ThailandTraderClub.com

Crypto Trading and Defi => พื้นฐาน Defi => หัวข้อที่ตั้งโดย: Support-3 เมื่อ มีนาคม 03, 2025, 03:20:07 หลังเที่ยง

ชื่อ: Yield Farming: การทำฟาร์มผลตอบแทน
โดย: Support-3 เมื่อ มีนาคม 03, 2025, 03:20:07 หลังเที่ยง
Yield Farming คืออะไร? การทำฟาร์มผลตอบแทนในโลก DeFi
(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=7207;image)
Yield Farming คืออะไร?
       Yield Farming คือ การนำสินทรัพย์คริปโตเคอร์เรนซีไปสร้างผลตอบแทนในระบบ DeFi (Decentralized Finance) หรือการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง โดยเป็นวิธีที่นักลงทุนสามารถหาผลตอบแทนเพิ่มเติมจากการถือคริปโต แทนที่จะเพียงถือไว้รอราคาขึ้น
•    เป็นเหมือนการ "ปลูกพืช" โดยใช้คริปโตเป็น "เมล็ดพันธุ์" แล้วรอเก็บเกี่ยว "ผลผลิต" ในรูปแบบของดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม หรือโทเคนรางวัลต่าง ๆ
•    ทำงานผ่าน Smart Contract บนบล็อกเชนแบบอัตโนมัติ ไม่ต้องผ่านคนกลางหรือธนาคารใด ๆ
•    เปรียบเทียบง่าย ๆ คือ เหมือนการฝากเงินในธนาคารแล้วได้ดอกเบี้ย แต่อัตราผลตอบแทนอาจสูงกว่ามาก บางครั้งสูงถึงหลักร้อยเปอร์เซ็นต์!

รูปแบบของ Yield Farming ที่นิยม
•    การให้สภาพคล่อง (Liquidity Providing): การนำเหรียญคู่ (เช่น ETH/USDT) ไปใส่ใน Liquidity Pool เพื่อให้คนอื่นใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยน แล้วรับค่าธรรมเนียมส่วนแบ่ง
•    การปล่อยกู้ (Lending): นำคริปโตไปปล่อยให้คนอื่นกู้ผ่านแพลตฟอร์ม แล้วรับดอกเบี้ย
•    การทำ Staking: ล็อคคริปโตไว้ในโปรโตคอลเพื่อช่วยรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย แล้วรับรางวัล
•    การฟาร์มโทเคนใหม่: การเข้าร่วมในโครงการใหม่ ๆ เพื่อรับโทเคนการกำกับดูแล (Governance Token) หรือโทเคนรางวัลพิเศษ

ข้อดีข้อเสียของ Yield Farming
ข้อดีของ Yield Farming
1.    ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนแบบดั้งเดิม — Yield Farming สามารถให้ผลตอบแทนสูงตั้งแต่ 5% ไปจนถึงหลักร้อยเปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารหรือการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วไปหลายเท่า
2.    สร้างรายได้เสริมจากสินทรัพย์ที่มีอยู่แล้ว — แทนที่จะแค่ถือคริปโตไว้รอราคาขึ้น คุณสามารถสร้างรายได้เพิ่มเติมจากสินทรัพย์ที่คุณมีอยู่แล้ว เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เงินทุน
3.    สามารถรับผลตอบแทนในรูปแบบของโทเคนใหม่ — บางโครงการให้รางวัลเป็นโทเคนเฉพาะของแพลตฟอร์ม ซึ่งบางครั้งอาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต เสมือนได้ลงทุนในโปรเจกต์ใหม่โดยไม่ต้องซื้อเพิ่ม
4.    รายได้แบบ Passive Income — เมื่อตั้งค่าแล้ว ระบบจะทำงานอัตโนมัติตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องมานั่งเฝ้าหน้าจอรอซื้อขายเหมือนการเทรด
5.    มีความยืดหยุ่นสูง — สามารถถอนสินทรัพย์และเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ค่อนข้างรวดเร็ว หากพบโอกาสที่ดีกว่า ไม่เหมือนการลงทุนบางประเภทที่ล็อคเงินไว้นาน
6.    ส่งเสริมการพัฒนาระบบ DeFi — การเข้าร่วม Yield Farming เป็นการช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบนิเวศ DeFi ทำให้ระบบการเงินแบบกระจายศูนย์เติบโตและพัฒนามากขึ้น
7.    ได้เรียนรู้เทคโนโลยีการเงินสมัยใหม่ — การทำ Yield Farming ช่วยให้คุณเข้าใจระบบ DeFi และเทคโนโลยีบล็อกเชนมากขึ้น เป็นการเพิ่มทักษะทางการเงินดิจิทัล
8.    มีโอกาสได้สิทธิ์ในการกำกับดูแล — หลายแพลตฟอร์มให้โทเคนการกำกับดูแล (Governance Token) ซึ่งให้สิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงเกี่ยวกับการพัฒนาโปรโตคอลในอนาคต
9.    สามารถทำ Compound Interest — สามารถนำผลตอบแทนไปลงทุนต่อเพื่อให้เกิดการทบต้น ทำให้อัตราผลตอบแทนสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะยาว
10.    ไม่ต้องผ่านคนกลางหรือสถาบันการเงิน — ทำธุรกรรมได้โดยตรงผ่าน Smart Contract ไม่ต้องผ่านธนาคารหรือสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม ลดขั้นตอนและข้อจำกัดต่าง ๆ

