DeFi 2.0 คืออะไร
• DeFi 2.0 คือ เจเนอเรชันใหม่ของการเงินแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Finance) ที่มุ่งแก้ไขข้อจำกัดและปัญหาต่างๆ ของ DeFi 1.0
• เป็นการพัฒนาต่อยอดที่มุ่งเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้งานเงินทุน ความเสถียร และกลไกของสภาพคล่อง รวมถึงแรงจูงใจผู้ใช้ที่ดีกว่า
• จุดเริ่มต้นของ DeFi 2.0 เกิดขึ้นประมาณช่วงปลายปี 2021 เพื่อแก้ไขปัญหาที่พบใน DeFi 1.0
(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=7969;image)
ความแตกต่างระหว่าง DeFi 1.0 และ DeFi 2.0
DeFi 1.0
• เป็นยุคเริ่มต้นของการเงินแบบกระจายศูนย์บนบล็อกเชน
• มีข้อจำกัดด้านสภาพคล่อง ค่าธรรมเนียมสูง และความเสี่ยงสูง
• ใช้แนวคิดพื้นฐาน เช่น Automated Market Makers (AMM) และ Liquidity Pools
• ผู้ให้สภาพคล่องมักถอนเงินออกเมื่อได้ผลตอบแทนที่พอใจ (Toxic Liquidity)
• มีปัญหาด้านความปลอดภัยและการเข้าถึงของนักลงทุน
DeFi 2.0
• ปรับปรุงปัญหาที่พบจาก DeFi 1.0 ด้วยนวัตกรรมและแนวคิดใหม่
• มุ่งเน้นการจัดการสภาพคล่องที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
• พัฒนาระบบความปลอดภัยที่ดีกว่า
• สร้างความยั่งยืนให้กับโปรโตคอลต่างๆ
• รองรับการขยายตัวและการเติบโตของอุตสาหกรรม
กลไกสำคัญของ DeFi 2.0
1. Protocol-Owned Liquidity (POL)
• POL คือแนวคิดที่โปรโตคอลเป็นเจ้าของสภาพคล่องของตัวเองแทนที่จะพึ่งพาผู้ให้สภาพคล่องภายนอก
• ช่วยแก้ปัญหา "Toxic Liquidity" ที่เกิดจากการถอนสภาพคล่องของนักลงทุนเมื่อได้ผลตอบแทนที่พอใจ
• มีความยั่งยืนมากกว่าเพราะโปรโตคอลควบคุมสภาพคล่องเอง ไม่ต้องกังวลว่านักลงทุนจะถอนเงินออก
• ตัวอย่างเช่น Olympus DAO ที่ใช้ระบบ Bonding เพื่อซื้อสภาพคล่องจากผู้ใช้แลกกับโทเคนของแพลตฟอร์มในราคา Discount
2. Decentralized Market Maker (DMM)
• ปรับปรุงจากแนวคิด Automated Market Maker (AMM) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
• ช่วยให้นักลงทุนสามารถกำหนดช่วงราคาซื้อขายได้ แทนที่จะเป็นการใช้สภาพคล่องในทุกช่วงราคา
• เพิ่มประสิทธิภาพการใช้เงินทุน (Capital Efficiency) ให้สูงขึ้น
• ตัวอย่างเช่น Uniswap V3 ที่ให้ผู้ให้สภาพคล่องสามารถเลือกช่วงราคาที่ต้องการให้สภาพคล่องได้
3. Cross-chain และ Layer 2 Solutions
• แก้ปัญหาค่าธรรมเนียมสูงและความล่าช้าในการทำธุรกรรมบนบล็อกเชนหลัก (เช่น Ethereum)
• เพิ่มความสามารถในการปรับขนาด (Scalability) ของระบบ DeFi
• ช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำธุรกรรมข้ามบล็อกเชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
• ตัวอย่างเช่น การใช้ Layer 2 บน Ethereum, Solana, BSC (BNB Smart Chain) และ TRON
4. Risk Management และ Insurance Protocols
• มุ่งเน้นการจัดการความเสี่ยงและการประกันในระบบ DeFi
• ช่วยป้องกันการสูญเสียจากการถูกแฮ็ก หรือความผิดพลาดของสัญญาอัจฉริยะ
• มอบความคุ้มครองสำหรับผู้ให้บริการสภาพคล่องเพื่อป้องกันการสูญเสียที่เกิดขึ้นซ้ำ (Impermanent Loss)
• ตัวอย่างเช่น โปรโตคอลประกันการสูญเสียที่ผันผวนหรือกองทุนประกันที่เกิดจากค่าธรรมเนียมที่ได้รับจาก LP แบบทางเดียว
5. Self-Loan (สินเชื่อตัวเอง)
• ระบบเงินกู้แบบใหม่ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงในการชำระบัญชี
• อนุญาตให้ผู้ใช้กู้ยืมโดยใช้สินทรัพย์ของตนเองเป็นหลักประกัน
• ลดความเสี่ยงของการถูกบังคับขาย (Liquidation) ในตลาดที่ผันผวน
ตัวอย่างโปรเจ็กต์ DeFi 2.0 ที่สำคัญ
(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=7971;image)
1. Olympus DAO (OHM)
• หนึ่งในโปรเจ็กต์แรกๆ ที่เริ่มนำแนวคิด DeFi 2.0 มาใช้
• ใช้ระบบ Protocol-Owned Liquidity และการขาย Bonds เพื่อสร้างสภาพคล่องระยะยาว
• สร้างแนวคิด (3, 3) เพื่อสนับสนุนการ Staking และการถือครองระยะยาว
• ทำงานบนเครือข่ายบล็อกเชน Ethereum
2. Abracadabra Money (SPELL)
• ให้บริการสร้าง Stablecoin แบบกระจายศูนย์ที่เรียกว่า Magic Internet Money (MIM)
• ใช้สินทรัพย์ที่สร้างรายได้ (Interest-bearing assets) เป็นหลักประกัน
• ทำงานบนหลายบล็อกเชน รวมถึง BNB Smart Chain
3. Lido Finance
• ผู้นำตลาด DeFi 2.0 ที่มีมูลค่าสูงสุด
• ให้บริการ Liquid Staking สำหรับ ETH และคริปโตอื่นๆ
• ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ประโยชน์จากโทเคนที่ถูกล็อกได้
• มีมูลค่าสินทรัพย์ที่ล็อกไว้ในระบบ (TVL) มากกว่า $8.8 พันล้าน
4. Frax Finance
• นำเสนอ Stablecoin แบบกึ่งกระจายศูนย์ (Frax) และโทเคน Governance (FXS)
• ผสมผสานโมเดลแบบมีหลักประกันบางส่วนและแบบไม่มีหลักประกัน
• พัฒนาไปสู่ระบบนิเวศการเงินที่สมบูรณ์มากขึ้น
5. Convex Finance
• ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้งานของ Curve Finance
• เพิ่มผลตอบแทนสำหรับผู้ให้สภาพคล่องใน Curve
• สร้างการแข่งขันเพื่อควบคุมการโหวตใน CRV (Curve Wars)
ข้อดีของ DeFi 2.0
• ความปลอดภัยที่ดีขึ้น: มาตรฐานความปลอดภัยที่สูงขึ้นและการตรวจสอบสัญญาอัจฉริยะอย่างเข้มงวด
• ประสิทธิภาพการใช้เงินทุนที่ดีขึ้น: ใช้ประโยชน์จากเงินทุนได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
• ความยั่งยืน: สร้างความยั่งยืนให้กับโปรโตคอลด้วยระบบสภาพคล่องที่โปรโตคอลเป็นเจ้าของ
• ค่าธรรมเนียมต่ำลง: การใช้ Layer 2 และเครือข่ายทางเลือกช่วยลดค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม
• การกระจายศูนย์มากขึ้น: การโอนการตัดสินใจเรื่องการควบคุมให้แก่ชุมชนผ่านระบบ DAO (Decentralized Autonomous Organization)
• แรงจูงใจที่ดีกว่า: สร้างแรงจูงใจที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ระยะยาวของโปรโตคอล
ข้อเสียและความเสี่ยงของ DeFi 2.0
• ความสามารถในการปรับขนาดที่จำกัด: แม้จะมีการปรับปรุง แต่ยังมีข้อจำกัดด้านความสามารถในการรองรับธุรกรรมจำนวนมาก
• ความปลอดภัย: ลูกค้าจำนวนมากยังไม่เข้าใจความเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ DeFi อย่างถ่องแท้
• Bug ในสัญญาอัจฉริยะ: แม้จะมีการตรวจสอบความปลอดภัย แต่ยังอาจมีช่องโหว่หรือข้อผิดพลาดในโค้ด
• การจัดหาข้อมูลที่มีคุณภาพ: ต้องการออราเคิลคุณภาพสูงและความแม่นยำของผู้ให้บริการข้อมูล
• ความเสี่ยงจากการถูกบังคับขาย (Liquidation): ในช่วงตลาดขาลงที่ราคาตกมาก อาจทำให้หลักประกันถูกบังคับขาย
• กฎระเบียบ: ยังไม่มีการออกนโยบายกำกับดูแล DeFi อย่างจริงจัง ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
การพัฒนาและแนวโน้มของ DeFi 2.0
• การเชื่อมโยงกับระบบการเงินแบบดั้งเดิม: มีแนวโน้มที่ DeFi 2.0 จะเชื่อมโยงกับระบบการเงินแบบดั้งเดิมมากขึ้น
• การพัฒนากฎระเบียบ: หน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศกำลังให้ความสนใจกับ DeFi มากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การกำหนดกฎระเบียบเฉพาะในอนาคต
• การขยายตัวของฐานนักลงทุนสถาบัน: การอนุมัติ ETF และผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับคริปโตจะดึงดูดนักลงทุนสถาบันมากขึ้น
• การพัฒนาด้านความปลอดภัย: จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องเพื่อลดความเสี่ยงต่างๆ
• Metaverse และ NFT ใน DeFi: การผสมผสานระหว่าง DeFi กับ NFT และ Metaverse จะสร้างโอกาสและบริการทางการเงินรูปแบบใหม่
วิธีเข้าสู่โลก DeFi 2.0
• ศึกษาและทำความเข้าใจ: ศึกษาหลักการพื้นฐานของ DeFi และคริปโตเคอเรนซีให้เข้าใจก่อนเริ่มลงทุน
• เริ่มต้นด้วยเงินลงทุนที่ยอมรับการขาดทุนได้: ไม่ควรนำเงินที่จำเป็นต้องใช้มาลงทุน เนื่องจากตลาดคริปโตมีความผันผวนสูง
• เลือกแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ: เลือกใช้บริการจากแพลตฟอร์มที่มีความน่าเชื่อถือและได้รับการตรวจสอบความปลอดภัย
• ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลที่ปลอดภัย: ใช้ Hot Wallet สำหรับการทำธุรกรรมประจำวัน และ Cold Wallet สำหรับเก็บสินทรัพย์จำนวนมาก
• ตั้งค่าการรักษาความปลอดภัย: ใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนและเปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA)
• ติดตามข่าวสารและพัฒนาการ: ติดตามข่าวสารและพัฒนาการของตลาด DeFi อย่างต่อเนื่องเพื่อตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสม
บทสรุป
DeFi 2.0 เป็นวิวัฒนาการที่สำคัญของการเงินแบบกระจายศูนย์ ที่มุ่งแก้ไขข้อจำกัดและปัญหาต่างๆ ของ DeFi 1.0 ด้วยนวัตกรรมและแนวคิดใหม่ๆ เช่น Protocol-Owned Liquidity, การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้เงินทุน และการพัฒนาด้านความปลอดภัย
แม้ว่า DeFi 2.0 จะยังมีความเสี่ยงและข้อจำกัดบางประการ แต่ก็นับเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมคริปโตมีความยั่งยืนและเข้าถึงได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการพัฒนากฎระเบียบและมาตรฐานความปลอดภัยที่เหมาะสม
การที่จะประสบความสำเร็จในโลกของ DeFi 2.0 นั้น ต้องอาศัยการศึกษา การวางแผน และการบริหารความเสี่ยงที่ดี รวมถึงการติดตามข่าวสารและพัฒนาการของตลาดอย่างต่อเนื่อง
อนาคตของ DeFi 2.0 มีแนวโน้มที่จะเติบโตและพัฒนาต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเชื่อมโยงกับระบบการเงินแบบดั้งเดิม การขยายตัวของฐานนักลงทุนสถาบัน และการพัฒนาด้านความปลอดภัย