ThailandTraderClub.com

Crypto Trading and Defi => พื้นฐาน Crypto => หัวข้อที่ตั้งโดย: Support-3 เมื่อ มกราคม 24, 2025, 08:01:19 ก่อนเที่ยง

ชื่อ: Layer 1 vs Layer 2: โครงสร้างพื้นฐานของบล็อกเชน
โดย: Support-3 เมื่อ มกราคม 24, 2025, 08:01:19 ก่อนเที่ยง
Layer โครงสร้างพื้นฐานของบล็อกเชน
บล็อกเชนถือเป็นเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและมีความซับซ้อนในโครงสร้างการทำงาน โดยแบ่งออกเป็นชั้น (Layer) ต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งการทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Layer ต่างๆ จะช่วยให้เราเข้าใจถึงการทำงาน ข้อจำกัด และแนวทางการพัฒนาของเทคโนโลยีบล็อกเชนได้ดียิ่งขึ้น
(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=6777;image)

Layer 1: เครือข่ายพื้นฐานของบล็อกเชน
•    Layer 1 คือ เครือข่ายบล็อกเชนพื้นฐานที่สามารถประมวลผลและตรวจสอบธุรกรรมได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาเครือข่ายอื่น
•    มีโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการทำธุรกรรมและการเก็บข้อมูลบนบล็อกเชนโดยตรง รวมถึงมีเหรียญดั้งเดิม (Native Token) ของตัวเองสำหรับใช้ชำระค่าธุรกรรมและค่าธรรมเนียมต่างๆ
•    Layer 1 มีความสำคัญในฐานะที่เป็นรากฐานของระบบบล็อกเชนทั้งหมด
•    โดยทำหน้าที่สร้างและบำรุงรักษาเครือข่าย มีกลไกฉันทามติที่ใช้สำหรับการตรวจสอบและยืนยันธุรกรรม รวมถึงรับประกันความปลอดภัยของข้อมูลไม่ให้ถูกแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลง
•    นอกจากนี้ยังส่งเสริมการกระจายอำนาจของเครือข่ายอีกด้วย
ตัวอย่างของ Layer 1
•    ได้แก่ Bitcoin ซึ่งเป็นบล็อกเชน Layer 1 แรกของโลก ใช้กลไก Proof of Work (PoW) และเน้นความปลอดภัยและการกระจายศูนย์สูง
•    Ethereum ที่รองรับการพัฒนา Smart Contract และมีระบบนิเวศของ DApp ที่ใหญ่ที่สุด
•    รวมถึง BNB Chain ที่เน้นความเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ

Layer 2: โซลูชันเพื่อการปรับขนาด
•    Layer 2 คือ โซลูชันที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของ Layer 1 โดยเฉพาะในด้านความสามารถในการรองรับปริมาณธุรกรรม (Scalability)
•    Layer 2 จะทำงานอยู่บน Layer 1 และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกรรมให้เร็วขึ้นและมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำลง
•    การทำงานของ Layer 2 จะเป็นการประมวลผลธุรกรรมนอกเชน (Off-chain Processing) แล้วส่งผลลัพธ์สุดท้ายกลับไปบันทึกบน Layer 1 ซึ่งช่วยลดภาระการประมวลผลของเชนหลักได้อย่างมาก โดยยังคงได้รับความปลอดภัยจากกลไกของ Layer 1
•    โซลูชัน Layer 2 ที่สำคัญมีหลายรูปแบบ เช่น State Channels ที่สร้างช่องทางการทำธุรกรรมระหว่างคู่สัญญาโดยตรง
•    Rollups ที่รวมหลายธุรกรรมเข้าด้วยกันก่อนส่งไปยัง Layer 1 และ Sidechains ที่เป็นเชนที่ทำงานคู่ขนานกับ Layer 1

การทำงานร่วมกันระหว่าง Layer 1 และ Layer 2
(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=6779;image)
•    Layer 1 และ Layer 2 มีบทบาทที่แตกต่างกันแต่เติมเต็มซึ่งกันและกัน
•    Layer 1 ทำหน้าที่เป็นรากฐานที่มั่นคงและปลอดภัย
•    Layer 2 ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในการทำงาน การพัฒนาทั้งสองเลเยอร์จึงต้องดำเนินไปควบคู่กันเพื่อสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์

ตัวอย่างที่ชัดเจนของการทำงานร่วมกัน
•    Lightning Network ที่เป็น Layer 2 ของ Bitcoin ช่วยให้สามารถทำธุรกรรมได้รวดเร็วและมีค่าธรรมเนียมต่ำ โดยยังคงได้รับความปลอดภัยจาก Bitcoin Network หรือ Optimism และ Arbitrum ที่เป็น Layer 2 ของ Ethereum ที่ช่วยลดปัญหาค่าธรรมเนียมสูงและความล่าช้าในการทำธุรกรรม

แนวโน้มการพัฒนาในอนาคตของ Layer 1 และ Layer 2 ในระบบบล็อกเชน
การพัฒนาของ Layer 1 ในอนาคต
เทคโนโลยี Layer 1 กำลังเผชิญกับความท้าทายในการปรับปรุงประสิทธิภาพและความสามารถในการรองรับการใช้งาน โดยมีแนวโน้มการพัฒนาที่สำคัญดังนี้:
1.    การพัฒนากลไกฉันทามติ (Consensus Mechanism) ในอนาคต Layer 1 จะมุ่งเน้นการพัฒนากลไกฉันทามติให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การเปลี่ยนจาก Proof of Work (PoW) เป็น Proof of Stake (PoS) เพื่อลดการใช้พลังงานและเพิ่มความเร็วในการยืนยันธุรกรรม ตัวอย่างเช่น Ethereum 2.0 ที่กำลังดำเนินการเปลี่ยนแปลงนี้ ซึ่งจะช่วยให้เครือข่ายสามารถรองรับธุรกรรมได้มากขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง
2.    การพัฒนาเทคโนโลยี Sharding Sharding เป็นเทคโนโลยีที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการรองรับธุรกรรมของ Layer 1 โดยการแบ่งเครือข่ายออกเป็นส่วนย่อย ๆ ทำให้สามารถประมวลผลธุรกรรมได้พร้อมกันหลายส่วน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของระบบ
3.    การพัฒนาความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่างบล็อกเชน เราจะเห็นการพัฒนาโปรโตคอลที่ช่วยให้บล็อกเชนต่างๆ สามารถสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้ง่ายขึ้น เช่น การพัฒนา Cross-chain Bridge ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น

การพัฒนาของ Layer 2 ในอนาคต
Layer 2 มีแนวโน้มการพัฒนาที่น่าสนใจและมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
1.    การพัฒนาเทคโนโลยี Rollups เทคโนโลยี Rollups จะได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะ Zero-Knowledge Rollups (ZK-Rollups) ที่จะช่วยเพิ่มความเร็วและความปลอดภัยในการทำธุรกรรม เราจะเห็นการพัฒนาที่ทำให้ ZK-Proofs มีขนาดเล็กลงและสร้างได้เร็วขึ้น
2.    การขยายระบบนิเวศของแอปพลิเคชัน Layer 2 จะมีการพัฒนาระบบนิเวศให้สมบูรณ์มากขึ้น รองรับแอปพลิเคชันที่หลากหลาย เช่น DeFi, Gaming, และ NFT Marketplace โดยจะมีการพัฒนาเครื่องมือและ SDK ที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชันได้ง่ายขึ้น
3.    การพัฒนาความปลอดภัยและความโปร่งใส จะมีการพัฒนาระบบการตรวจสอบและยืนยันธุรกรรมบน Layer 2 ให้มีความโปร่งใสมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาระบบการตรวจจับและป้องกันการโจมตีที่มีประสิทธิภาพ

การทำงานร่วมกันในอนาคต
การพัฒนาทั้ง Layer 1 และ Layer 2 จะมุ่งเน้นการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
1.    การพัฒนามาตรฐานการเชื่อมต่อ จะมีการกำหนดมาตรฐานในการเชื่อมต่อระหว่าง Layer 1 และ Layer 2 ที่ชัดเจนมากขึ้น ทำให้การพัฒนาโซลูชัน Layer 2 ใหม่ๆ สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
2.    การเพิ่มประสิทธิภาพการส่งข้อมูล จะมีการพัฒนาวิธีการส่งข้อมูลระหว่าง Layer ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการยืนยันธุรกรรม
3.    การพัฒนาระบบการจัดการสภาพคล่อง จะมีการพัฒนาระบบที่ช่วยจัดการสภาพคล่องระหว่าง Layer 1 และ Layer 2 ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้สามารถโอนสินทรัพย์ระหว่าง Layer ได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น

ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน
การพัฒนาเหล่านี้จะส่งผลดีต่อผู้ใช้งานในหลายด้าน:
•    ค่าธรรมเนียมที่ลดลง
•    ความเร็วในการทำธุรกรรมที่เพิ่มขึ้น
•    ความปลอดภัยที่มากขึ้น
•    ความหลากหลายของแอปพลิเคชันที่สามารถใช้งานได้
•    การใช้งานที่ง่ายและสะดวกขึ้น
การพัฒนาทั้งหมดนี้จะช่วยผลักดันให้เทคโนโลยีบล็อกเชนเข้าสู่การใช้งานในวงกว้างมากขึ้น (Mass Adoption) และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำธุรกรรมและการแลกเปลี่ยนมูลค่าในอนาคต

สรุป Layer 1 vs Layer 2 ในระบบบล็อกเชน
Layer 1 และ Layer 2 เป็นส่วนสำคัญของระบบบล็อกเชน โดย Layer 1 ทำหน้าที่เป็นเครือข่ายหลักที่เน้นความปลอดภัยและการกระจายศูนย์ ในขณะที่ Layer 2 เป็นโซลูชันที่เพิ่มประสิทธิภาพด้านความเร็วและค่าธรรมเนียม
การทำงานร่วมกันของทั้ง 2  Leyer ช่วยสร้างระบบที่สมดุลระหว่างความปลอดภัยและประสิทธิภาพ โดยมีแนวโน้มการพัฒนาที่มุ่งเน้นการเชื่อมต่อที่ดีขึ้นและการรองรับการใช้งานในวงกว้าง ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันเทคโนโลยีบล็อกเชนสู่การใช้งานจริงในอนาคต