ข้อเสียของ Yield Farming
1.    ความเสี่ยงจาก Impermanent Loss — เมื่อราคาของเหรียญในคู่ที่ให้สภาพคล่องเปลี่ยนแปลงไม่เท่ากัน อาจทำให้มูลค่ารวมลดลงกว่าการถือเหรียญเฉย ๆ แม้จะได้ค่าธรรมเนียมเป็นรางวัล
2.    ความเสี่ยงจากข้อบกพร่องใน Smart Contract — หากโค้ดมีช่องโหว่ อาจถูกแฮ็กและสูญเสียเงินทั้งหมดได้ เคยมีกรณีการแฮ็กที่สูญเสียเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์
3.    ความผันผวนของราคาคริปโต — ราคาคริปโตอาจลดลงอย่างรวดเร็วจนมากกว่าผลตอบแทนที่ได้รับ ทำให้ขาดทุนในภาพรวมแม้จะได้รับผลตอบแทนจาก Yield Farming
4.    ความเสี่ยงจาก Rug Pulls — โปรเจกต์ปลอมที่สร้างขึ้นเพื่อหลอกเอาเงินแล้วหนีหาย โดยเฉพาะในโปรเจกต์ใหม่ที่เสนอผลตอบแทนสูงผิดปกติ
5.    ค่าธรรมเนียมธุรกรรม (Gas Fee) สูง — โดยเฉพาะบนเครือข่าย Ethereum ค่า Gas Fee อาจสูงมากจนกินผลตอบแทน ทำให้ไม่คุ้มสำหรับการลงทุนเงินจำนวนน้อย
6.    ความซับซ้อนและเข้าใจยาก — ระบบ Yield Farming มีความซับซ้อนทางเทคนิคสูง ต้องมีความรู้พื้นฐานด้าน DeFi พอสมควร มิฉะนั้นอาจทำผิดพลาดเสียเงินได้
7.    ผลตอบแทนไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงบ่อย — อัตราผลตอบแทน (APY) มักไม่คงที่ อาจลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อมีคนเข้ามาทำ Farming มากขึ้น หรือเมื่อมูลค่าของโทเคนรางวัลลดลง
8.    ความเสี่ยงจากการถูกระงับการถอน — ในบางกรณี แพลตฟอร์มอาจระงับการถอนเงินชั่วคราวเมื่อเกิดปัญหา ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงเงินของตัวเองได้
9.    ภาระภาษีที่ซับซ้อน — การทำ Yield Farming อาจสร้างธุรกรรมจำนวนมาก ทำให้การคำนวณภาษียุ่งยาก และในหลายประเทศยังไม่มีกฎหมายภาษีสำหรับ DeFi ที่ชัดเจน
10.    ความเสี่ยงจากการเจาะระบบของแฮกเกอร์ — นอกเหนือจากช่องโหว่ในโค้ด ยังมีความเสี่ยงจากการโจมตีแบบ Flash Loan Attack หรือการหาประโยชน์จากการคำนวณราคาที่ไม่สมดุลในระบบ

แพลตฟอร์ม DeFi ยอดนิยมสำหรับทำ Yield Farming
(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=7209;image)
•    Uniswap: กระดานเทรดแบบกระจายศูนย์ (DEX) ที่ใหญ่ที่สุดบน Ethereum ที่ใช้ระบบ Automated Market Maker (AMM) ให้ผู้ใช้สร้างตลาดได้เอง
•    Compound: แพลตฟอร์มการปล่อยกู้และยืมที่มีระบบอัตราดอกเบี้ยปรับเปลี่ยนตามอุปสงค์และอุปทาน
•    Aave: แพลตฟอร์มให้ยืมและกู้แบบ Flash Loans ที่ให้กู้โดยไม่ต้องมีหลักประกันแต่ต้องคืนภายในธุรกรรมเดียว
•    MakerDAO: ระบบที่ช่วยรักษาเสถียรภาพของเหรียญ DAI ให้มีมูลค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์
•    Curve Finance: เน้นการแลกเปลี่ยนเหรียญ stablecoin ด้วยค่า slippage ที่ต่ำ (การเลื่อนของราคาเมื่อมีการซื้อขายจำนวนมาก)
•    Balancer: คล้าย Uniswap แต่สามารถสร้าง Pool ที่มีสัดส่วนไม่เท่ากันและมีได้มากกว่า 2 เหรียญ

จุดเด่นของ Yield Farming ที่ดึงดูดนักลงทุน
•    ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนแบบดั้งเดิม มาก อาจได้ผลตอบแทนเป็น 10-100% ต่อปี หรือมากกว่า! ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารหลายสิบเท่า
•    คริปโตยังคงเป็นของทุกคน ไม่ต้องขายออกไป ยังได้ประโยชน์จากการเพิ่มมูลค่าของเหรียญหลักด้วย
•    รับผลตอบแทนเป็นโทเคนใหม่ ๆ ที่อาจมีมูลค่าสูงขึ้นในอนาคต เหมือนได้ลงทุนในโปรเจกต์ใหม่ ๆ โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม
•    รายได้แบบ Passive ทำงานให้ทุกคน 24/7 โดยที่ไม่ต้องทำอะไรมาก นอกจากเลือกวางกลยุทธ์
•    มีความยืดหยุ่นสูง สามารถย้ายเงินระหว่างแพลตฟอร์มได้ง่ายเพื่อหาผลตอบแทนที่ดีที่สุด

ความเสี่ยงที่ต้องระวังในการทำ Yield Farming
•    Impermanent Loss หรือการขาดทุนชั่วคราว: เกิดเมื่อราคาของเหรียญในคู่ที่พี่ ๆ ให้สภาพคล่องเปลี่ยนแปลงไม่เท่ากัน ทำให้มูลค่ารวมลดลงเมื่อเทียบกับการถือเฉย ๆ
•    Smart Contract Risk: ความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดในโค้ดของสัญญาอัจฉริยะ อาจถูกแฮ็กหรือมีช่องโหว่ที่ทำให้เงินสูญหายได้ เคยเกิดเหตุการณ์เงินหายนับร้อยล้านดอลลาร์มาแล้ว!
•    ความผันผวนของราคา: คริปโตมีความผันผวนสูง ราคาอาจลดลงเร็วกว่าผลตอบแทนที่ได้รับ
•    Rug Pulls: ผู้พัฒนาโปรเจกต์หลอกล่อให้ลงทุนแล้วหนีหายไปพร้อมเงิน โดยเฉพาะในโปรเจกต์ใหม่ ๆ ที่ยังไม่มีชื่อเสียง
•    Gas Fees สูง: โดยเฉพาะบนเครือข่าย Ethereum ค่าธรรมเนียมธุรกรรมอาจสูงมาก ทำให้ไม่คุ้มกับการลงทุนจำนวนน้อย
•    ความซับซ้อนทางเทคนิค: ต้องเข้าใจการทำงานของระบบพอสมควร มิฉะนั้นอาจทำผิดพลาดเสียเงินได้

กลยุทธ์สำหรับการทำ Yield Farming อย่างชาญฉลาด
•    เริ่มต้นจากโปรโตคอลที่น่าเชื่อถือ เช่น Uniswap, Compound หรือ Aave ที่ผ่านการตรวจสอบโค้ดและมีประวัติความปลอดภัยที่ดี
•    กระจายความเสี่ยง ไม่ควรเอาเงินทั้งหมดไปลงที่เดียว ควรแบ่งไปหลาย ๆ แพลตฟอร์ม
•    ศึกษา APY vs APR ให้เข้าใจ (APY คิดแบบทบต้น APR ไม่ทบต้น) เพื่อเปรียบเทียบผลตอบแทนได้ถูกต้อง
•    ระวังโปรเจกต์ที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง อาจเป็นการหลอกลวงหรือไม่ยั่งยืน
•    ติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ เพราะในโลก DeFi อะไรเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ๆ
•    ใช้เครื่องมือติดตาม Yield Farming เช่น DeBank, Zapper, หรือ APY.vision เพื่อดูภาพรวมการลงทุนและผลตอบแทน

สรุป: Yield Farming เหมาะกับใคร?
•    นักลงทุนระยะยาว ที่มีคริปโตอยู่แล้วและต้องการเพิ่มผลตอบแทน แทนที่จะถือเฉย ๆ
•    ผู้ที่มีความรู้พื้นฐานด้านคริปโต และเข้าใจการทำงานของ DeFi พอสมควร
•    ผู้ที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูง เพราะ Yield Farming มีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนแบบดั้งเดิม
•    ผู้มีเงินลงทุนพอสมควร เพราะต้องจ่ายค่า Gas Fee ซึ่งบางครั้งสูงมาก
•    ผู้ที่มีเวลาติดตามข่าวสาร และปรับกลยุทธ์อยู่เสมอ เพราะวงการนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก
Yield Farming เป็นนวัตกรรมทางการเงินที่น่าสนใจมาก ๆ ในโลกคริปโต แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน