Grid Trading เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การเทรดคู่เงินแบบอัตโนมัติจากการวางระบบของการเทรดที่ถูกเรียกว่า "Price Grid" โดยมีไอเดียพื้นฐานอยู่ที่การเปิดออเดอร์ Buy ซ้ำ ๆ ที่ราคาเป้าหมาย ก่อนจะรอให้ราคาขยับขึ้นไปจนถึงระดับหนึ่งและจึงเปิดออเดอร์ Sell ซึ่งยังสามารถกระทำในทิศทางตรงกันข้ามจากการเริ่มเปิด Sell ซ้ำ ๆ ได้เช่นกัน
วันนี้เราจะมาสำรวจถึงหลักการพื้นฐานและแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ที่เหมาะสมและไม่เหมาะสมสำหรับการเทรดในสไตล์นี้ ก่อนที่จะพาเจาะลึกไปถึงความเชื่อมโยงระหว่าง Grid Trading กับกลยุทธ์การเทรดอย่างเป็นระบบอื่น ๆ
Grid Trading ทำงานอย่างไร?
ในระบบการเทรดนี้ อันดับแรกเทรดเดอร์ต้องทำการ setup ราคาอ้างอิงสำหรับการเริ่มต้น จากนั้นออเดอร์ Buy เป็นจำนวนมากจะถูก setup ไว้ต่ำกว่าราคาดังกล่าวในระดับที่แตกต่างกันไป และมักจะเป็นไปในลำดับขั้นที่สม่ำเสมอตามชื่อของ grid ที่แปลตรงตัวได้ว่า "ตะแกรง"
จากนั้นออเดอร์ Sell ก็จะถูกติดตั้งไว้โดยการจับคู่กับออเดอร์ Buy ในระดับราคาที่สูงขึ้นไป โดยที่กลยุทธ์นี้สามารถกระทำในแบบตรงกันข้ามกันด้วยการติดตั้ง grid สำหรับออเดอร์ Sell และวางการปิดสถานะสำหรับจับคู่กันที่ระดับราคาต่ำลงไป
นักลงทุนจำเป็นจะต้องติดตั้งพารามิเตอร์อันหลากหลายเพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างอัตโนมัติ โดยที่พารามิเตอร์เหล่านี้จะประกอบไปด้วยราคาสูงสุดและต่ำสุด, โครงสร้าง grid, ขนาด Lot Size และ Stop-Loss
ราคาสูงสุดและต่ำสุดของ grid มักจะถูก setup ขึ้นโดยมีพื้นฐานอยู่ที่ช่วงราคาภายในช่วงเวลาที่ผ่านมา กล่าวคือ ระหว่างราคาสูงสุดและต่ำสุดล่าสุดของตลาดในช่วงเวลาที่กำหนด มักจะขึ้นอยู่กับความผันผวนในอดีตของคู่สกุลเงินเป็นหลัก
ต่อมาโครงสร้างของ grid จะบ่งบอกถึงจำนวนของออเดอร์ที่ถูกติดตั้งรอไว้ภายในช่วงของราคาที่กำหนด และเมื่อมีการติดตั้ง grid สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือค่าธรรมเนียมของการทำธุรกรรมในการเทรด
โดยหลักการแล้ว โครงสร้างของ grid ไม่ควรจะหนาแน่นเกินไป มิฉะนั้นผลกำไรที่ได้รับอาจจะไม่ครอบคลุมกับค่าธรรมเนียมเหล่านั้น และท้ายที่สุดแล้วขนาด Lot Size ต้องเป็นจำนวนเงินที่มีการแบ่งสัดส่วนมาแล้วสำหรับการเทรดในกลยุทธ์นี้
สถานการณ์ที่เป็นใจ
จากรูปด้านล่างแสดงถึงสถานการณ์ที่เป็นใจของการใช้กลยุทธ์ Grid Trading จากจุดเริ่มต้นด้วยเส้นสีเทาที่ถูกกำหนดให้เป็นราคาอ้างอิง และเริ่มเปิดออเดอร์ Buy แรกเมื่อราคาไปถึงเส้นสีแดงแรกที่นับจากเส้นสีเทาตามโครงสร้าง grid
เนื่องจากมูลค่าการซื้อขายของคู่เงินดังกล่าวปรับตัวลดลงเรื่อย ๆ จึงมีการเปิด Buy เป็นออเดอร์ที่ 2, 3 และ 4 เมื่อราคาขยับตัวไปถึงจุดที่ 2, 3 และ 4 ตามโครงสร้าง grid และเพราะราคาขยับไปถึงจุดต่ำสุดในช่วงที่กำหนดเอาไว้ จึงไม่ได้มีการเปิด Buy เพิ่มแม้ราคาจะลดลงไปอีกเรื่อย ๆ
จนกระทั่งมูลค่าการซื้อขายของคู่เงินเริ่มขยับตัวขึ้นเราจึงเริ่ม setup ออเดอร์ Sell เตรียมไว้เป็นคู่ ๆ จากออเดอร์ Buy ที่เปิดไว้ก่อนหน้านี้ โดยกำหนดให้มีการ Sell ตรงตำแหน่งที่คิดเป็นระยะทาง 1.5 grid
839.jpg
ในขณะเดียวกันเรายังสามารถ setup ในทางตรงกันข้ามหากมูลค่าการซื้อขายของคู่เงินเริ่มขยับสูงขึ้นจากจุดอ้างอิงจนไปถึงเส้นสีเขียวแรก ดังตัวอย่างเราสามารถเปิด Sell ได้ทุกครั้งเมื่อราคาขยับผ่านเส้นสีเขียวและปิดสถานะนั้นเมื่อราคาขยับลงต่ำกว่าจุดเปิด Sell ที่ระยะ 1.5 grid
จากที่คุณเห็นกลยุทธ์ประเภทนี้ตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่าราคาจะมีการแกว่งตัวอยู่ในช่วงระหว่างวัน ดังนั้นหากการเปลี่ยนแปลงของราคาเกิดขึ้นเพียงแค่ดิ่งลงหรือพุ่งขึ้นเราก็คงไม่สามารถปิดสถานะเพื่อทำกำไรได้และอาจสูญเสียเงินไปแบบไม่มีลิมิต
840.jpg
พารามิเตอร์เพิ่มเติม
เพื่อป้องกันการสูญเสียดังที่กล่าวมาข้างต้น การติดตั้งพารามิเตอร์เพิ่มเติมจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับโมเดลการเทรดในลักษณะนี้ ซึ่งหนึ่งในพารามิเตอร์ที่ถูกใช้งานกันมากที่สุดก็คือการตั้งราคา stop-loss
โดยปกติราคานี้จะอยู่ต่ำกว่าราคาต่ำสุด ในกรณีที่ราคาซื้อขายขยับลงไปจนถึงจุดนี้ระบบก็จะทำการ Sell ออเดอร์ Buy ทั้งหมดที่เปิดไว้ ซึ่งกลไกตัวนี้จะช่วยป้องกันการสูญเสียที่มูลค่าสูงกว่าจากสาเหตุของราคาซื้อขายที่ดิ่งลงไปเรื่อย ๆ
อีกหนึ่งพารามิเตอร์ยอดนิยมได้แก่ the trigger price ซึ่งเปรียบเสมือนสวิตช์ที่จะทำการเปิดให้ระบบสามารถเทรดได้เฉพาะในกรณีที่ราคาซื้อขายคู่เงินในตลาดขยับไปจนถึงจุดที่กำหนดไว้
นอกจากนี้ยังมีการแบ่งโครงสร้าง grid ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ arithmetic และ geometric โดยเมื่อเราใช้งาน grid ประเภท arithmetic แต่ละ grid จะสร้างผลกำไรในปริมาณที่เท่ากัน เช่น $10 ดังนั้น grid ประเภทนี้จึงเหมาะสมสำหรับช่วงราคาขนาดเล็ก
ในทางตรงกันข้าม grid ประเภท geometric จะเหมาะสำหรับการใช้งานในช่วงราคาที่กว้างกว่า จากที่มันสามารถสร้างผลกำไรได้ในอัตราส่วนที่เท่า ๆ กันจากแต่ละ grid เช่น 1.0%
เมื่อใดที่มันใช้ได้ผลและไม่ได้ผล
Grid Trading คือหนึ่งในแบบเรียนตัวอย่างของกลยุทธ์การเทรดแบบ Martingale ซึ่งก็หมายความว่ามันเป็นกลยุทธ์ที่จะเพิ่มความเสี่ยงและ leverage ด้วยความสูญเสียที่สูงขึ้น หากไม่มีการกำหนดจุด stop-loss เตรียมเอาไว้
มันมีความคล้ายคลึงกับตัวอย่างที่รู้จักกันดีของกลยุทธ์การเดิมพันแบบรูเล็ตด้วยการเดิมพันกับสีเดียวกันเสมอ โดยหากคุณแพ้ก็ให้เพิ่มเงินเดิมพันขึ้นไปเป็นสองเท่าจนกว่าคุณจะชนะอีกครั้ง (หรือจนกว่าคุณจะหมดตัวไปก่อน)
ในขณะที่เทคนิคการบริหารจัดการเงินลงทุนและ Lot Size ในยุคปัจจุบันจะทำงานได้อย่างถูกต้องในทิศทางที่ตรงข้ามกันเสมอ กล่าวคือมันช่วยลดความเสี่ยงหลังการสูญเสียและช่วยเพิ่มความเสี่ยงหลังได้รับผลกำไร ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า Grid Trading นั้นไม่ดีหรือไม่ทำให้เกิดผลกำไร แต่มันเป็นความเสี่ยงในอีกรูปแบบหนึ่ง
สภาพแวดล้อมที่กลยุทธ์ Grid Trading จะเติบโตอย่างแท้จริงคือช่วงราคา, การแกว่งตัว และตลาด sideway ในทางตรงกันข้ามมันจะไม่เกิดผลกำไรหากแนวโน้มของตลาดเป็นไปอย่างต่อเนื่อง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือในกรณีที่ราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวเท่านั้นและยังไม่มีการกลับตัว
รายงานประสิทธิภาพของ Grid Trading
สมมติว่าเราใช้กลยุทธ์ Grid Trading ในการซื้อขายสกุลเงินระหว่างวัน พร้อมกับการรีเซ็ต grid และปิดออเดอร์ทั้งหมดทุกวัน โดยจะมีสองวิธีในการรายงานผลลัพธ์ของกลยุทธ์นี้
เราอาจรายงานมูลค่าที่แท้จริงของพอร์ตการลงทุนในแบบรายนาที หรือที่เรียกว่ารายงาน Mark To Market (MTM) ซึ่งเป็นการบันทึกมูลค่าตามราคาตลาด หรืออาจใช้วิธีรายงานมูลค่าของพอร์ตเมื่อการเทรดสิ้นสุดลงเท่านั้น
รายงานประเภทหลังจบการเทรดสามารถสร้างภาพลวงของกลยุทธที่กอบโกยผลกำไรไปจนถึงตอนสิ้นสุดของวันเมื่อออเดอร์ทั้งหมดถูกปิดลง โดยมีสาเหตุมาจากรูปแบบการทำงานของ Grid Trading
ออเดอร์ที่ถูกปิดไประหว่างวันจะมีแต่เฉพาะพวกที่ไปถึงเป้าหมายและทำกำไรเท่านั้น อย่างไรก็ตามเรายังสามารถคาดหวังการก้าวกระโดดครั้งใหญ่เมื่อออเดอร์ทั้งหมดถูกปิดลงระหว่างวัน (ซึ่งรวมถึงการขาดทุน)
จากกราฟข้างล่างแสดงให้เห็นถึงผลรายงานของทั้ง 2 รูปแบบดังที่กล่าวมา โดยที่เราสามารถแสดงมูลค่าของพอร์ตในแบบนาทีต่อนาที (เส้นสีน้ำเงิน) ในขณะที่กราฟอีกเส้นจะเป็นรายงานแบบหลังปิดการเทรด (เส้นสีแดง) ซึ่งจะสังเกตเห็นการก้าวกระโดดในช่วงท้ายของวัน
841.jpg
การวิเคราะห์กลยุทธ์ Grid Trading
จากรูปด้านบนยังเป็นตัวอย่างการวิเคราะห์การใช้กลยุทธ์ Grid Trading กับคู่เงิน EUR/USD ใน TF M1 โดยมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่เวลา 23:00 ของวันที่ 21 ม.ค. 2021 ไปจนถึงตอน 7:40 ของวันที่ 2 ก.พ. 2021 จนได้ข้อมูลของการเทรดออกมาทั้งหมด 10,926 หน่วยจากช่วงเวลาเปิดตลาดประมาณ 7 วัน
ในช่วงจบวันของแต่ละวันจะมีการปิดออเดอร์ทั้งหมดเพื่อรีเซ็ตใหม่สำหรับวันรุ่งขึ้น ส่วนราคาอ้างอิงจะถูกกำหนดในช่วงเริ่มต้นของแต่ละวันจากราคาเปิดของวันใหม่ จากนั้นก็จะสร้าง grid ขึ้นมาตามพื้นฐานความผันผวนของเมื่อวาน ซึ่งจากตัวอย่างนี้ความผันผวนจะวนเวียนอยู่แถว 0.4%
สำหรับตัวอย่างแรกเราใช้โครงสร้าง grid แบบ 10 ระดับสำหรับทั้งออเดอร์ Buy และ Sell โดยระยะห่างระหว่างราคาอ้างอิงและเส้น grid แรกรวมถึงระยะห่างของแต่เส้น grid ถูกคำนวณจากอัตราส่วน 10% ของค่าความผันผวนจากวันก่อนหน้านั้น
แต่ละครั้งที่ราคาขยับไปจนถึงเส้น grid ทั้งบนและล่างจากราคาอ้างอิงก็จะมีการเปิดออเดอร์ Buy หรือ Sell โดยที่ออเดอร์นั้นจะถูกปิดลงเมื่อราคาซื้อขายของคู่เงินขยับขึ้นหรือลงต่อไปเป็นระยะทาง 1.5 เท่าของเส้น grid ที่นับจากตำแหน่งเริ่มเปิดสถานะ Buy หรือ Sell ดังกล่าว
842.jpg
ในตัวอย่างที่ 2 แสดงถึงกลยุทธ์แบบเดียวกันแต่มีข้อแตกต่างอยู่ 1 จุด โดยในคราวนี้ได้ทำการ setup โครงสร้าง grid แบบ 20 ระดับ ซึ่งหมายถึงระยะห่างของแต่ละเส้น grid จะถูกคำนวณที่อัตราส่วน 5% ของความผันผวนจากเมื่อวาน
เราคาดหมายว่ากลยุทธ์นี้จะแสดงประสิทธิภาพออกมาใกล้เคียงกัน แต่ก็ยังคงคาดหวังถึงความแตกต่างระหว่างรายงานแบบ MTM และแบบปิดการเทรดว่าจะสังเกตเห็นได้ชัดมากขึ้น โดยมีสาเหตุจากข้อเท็จจริงที่ว่าโครงสร้าง grid แบบ 20 ระดับจะทำให้ผลกำไรแต่ละออเดอร์ลดลง
อย่างไรก็ตาม ในแต่ละครั้งที่เราเปิดการเทรดขึ้นมาใหม่ ออเดอร์ทั้งหมดที่ถูกเปิดขึ้นก่อนหน้านี้ต่างก็อยู่ในสถานะติดลบ ดังนั้นหากราคาไม่กลับทิศทางภายในช่วงท้ายของวัน ยอดขาดทุนก็อาจจะมีปริมาณที่สูงกว่า
843.jpg
ส่วนตัวอย่างสุดท้ายจะแสดงถึงกลยุทธ์การเทรดในแบบเดียวกับตัวอย่างแรก หากแต่คราวนี้จะเป็นการวิเคราะห์ในช่วงเวลาที่ไม่ได้มีการแกว่งตัวระหว่างวัน ซึ่งจะทำให้กลยุทธ์นี้ไม่เกิดผลกำไร
ระยะเวลาของตัวอย่างนี้จะเป็นช่วงเวลาเปิดตลาดในอีก 7 วันต่อมา กล่าวคือนับตั้งแต่เวลา 8:55 ของวันที่ 2 ก.พ. 2021 ไปจนถึง 20:25 ของวันที่ 11 ก.พ. 2021 ซึ่งก็ทำให้ได้ข้อมูลของการเทรดออกมาทั้งหมด 10,926 หน่วยอีกครั้ง
จากกราฟข้างบนจะสังเกตเห็นได้ว่า มีช่วงเวลาของการขาดทุนติดต่อกันหลายวัน และสาเหตุมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าราคาซื้อขายไม่ได้มีการแกว่งตัวระหว่างวัน แต่มันกลับมีแนวโน้มที่ชัดเจนไปในทิศทางหนึ่ง
แม้จะมีช่วงเวลาที่ราคาขยับขึ้นอยู่ 1 วันและลดลงในวันถัดมา แต่เราก็ยังจะขาดทุนอยู่ดีหากใช้กลยุทธ์นี้ในการเทรดในกรณีที่ราคายังมีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวระหว่างวัน ดังนั้นการที่จะทำกำไรจากกลยุทธ์ Grid Trading ที่ต้องรีเซ็ตการ setup ทั้งหมดตอนช่วงท้ายของวัน การแกว่งตัวของราคาระหว่างวันถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง