Yield Farming คืออะไร? การทำฟาร์มผลตอบแทนในโลก DeFi
(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=7207;image)
Yield Farming คืออะไร?
Yield Farming คือ การนำสินทรัพย์คริปโตเคอร์เรนซีไปสร้างผลตอบแทนในระบบ DeFi (Decentralized Finance) หรือการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง โดยเป็นวิธีที่นักลงทุนสามารถหาผลตอบแทนเพิ่มเติมจากการถือคริปโต แทนที่จะเพียงถือไว้รอราคาขึ้น
• เป็นเหมือนการ "ปลูกพืช" โดยใช้คริปโตเป็น "เมล็ดพันธุ์" แล้วรอเก็บเกี่ยว "ผลผลิต" ในรูปแบบของดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม หรือโทเคนรางวัลต่าง ๆ
• ทำงานผ่าน Smart Contract บนบล็อกเชนแบบอัตโนมัติ ไม่ต้องผ่านคนกลางหรือธนาคารใด ๆ
• เปรียบเทียบง่าย ๆ คือ เหมือนการฝากเงินในธนาคารแล้วได้ดอกเบี้ย แต่อัตราผลตอบแทนอาจสูงกว่ามาก บางครั้งสูงถึงหลักร้อยเปอร์เซ็นต์!
รูปแบบของ Yield Farming ที่นิยม
• การให้สภาพคล่อง (Liquidity Providing): การนำเหรียญคู่ (เช่น ETH/USDT) ไปใส่ใน Liquidity Pool เพื่อให้คนอื่นใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยน แล้วรับค่าธรรมเนียมส่วนแบ่ง
• การปล่อยกู้ (Lending): นำคริปโตไปปล่อยให้คนอื่นกู้ผ่านแพลตฟอร์ม แล้วรับดอกเบี้ย
• การทำ Staking: ล็อคคริปโตไว้ในโปรโตคอลเพื่อช่วยรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย แล้วรับรางวัล
• การฟาร์มโทเคนใหม่: การเข้าร่วมในโครงการใหม่ ๆ เพื่อรับโทเคนการกำกับดูแล (Governance Token) หรือโทเคนรางวัลพิเศษ
ข้อดีข้อเสียของ Yield Farming
ข้อดีของ Yield Farming
1. ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนแบบดั้งเดิม — Yield Farming สามารถให้ผลตอบแทนสูงตั้งแต่ 5% ไปจนถึงหลักร้อยเปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารหรือการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วไปหลายเท่า
2. สร้างรายได้เสริมจากสินทรัพย์ที่มีอยู่แล้ว — แทนที่จะแค่ถือคริปโตไว้รอราคาขึ้น คุณสามารถสร้างรายได้เพิ่มเติมจากสินทรัพย์ที่คุณมีอยู่แล้ว เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เงินทุน
3. สามารถรับผลตอบแทนในรูปแบบของโทเคนใหม่ — บางโครงการให้รางวัลเป็นโทเคนเฉพาะของแพลตฟอร์ม ซึ่งบางครั้งอาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต เสมือนได้ลงทุนในโปรเจกต์ใหม่โดยไม่ต้องซื้อเพิ่ม
4. รายได้แบบ Passive Income — เมื่อตั้งค่าแล้ว ระบบจะทำงานอัตโนมัติตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องมานั่งเฝ้าหน้าจอรอซื้อขายเหมือนการเทรด
5. มีความยืดหยุ่นสูง — สามารถถอนสินทรัพย์และเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ค่อนข้างรวดเร็ว หากพบโอกาสที่ดีกว่า ไม่เหมือนการลงทุนบางประเภทที่ล็อคเงินไว้นาน
6. ส่งเสริมการพัฒนาระบบ DeFi — การเข้าร่วม Yield Farming เป็นการช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบนิเวศ DeFi ทำให้ระบบการเงินแบบกระจายศูนย์เติบโตและพัฒนามากขึ้น
7. ได้เรียนรู้เทคโนโลยีการเงินสมัยใหม่ — การทำ Yield Farming ช่วยให้คุณเข้าใจระบบ DeFi และเทคโนโลยีบล็อกเชนมากขึ้น เป็นการเพิ่มทักษะทางการเงินดิจิทัล
