เข้าใจ Network Effect คืออะไร
Network Effect หรือผลกระทบเครือข่าย คือ ปรากฏการณ์ที่สินค้าหรือบริการมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อมีผู้ใช้งานมากขึ้น โดยการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้แต่ละคนจะส่งผลให้เครือข่ายมีคุณค่ามากขึ้น และดึงดูดผู้ใช้รายใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง สร้างเป็นวงจรการเติบโตแบบทวีคูณนั้นเอง
Network Effect มี 4 ประเภท
(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=6761;image)
1. Network Effect ทางตรง (Direct Network Effect)
• เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการที่มีผู้ใช้ใหม่เพิ่มขึ้นในผลิตภัณฑ์เดียวกัน คุณค่าจะเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนของจำนวนผู้ใช้งาน
• เช่น ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเดิมจะได้ประโยชน์เมื่อมีคนออนไลน์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เพราะสามารถติดต่อสื่อสารกับคนได้มากขึ้น
2. Network Effect ทางอ้อม (Indirect Network Effect)
• เกิดขึ้นเมื่อจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้น ไม่ใช่เพราะได้ประโยชน์โดยตรง แต่เป็นเพราะมีผลิตภัณฑ์เสริมที่ทำให้มีการใช้งานผลิตภัณฑ์หลักเพิ่มขึ้น
• เช่น คนใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้นเพราะมีแล็ปท็อปราคาถูกวางขายในตลาด
3. Network Effect แบบสองทาง (Bilateral Network Effect)
• เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมเพิ่มขึ้น และผู้ใช้ผลิตภัณฑ์นั้นก็ได้รับประโยชน์ด้วย
• เช่น จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเพราะมีผู้ใช้สมาร์ทโฟนมากขึ้น
• ความสัมพันธ์แบบเกื้อกูลกันของทั้งสองผลิตภัณฑ์ทำให้จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น
4. Network Effect แบบเฉพาะกลุ่ม (Local Network Effect)
• เกิดขึ้นเมื่อประโยชน์ที่ผู้ใช้ได้รับมาจากสมาชิกกลุ่มเล็กๆ ไม่ใช่จากสมาชิกทั้งหมด
• เช่น ผู้ใช้แอพส่งข้อความจะได้ประโยชน์ถ้าเพื่อนของเขาสมัครใช้แอพเดียวกัน
• แต่จะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการที่มีผู้ใช้ทั่วไปเพิ่มขึ้น
การเติบโตของ Network Effects หรือผลกระทบเครือข่าย
(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=6759;image)
กราฟที่มีระยะการพัฒนา 4 ขั้นตอนสำคัญ
กราฟนี้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างแกน X ที่แสดงเวลาหรือการพัฒนา และแกน Y ที่แสดงระดับของ Network Effects โดยมีการเติบโตเป็นเส้นโค้งที่เริ่มจากช้าและค่อยๆ เร่งตัวขึ้น ผ่านระยะต่างๆ ดังนี้
1. Create (สร้าง) - จุดเริ่มต้นของเครือข่าย เป็นช่วงที่มีผู้ใช้น้อย การเติบโตช้า เหมือนตอนที่ Facebook เพิ่งเริ่มต้นในมหาวิทยาลัย
2. Contextualize (สร้างบริบท) - เครือข่ายเริ่มมีความหมายมากขึ้น เกิดการใช้งานในบริบทต่างๆ เช่น WhatsApp ที่เริ่มถูกใช้ทั้งในครอบครัว ที่ทำงาน และกลุ่มเพื่อน
3. Connect (เชื่อมโยง) - เครือข่ายเริ่มขยายตัว ผู้ใช้เริ่มชักชวนคนรู้จักเข้ามา เกิดการเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้มากขึ้น
4. Co-create (ร่วมสร้าง) - จุดที่เครือข่ายเติบโตแบบก้าวกระโดด ผู้ใช้ไม่เพียงแค่ใช้งาน แต่ยังมีส่วนร่วมในการสร้างคุณค่าให้กับเครือข่าย เช่น YouTube ที่ผู้ใช้สร้างคอนเทนต์เอง
เส้นกราฟที่โค้งขึ้นแสดงให้เห็นว่า Network Effects ไม่ได้เติบโตแบบเส้นตรง แต่เป็นการเติบโตแบบทวีคูณ โดยเฉพาะเมื่อถึงจุด Co-create ที่การเติบโตจะเร็วขึ้นอย่างมาก เพราะผู้ใช้เริ่มสร้างคุณค่าให้กับเครือข่ายด้วยตัวเอง
Network Effect ในโลกคริปโต
การเติบโตของเครือข่าย Bitcoin
Bitcoin เริ่มต้นในปี 2009 จากชุมชนเล็กๆ ของนักพัฒนาและผู้สนใจเทคโนโลยี ในช่วงแรก Bitcoin แทบไม่มีมูลค่าทางการเงิน แต่เมื่อเวลาผ่านไป เครือข่ายได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องผ่านกลไกของ Network Effect ในหลายมิติ
ความปลอดภัยของเครือข่าย
เมื่อมีนักขุดเข้าร่วมเครือข่ายมากขึ้น กำลังการประมวลผล (Hash Rate) ก็เพิ่มขึ้น ทำให้เครือข่าย Bitcoin ยากต่อการโจมตีมากขึ้น เป็นวงจรบวกที่ดึงดูดทั้งนักลงทุนและนักขุดรายใหม่ เพราะเครือข่ายที่ปลอดภัยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งาน
สภาพคล่องและการยอมรับ
ในปัจจุบัน Bitcoin มีสภาพคล่องสูงที่สุดในบรรดาคริปโทเคอร์เรนซีทั้งหมด ทำให้
• นักลงทุนสามารถซื้อขายได้ง่ายโดยไม่กระทบราคามากนัก
• ร้านค้าและธุรกิจมั่นใจที่จะรับ Bitcoin เป็นการชำระเงิน
• สถาบันการเงินพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin มากขึ้น
แรงจูงใจสำหรับนักขุด
แม้จะมีเหรียญคริปโตอื่นที่ให้ผลตอบแทนการขุดสูงกว่า แต่นักขุดส่วนใหญ่ยังเลือกขุด Bitcoin เพราะ
• มีตลาดรองรับที่แน่นอนสำหรับการขายเหรียญที่ขุดได้
• ราคามีเสถียรภาพมากกว่าเหรียญอื่น
• มีความเสี่ยงต่ำกว่าในการลงทุนด้านอุปกรณ์
ผลกระทบต่อ DeFi (Decentralized Finance)
การสร้างสภาพคล่อง
แพลตฟอร์ม DeFi ที่ประสบความสำเร็จมักจะมีลักษณะเด่น คือ
• มีปริมาณสภาพคล่อง (Total Value Locked - TVL) สูง
• อัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนที่น่าดึงดูด
• มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย
การสร้างระบบนิเวศ
Network Effect ใน DeFi แสดงออกผ่าน
1. การเชื่อมโยงระหว่างโปรโตคอล
o โปรโตคอลที่ใหญ่กว่าดึงดูดการพัฒนาโปรโตคอลที่เล็กกว่า
o เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างโปรโตคอล (Composability)
2. การสร้างนวัตกรรมทางการเงิน
o ผู้พัฒนาสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่บนแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้มาก
o เกิดการต่อยอดและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง
ความได้เปรียบในการแข่งขัน
แพลตฟอร์ม DeFi ที่มี Network Effect แข็งแกร่งจะมีข้อได้เปรียบ:
• ต้นทุนในการทำธุรกรรมต่ำลงเนื่องจากสภาพคล่องสูง
• มีความน่าเชื่อถือจากประวัติการดำเนินงานที่ยาวนาน
• ดึงดูดนักพัฒนาและนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาในระบบ
ข้อจำกัดและความท้าทาย
Negative Network Effect
• บางครั้งการมีผู้ใช้มากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อเครือข่าย
• ตัวอย่างเช่น ค่าธรรมเนียม Gas บน Ethereum ที่สูงขึ้นเมื่อมีผู้ใช้มาก
• อาจนำไปสู่การสูญเสียผู้ใช้หากไม่มีการแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม
อนาคตของ Network Effect ในคริปโต
• การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรองรับผู้ใช้จำนวนมาก
• การสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตและประสิทธิภาพของเครือข่าย
• โอกาสสำหรับโปรเจกต์ ใหม่ในการสร้าง Network Effect ของตัวเอง
Network Effect เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสำเร็จของโครงการคริปโต การเข้าใจและจัดการกับ Network Effect อย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาโครงการให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว
ความสำคัญของ Network Effect ต่อการลงทุน
ปัจจัยที่สร้าง Network Effect ที่แข็งแกร่ง
1. ความง่ายในการใช้งาน
o แพลตฟอร์มที่ใช้งานง่ายจะดึงดูดผู้ใช้ได้ดีกว่า
o การมีคู่มือและการสนับสนุนที่ดีช่วยลดอุปสรรคในการเริ่มต้น
2. ความปลอดภัยของระบบ
o เครือข่ายที่ปลอดภัยจะได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ใช้
o ยิ่งมีผู้ใช้มาก ระบบยิ่งปลอดภัยมากขึ้น (กรณีของ Bitcoin)
3. นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง
o การพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้
o การแก้ไขปัญหาและปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างสม่ำเสมอ
กรณีศึกษาความสำเร็จและล้มเหลว
ความสำเร็จของ Network Effect
1. Ethereum
o สร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งสำหรับ DeFi และ NFT
o ดึงดูดนักพัฒนาจำนวนมากมาสร้างแอปพลิเคชัน
o แม้มีปัญหาค่าธรรมเนียมสูง แต่ยังคงเป็นผู้นำในตลาด
2. Binance Smart Chain
o ใช้ประโยชน์จากฐานผู้ใช้ของ Binance
o นำเสนอทางเลือกที่มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า Ethereum
o สร้างระบบนิเวศที่ครบวงจรสำหรับผู้ใช้
บทเรียนจากความล้มเหลว
1. เหรียญ Fork ต่างๆ
o หลายโครงการที่แยกตัวออกมาไม่สามารถสร้าง Network Effect ได้
o ขาดการสนับสนุนจากชุมชนและนักพัฒนา
2. โครงการที่เน้นเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว
o เทคโนโลยีที่ดีไม่ได้การันตีความสำเร็จ
o ต้องสร้างชุมชนและระบบนิเวศควบคู่กันไป
แนวโน้มในอนาคต
การพัฒนาของ Network Effect
1. การเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย
o เทคโนโลยี Cross-chain จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
o การทำงานร่วมกันระหว่างเครือข่ายจะสร้าง Network Effect แบบใหม่
2. การขยายตัวสู่ภาคธุรกิจ
o การยอมรับจากองค์กรขนาดใหญ่
o การผสมผสานกับระบบการเงินแบบดั้งเดิม
บทสรุป
Network Effect เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนความสำเร็จในโลกคริปโต การเข้าใจกลไกของ Network Effect จะช่วยให้
• นักลงทุนสามารถประเมินศักยภาพของโครงการได้ดีขึ้น
• นักพัฒนาสามารถวางกลยุทธ์การเติบโตที่ยั่งยืน
• ผู้ใช้งานสามารถเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับความต้องการ
ในท้ายที่สุด ความสำเร็จของโครงการคริปโตไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงความสามารถในการสร้างและรักษา Network Effect ที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวด้วย