหลังจากได้รับคำเตือน

ดังนั้น การตั้งข้อจำกัดในการเทรด จะต้องสอดคล้องกับกลยุทธ์การเทรดและช่วยให้เทรดเดอร์ สร้างวินัยในการเทรด ขีดจำกัดในการเทรดสามารถตั้งขึ้นอยู่บนฐานของตัวแปรหลายตัวและมัน เริ่มจากความคาดหวังของเทรดเดอร์ต่อผลตอบแทนที่เขาจะได้รับว่าอยากจะเสี่ยงเท่าไหร่และ ทนทานต่อความเสี่ยงได้เท่าไหร่

การตั้งขีดจำกัดไม่ใช่เป็นแนวคิดที่สวยหรู แต่ว่ามันก็ถูกใช้โดยมืออาชีพหลาย ๆ บริษัท มันช่วย ให้เทรดเดอร์จัดการวิธีการเทรดและตรวจสอบสภาพจิตใจของเทรดเดอร์ไปพร้อม ๆ กัน