ตลาดการเงิน, โดยเฉพาะตลาดหุ้น, มีการเคลื่อนไหวขึ้นและลงเป็นวัฏจักรอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งนักลงทุนทุกคนจำเป็นต้องเข้าใจสองสภาวะตลาดที่สำคัญที่สุด นั่นคือ "ตลาดกระทิง" (Bull Market) และ "ตลาดหมี" (Bear Market) การเข้าใจในสองสภาวะนี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถวางแผนกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างเหมาะสมและรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ดียิ่งขึ้น
(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=8347;image)
1. ตลาดกระทิง (Bull Market) ตลาดแห่งความเชื่อมั่น
"ตลาดกระทิง" เปรียบเสมือนลักษณะการโจมตีของวัวกระทิงที่ขวิดเขาขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงสภาวะที่ตลาดมีการเติบโตและปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
● คำจำกัดความ
○ โดยทั่วไป หมายถึง สภาวะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (เช่น SET Index, S&P 500) ปรับตัวสูงขึ้นอย่างน้อย 20% จากจุดต่ำสุดล่าสุด
○ เป็นช่วงเวลาที่ราคาหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในตลาดมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
● ลักษณะสำคัญของตลาดกระทิง
○ ความเชื่อมั่นนักลงทุนสูง นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในอนาคตของเศรษฐกิจและตลาดทุน มองว่าราคาหุ้นจะยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อไป
○ เศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง มักเกิดขึ้นพร้อมกับสภาวะเศรษฐกิจที่ดี เช่น อัตราการว่างงานต่ำ, GDP เติบโตสูง, และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนออกมาดีเกินคาด
○ ปริมาณการซื้อขายหนาแน่น นักลงทุนมีความกระตือรือร้นในการเข้าซื้อสินทรัพย์ ทำให้ปริมาณการซื้อขายโดยรวมสูงขึ้น
○ อุปทาน (Supply) ต่ำ และ อุปสงค์ (Demand) สูง มีนักลงทุนจำนวนมากต้องการซื้อหุ้น ในขณะที่จำนวนคนต้องการขายน้อยกว่า ทำให้ราคาสินทรัพย์ถูกผลักดันให้สูงขึ้น
○ การเสนอขายหุ้นใหม่ (IPO) คึกคัก บริษัทต่างๆ มักใช้โอกาสที่ตลาดเป็นใจในการระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก
○ สื่อและสาธารณชนให้ความสนใจ ข่าวสารเกี่ยวกับการลงทุนมักเป็นไปในเชิงบวก ดึงดูดนักลงทุนรายใหม่ๆ เข้าสู่ตลาด
● สาเหตุของการเกิดตลาดกระทิง
○ นโยบายการเงินผ่อนคลาย ธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ทำให้ต้นทุนทางการเงินต่ำลงและมีสภาพคล่องในระบบสูงขึ้น
○ นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น, ลดภาษี, หรือลงทุนในโครงการขนาดใหญ่เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
○ นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงโลก (เช่น อินเทอร์เน็ต, AI) สามารถสร้างอุตสาหกรรมใหม่และขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทที่เกี่ยวข้อง
○ ผลประกอบการบริษัทเติบโตแข็งแกร่ง เมื่อบริษัทส่วนใหญ่มีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้ามา
● กลยุทธ์การลงทุนในตลาดกระทิง
○ ซื้อและถือ (Buy and Hold) เป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่นักลงทุนซื้อสินทรัพย์และถือครองไว้เพื่อรอให้มูลค่าเติบโตไปพร้อมกับตลาดในระยะยาว
○ ลงทุนในหุ้นเติบโต (Growth Investing) เน้นลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตของรายได้และกำไรสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด แม้ว่าราคาอาจจะดูแพงเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบัน
○ เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้น นักลงทุนอาจพิจารณาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
○ การซื้อเมื่อราคาย่อตัว (Buy on Dips) ในแนวโน้มขาขึ้นใหญ่ อาจมีการปรับฐานหรือย่อตัวของราคาในระยะสั้น ซึ่งเป็นโอกาสให้นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ในราคาที่ต่ำลงก่อนที่ราคาจะกลับไปสู่แนวโน้มเดิม
2. ตลาดหมี (Bear Market ตลาดแห่งความกลัว
"ตลาดหมี" ได้ชื่อมาจากการโจมตีของหมีที่ตะปบลง ซึ่งสะท้อนถึงสภาวะที่ตลาดปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง
● คำจำกัดความ
○ โดยทั่วไป หมายถึง สภาวะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงอย่างน้อย 20% จากจุดสูงสุดล่าสุด
○ เป็นช่วงเวลาที่ราคาหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในตลาดมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง และมักกินเวลายาวนานหลายเดือนหรืออาจเป็นปี
● ลักษณะสำคัญของตลาดหมี
○ ความเชื่อมั่นนักลงทุนต่ำ นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นและมีมุมมองเชิงลบต่อเศรษฐกิจและตลาดทุน เกิดความกลัวและต้องการขายสินทรัพย์เพื่อลดความเสี่ยง
○ เศรษฐกิจที่อ่อนแอหรือถดถอย มักเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว, อัตราการว่างงานสูงขึ้น, หรือเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession)
○ แรงขายมากกว่าแรงซื้อ นักลงทุนส่วนใหญ่ต้องการขายหุ้นออกมา ในขณะที่ผู้ซื้อมีน้อย ทำให้ราคาหุ้นดิ่งลงอย่างรวดเร็ว
○ ผลประกอบการบริษัทต่ำกว่าคาด บริษัทจำนวนมากเริ่มรายงานผลประกอบการที่แย่ลงหรือคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตในเชิงลบ
○ นักลงทุนหนีหาสินทรัพย์ปลอดภัย (Flight to Safety) เม็ดเงินจะไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง (เช่น หุ้น) ไปยังสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า (เช่น พันธบัตรรัฐบาล, ทองคำ, เงินสด)
○ ปริมาณการซื้อขายอาจผันผวน ในช่วงแรกอาจมีปริมาณการซื้อขายสูงจากการตื่นตระหนก (Panic Sell) แต่หลังจากนั้นตลาดอาจซบเซาลง
● สาเหตุของการเกิดตลาดหมี
○ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมหดตัวลง ย่อมส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัท
○ นโยบายการเงินตึงตัว การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ ทำให้ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้นและชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจ
○ ฟองสบู่แตก เมื่อราคาสินทรัพย์ถูกเก็งกำไรจนสูงเกินปัจจัยพื้นฐานไปมาก สุดท้ายเมื่อฟองสบู่แตกก็จะนำไปสู่การเทขายอย่างรุนแรง
○ เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน (Black Swan Events) เช่น โรคระบาด (COVID-19), วิกฤตการเงิน (วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ปี 2008), หรือสงครามขนาดใหญ่
● กลยุทธ์การลงทุนในตลาดหมี
○ ถือเงินสดหรือเพิ่มสัดส่วนในสินทรัพย์ปลอดภัย การถือเงินสดช่วยลดความเสี่ยงและเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสซื้อของดีราคาถูกเมื่อตลาดถึงจุดต่ำสุด
○ ลงทุนในหุ้นคุณค่า (Value Investing) มองหาหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แต่ราคาตลาดในปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ซึ่งมักจะหาได้ง่ายในสภาวะตลาดหมี
○ ลงทุนในหุ้นปันผลสูง หรือ หุ้นตั้งรับ (Defensive Stocks) ลงทุนในบริษัทที่มีธุรกิจมั่นคง, จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจน้อยกว่า เช่น กลุ่มโรงพยาบาล, สาธารณูปโภค, สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น
○ การขายชอร์ต (Short Selling) สำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์สูงและรับความเสี่ยงได้มาก เป็นการยืมหุ้นมาขายก่อนแล้วรอซื้อคืนในราคาที่ต่ำกว่าเพื่อทำกำไร (มีความเสี่ยงขาดทุนไม่จำกัด)
○ การทยอยเข้าซื้อแบบถัวเฉลี่ย (Dollar-Cost Averaging - DCA) การลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่ากันอย่างสม่ำเสมอในทุกสภาวะตลาด จะช่วยให้ได้ต้นทุนเฉลี่ยที่ต่ำลงในช่วงตลาดหมี
วัฏจักรตลาด (Market Cycle)
ตลาดกระทิงและตลาดหมีเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรเศรษฐกิจและการลงทุนที่เกิดขึ้นสลับกันไปอย่างต่อเนื่อง โดยทั่วไปวัฏจักรตลาดมี 4 ระยะหลัก:
● ระยะสะสม (Accumulation Phase)
○ เกิดขึ้นหลังตลาดหมีสิ้นสุดลง ราคาหุ้นอยู่ระดับต่ำมาก
○ นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนที่มองการณ์ไกลเริ่มทยอยเข้าซื้อหุ้นอย่างเงียบๆ
○ ข่าวสารโดยทั่วไปยังคงเป็นลบ แต่ปัจจัยพื้นฐานเริ่มดูไม่แย่ลงกว่าเดิม
● ระยะขาขึ้น / กระทิง (Mark-up / Bull Phase)
○ ตลาดเริ่มปรับตัวขึ้นอย่างชัดเจน สภาพเศรษฐกิจดีขึ้น
○ นักลงทุนทั่วไปเริ่มมีความเชื่อมั่นและกลับเข้ามาในตลาด
○ ข่าวดีเริ่มปรากฏตามสื่อต่างๆ และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้ามามากขึ้น
● ระยะแจกจ่าย (Distribution Phase)
○ เป็นช่วงปลายของตลาดกระทิง ราคาหุ้นอยู่ในระดับสูงมากและเริ่มแกว่งตัวในกรอบกว้างๆ
○ นักลงทุนสถาบันที่เข้าซื้อตั้งแต่ระยะสะสม เริ่มทยอยขายทำกำไรออกมา
○ มักเป็นช่วงที่นักลงทุนรายย่อยมีความเชื่อมั่นสูงสุดและไล่ซื้อหุ้นอย่างคึกคักที่สุด
● ระยะขาลง / หมี (Mark-down / Bear Phase)
○ อุปทาน (แรงขาย) เริ่มมากกว่าอุปสงค์ (แรงซื้อ) อย่างชัดเจน
○ ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง นำไปสู่สภาวะตลาดหมี
○ นักลงทุนส่วนใหญ่ตื่นตระหนกและเทขายสินทรัพย์ออกมา ทำให้ราคายิ่งดิ่งลง
กลยุทธ์การลงทุนในแต่ละสภาวะตลาด
(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=8351;image)
การเลือกกลยุทธ์ที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม คือหัวใจสำคัญของการสร้างผลตอบแทนและจำกัดความเสี่ยง ต่อไปนี้คือรายละเอียดของกลยุทธ์ในแต่ละสภาวะตลาด
กลยุทธ์ในตลาดกระทิง (Bull Market Strategy)
เป้าหมายหลักในตลาดกระทิง คือ การสร้างผลตอบแทนสูงสุด (Maximize Return) จากแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
● ลงทุนในหุ้นเติบโต (Growth Investing)
○ คืออะไร คือการลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตของรายได้และกำไรสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดอย่างมีนัยสำคัญ เช่น หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี, นวัตกรรม, หรืออุตสาหกรรมใหม่ๆ
○ ทำไมถึงเหมาะ ในช่วงที่เศรษฐกิจดีและนักลงทุนมีความเชื่อมั่นสูง หุ้นเติบโตมักจะให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นที่สุด เพราะนักลงทุนพร้อมที่จะจ่ายในราคาที่สูง (P/E สูง) เพื่อแลกกับโอกาสการเติบโตในอนาคต
● ซื้อและถือ (Buy and Hold)
○ คืออะไร เป็นกลยุทธ์ระยะยาวที่เน้นการซื้อสินทรัพย์พื้นฐานดีและถือครองไว้ เพื่อให้มูลค่าของพอร์ตเติบโตไปพร้อมกับตลาดโดยรวม
○ ทำไมถึงเหมาะ ตลาดกระทิงเอื้ออำนวยให้การถือครองสินทรัพย์ในระยะยาวสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ง่าย ช่วยลดความเครียดจากการพยายามจับจังหวะตลาดในระยะสั้น
● ซื้อเมื่อราคาย่อตัว (Buy on Dips)
○ คืออะไร แม้ในแนวโน้มขาขึ้นใหญ่ ก็มักจะมีการปรับฐานหรือย่อตัวลงในระยะสั้นเสมอ กลยุทธ์นี้คือการใช้จังหวะนั้นในการเข้าซื้อสินทรัพย์เพิ่ม
○ ทำไมถึงเหมาะ ช่วยให้คุณได้ต้นทุนที่ต่ำกว่าการไล่ซื้อที่ราคาสูงสุด และเพิ่มโอกาสทำกำไรเมื่อราคากลับตัวขึ้นไปตามแนวโน้มเดิม
● เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้น (Increase Equity Allocation)
○ คืออะไร สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง อาจพิจารณาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น ให้มีสัดส่วนมากขึ้นในพอร์ตโฟลิโอ
○ ทำไมถึงเหมาะ เพื่อเปิดโอกาสให้พอร์ตได้รับผลตอบแทนอย่างเต็มที่จากสภาวะตลาดขาขึ้น
กลยุทธ์ในตลาดหมี (Bear Market Strategy)
เป้าหมายหลักในตลาดหมี คือ การปกป้องเงินทุน (Capital Preservation) และมองหาโอกาสซื้อของดีในราคาถูก
● ลงทุนในหุ้นตั้งรับ (Defensive Stock Investing)
○ คืออะไร คือการเลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจน้อย เช่น กลุ่มโรงพยาบาล (Healthcare), สาธารณูปโภค (Utilities), สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น (Consumer Staples)
○ ทำไมถึงเหมาะ หุ้นกลุ่มนี้มักจะปรับตัวลงน้อยกว่าตลาดโดยรวม และหลายบริษัทมีการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอ ช่วยสร้างกระแสเงินสดและลดความผันผวนของพอร์ตได้ดี
● ลงทุนในหุ้นคุณค่า (Value Investing)
○ คืออะไร เป็นหัวใจของการลงทุนในตลาดหมี คือการค้นหา "บริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม" โดยมองหาหุ้นที่มีราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Undervalued)
○ ทำไมถึงเหมาะ ตลาดหมีทำให้หุ้นของบริษัทดีๆ หลายแห่งมีราคาตกลงมาด้วยความตื่นตระหนกของตลาด ซึ่งเป็นโอกาสทองของนักลงทุนสายคุณค่าในการเข้าซื้อสินทรัพย์ชั้นดีในราคาลดกระหน่ำ
● ทยอยสะสมแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar-Cost Averaging - DCA)
○ คืออะไร คือการลงทุนด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันอย่างสม่ำเสมอ (เช่น ทุกเดือน) โดยไม่สนใจว่าราคาในขณะนั้นจะเป็นเท่าไหร่
○ ทำไมถึงเหมาะ ในช่วงตลาดขาลง การทำ DCA จะทำให้คุณได้จำนวนหน่วยลงทุน (หุ้น) มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งช่วยให้ต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยของคุณต่ำลงอย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อตลาดกลับเป็นขาขึ้น พอร์ตของคุณจะฟื้นตัวได้เร็วกว่า
● เพิ่มสัดส่วนสินทรัพย์ปลอดภัยและถือเงินสด (Increase Safe Havens & Cash):
○ คืออะไร ลดสัดส่วนหุ้นในพอร์ต และนำเงินไปพักไว้ในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล, ทองคำ หรือถือเป็นเงินสด
○ ทำไมถึงเหมาะ ช่วยปกป้องเงินทุนจากการขาดทุนหนัก และที่สำคัญคือ ทำให้คุณมี "กระสุน" (เงินทุน) พร้อมสำหรับช้อนซื้อหุ้นดีราคาถูกเมื่อตลาดเริ่มส่งสัญญาณกลับตัว
กลยุทธ์ในตลาดผันผวน (Sideways Market Strategy)
เป้าหมายหลักในตลาดที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน คือ การสร้างกระแสเงินสด (Generate Cash Flow) และทำกำไรจากความผันผวนในกรอบแคบๆ
● เน้นลงทุนในหุ้นปันผลสูง (High-Dividend Investing)
○ คืออะไร คือการเลือกหุ้นของบริษัทที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลดีและสม่ำเสมอ โดยให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) อยู่ในระดับที่น่าพอใจ
○ ทำไมถึงเหมาะ เมื่อราคาหุ้นไม่ขยับไปไหน ผลตอบแทนหลักของนักลงทุนจะมาจากเงินปันผล การมีหุ้นปันผลสูงในพอร์ตจึงเปรียบเสมือนการสร้างรายรับที่สม่ำเสมอในระหว่างที่รอทิศทางตลาดที่ชัดเจน
● เก็งกำไรในกรอบ (Swing Trading)
○ คืออะไร เป็นกลยุทธ์สำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์และเวลาติดตามตลาด โดยจะเข้าซื้อเมื่อราคาลงมาใกล้แนวรับ (Support) และขายเมื่อราคาขึ้นไปใกล้แนวต้าน (Resistance)
○ ทำไมถึงเหมาะ สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะสั้นได้จากความผันผวนของราคาที่วิ่งอยู่ในกรอบที่คาดการณ์ได้ (แต่ก็มีความเสี่ยงหากราคาทะลุกรอบที่วางไว้)
● กลยุทธ์ Options (สำหรับผู้มีประสบการณ์สูง)
○ คืออะไร การใช้ตราสารอนุพันธ์อย่าง Options เช่น การทำ Covered Call (ขาย Call Option บนหุ้นที่ตัวเองถืออยู่) เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมจากค่า Premium
○ ทำไมถึงเหมาะ เป็นวิธีสร้างกระแสเงินสดเพิ่มเติมจากพอร์ตหุ้นเดิมที่มีอยู่ ในช่วงที่คาดว่าราคาหุ้นจะไม่ปรับตัวขึ้นแรงในระยะสั้น