8. มีโอกาสได้สิทธิ์ในการกำกับดูแล — หลายแพลตฟอร์มให้โทเคนการกำกับดูแล (Governance Token) ซึ่งให้สิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงเกี่ยวกับการพัฒนาโปรโตคอลในอนาคต
9. สามารถทำ Compound Interest — สามารถนำผลตอบแทนไปลงทุนต่อเพื่อให้เกิดการทบต้น ทำให้อัตราผลตอบแทนสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะยาว
10. ไม่ต้องผ่านคนกลางหรือสถาบันการเงิน — ทำธุรกรรมได้โดยตรงผ่าน Smart Contract ไม่ต้องผ่านธนาคารหรือสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม ลดขั้นตอนและข้อจำกัดต่าง ๆ
ข้อเสียของ Yield Farming
1. ความเสี่ยงจาก Impermanent Loss — เมื่อราคาของเหรียญในคู่ที่ให้สภาพคล่องเปลี่ยนแปลงไม่เท่ากัน อาจทำให้มูลค่ารวมลดลงกว่าการถือเหรียญเฉย ๆ แม้จะได้ค่าธรรมเนียมเป็นรางวัล
2. ความเสี่ยงจากข้อบกพร่องใน Smart Contract — หากโค้ดมีช่องโหว่ อาจถูกแฮ็กและสูญเสียเงินทั้งหมดได้ เคยมีกรณีการแฮ็กที่สูญเสียเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์
3. ความผันผวนของราคาคริปโต — ราคาคริปโตอาจลดลงอย่างรวดเร็วจนมากกว่าผลตอบแทนที่ได้รับ ทำให้ขาดทุนในภาพรวมแม้จะได้รับผลตอบแทนจาก Yield Farming
4. ความเสี่ยงจาก Rug Pulls — โปรเจกต์ปลอมที่สร้างขึ้นเพื่อหลอกเอาเงินแล้วหนีหาย โดยเฉพาะในโปรเจกต์ใหม่ที่เสนอผลตอบแทนสูงผิดปกติ
5. ค่าธรรมเนียมธุรกรรม (Gas Fee) สูง — โดยเฉพาะบนเครือข่าย Ethereum ค่า Gas Fee อาจสูงมากจนกินผลตอบแทน ทำให้ไม่คุ้มสำหรับการลงทุนเงินจำนวนน้อย
6. ความซับซ้อนและเข้าใจยาก — ระบบ Yield Farming มีความซับซ้อนทางเทคนิคสูง ต้องมีความรู้พื้นฐานด้าน DeFi พอสมควร มิฉะนั้นอาจทำผิดพลาดเสียเงินได้
7. ผลตอบแทนไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงบ่อย — อัตราผลตอบแทน (APY) มักไม่คงที่ อาจลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อมีคนเข้ามาทำ Farming มากขึ้น หรือเมื่อมูลค่าของโทเคนรางวัลลดลง
8. ความเสี่ยงจากการถูกระงับการถอน — ในบางกรณี แพลตฟอร์มอาจระงับการถอนเงินชั่วคราวเมื่อเกิดปัญหา ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงเงินของตัวเองได้
9. ภาระภาษีที่ซับซ้อน — การทำ Yield Farming อาจสร้างธุรกรรมจำนวนมาก ทำให้การคำนวณภาษียุ่งยาก และในหลายประเทศยังไม่มีกฎหมายภาษีสำหรับ DeFi ที่ชัดเจน
10. ความเสี่ยงจากการเจาะระบบของแฮกเกอร์ — นอกเหนือจากช่องโหว่ในโค้ด ยังมีความเสี่ยงจากการโจมตีแบบ Flash Loan Attack หรือการหาประโยชน์จากการคำนวณราคาที่ไม่สมดุลในระบบ
แพลตฟอร์ม DeFi ยอดนิยมสำหรับทำ Yield Farming
(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=7209;image)
• Uniswap: กระดานเทรดแบบกระจายศูนย์ (DEX) ที่ใหญ่ที่สุดบน Ethereum ที่ใช้ระบบ Automated Market Maker (AMM) ให้ผู้ใช้สร้างตลาดได้เอง
• Compound: แพลตฟอร์มการปล่อยกู้และยืมที่มีระบบอัตราดอกเบี้ยปรับเปลี่ยนตามอุปสงค์และอุปทาน
• Aave: แพลตฟอร์มให้ยืมและกู้แบบ Flash Loans ที่ให้กู้โดยไม่ต้องมีหลักประกันแต่ต้องคืนภายในธุรกรรมเดียว
• MakerDAO: ระบบที่ช่วยรักษาเสถียรภาพของเหรียญ DAI ให้มีมูลค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์
• Curve Finance: เน้นการแลกเปลี่ยนเหรียญ stablecoin ด้วยค่า slippage ที่ต่ำ (การเลื่อนของราคาเมื่อมีการซื้อขายจำนวนมาก)
• Balancer: คล้าย Uniswap แต่สามารถสร้าง Pool ที่มีสัดส่วนไม่เท่ากันและมีได้มากกว่า 2 เหรียญ
จุดเด่นของ Yield Farming ที่ดึงดูดนักลงทุน
• ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนแบบดั้งเดิม มาก อาจได้ผลตอบแทนเป็น 10-100% ต่อปี หรือมากกว่า! ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารหลายสิบเท่า
• คริปโตยังคงเป็นของทุกคน ไม่ต้องขายออกไป ยังได้ประโยชน์จากการเพิ่มมูลค่าของเหรียญหลักด้วย
• รับผลตอบแทนเป็นโทเคนใหม่ ๆ ที่อาจมีมูลค่าสูงขึ้นในอนาคต เหมือนได้ลงทุนในโปรเจกต์ใหม่ ๆ โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม
• รายได้แบบ Passive ทำงานให้ทุกคน 24/7 โดยที่ไม่ต้องทำอะไรมาก นอกจากเลือกวางกลยุทธ์
• มีความยืดหยุ่นสูง สามารถย้ายเงินระหว่างแพลตฟอร์มได้ง่ายเพื่อหาผลตอบแทนที่ดีที่สุด
ความเสี่ยงที่ต้องระวังในการทำ Yield Farming
• Impermanent Loss หรือการขาดทุนชั่วคราว: เกิดเมื่อราคาของเหรียญในคู่ที่พี่ ๆ ให้สภาพคล่องเปลี่ยนแปลงไม่เท่ากัน ทำให้มูลค่ารวมลดลงเมื่อเทียบกับการถือเฉย ๆ
• Smart Contract Risk: ความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดในโค้ดของสัญญาอัจฉริยะ อาจถูกแฮ็กหรือมีช่องโหว่ที่ทำให้เงินสูญหายได้ เคยเกิดเหตุการณ์เงินหายนับร้อยล้านดอลลาร์มาแล้ว!
• ความผันผวนของราคา: คริปโตมีความผันผวนสูง ราคาอาจลดลงเร็วกว่าผลตอบแทนที่ได้รับ
• Rug Pulls: ผู้พัฒนาโปรเจกต์หลอกล่อให้ลงทุนแล้วหนีหายไปพร้อมเงิน โดยเฉพาะในโปรเจกต์ใหม่ ๆ ที่ยังไม่มีชื่อเสียง
• Gas Fees สูง: โดยเฉพาะบนเครือข่าย Ethereum ค่าธรรมเนียมธุรกรรมอาจสูงมาก ทำให้ไม่คุ้มกับการลงทุนจำนวนน้อย
• ความซับซ้อนทางเทคนิค: ต้องเข้าใจการทำงานของระบบพอสมควร มิฉะนั้นอาจทำผิดพลาดเสียเงินได้
กลยุทธ์สำหรับการทำ Yield Farming อย่างชาญฉลาด
• เริ่มต้นจากโปรโตคอลที่น่าเชื่อถือ เช่น Uniswap, Compound หรือ Aave ที่ผ่านการตรวจสอบโค้ดและมีประวัติความปลอดภัยที่ดี
• กระจายความเสี่ยง ไม่ควรเอาเงินทั้งหมดไปลงที่เดียว ควรแบ่งไปหลาย ๆ แพลตฟอร์ม
• ศึกษา APY vs APR ให้เข้าใจ (APY คิดแบบทบต้น APR ไม่ทบต้น) เพื่อเปรียบเทียบผลตอบแทนได้ถูกต้อง
• ระวังโปรเจกต์ที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง อาจเป็นการหลอกลวงหรือไม่ยั่งยืน
• ติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ เพราะในโลก DeFi อะไรเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ๆ
• ใช้เครื่องมือติดตาม Yield Farming เช่น DeBank, Zapper, หรือ APY.vision เพื่อดูภาพรวมการลงทุนและผลตอบแทน
สรุป: Yield Farming เหมาะกับใคร?
• นักลงทุนระยะยาว ที่มีคริปโตอยู่แล้วและต้องการเพิ่มผลตอบแทน แทนที่จะถือเฉย ๆ
• ผู้ที่มีความรู้พื้นฐานด้านคริปโต และเข้าใจการทำงานของ DeFi พอสมควร
• ผู้ที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูง เพราะ Yield Farming มีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนแบบดั้งเดิม
• ผู้มีเงินลงทุนพอสมควร เพราะต้องจ่ายค่า Gas Fee ซึ่งบางครั้งสูงมาก
• ผู้ที่มีเวลาติดตามข่าวสาร และปรับกลยุทธ์อยู่เสมอ เพราะวงการนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก
Yield Farming เป็นนวัตกรรมทางการเงินที่น่าสนใจมาก ๆ ในโลกคริปโต แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน