ThailandTraderClub.com

Crypto Trading and Defi => พื้นฐาน Crypto => หัวข้อที่ตั้งโดย: Support-3 เมื่อ มิถุนายน 26, 2025, 03:20:29 หลังเที่ยง

ชื่อ: ราคา Bitcoin ขึ้นลงจากอะไร?
โดย: Support-3 เมื่อ มิถุนายน 26, 2025, 03:20:29 หลังเที่ยง
เปิดปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องรู้
      ราคาของ Bitcoin สกุลเงินดิจิทัลที่โด่งดังที่สุดในโลก มีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา การขึ้นลงของราคาไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล แต่มีปัจจัยหลากหลายมิติเข้ามาเกี่ยวข้อง ตั้งแต่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ไปจนถึงจิตวิทยาของนักลงทุน

(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=8387;image)

ปัจจัยหลักๆ ที่ขับเคลื่อนราคา Bitcoin มีดังนี้
1. กลไกพื้นฐานที่สุด: อุปทานและอุปสงค์ (Supply and Demand)
●    ฝั่งอุปทาน (Supply): ถูกจำกัดและคาดการณ์ได้
○    อุปทานสูงสุดคงที่ (Fixed Max Supply)
■    Bitcoin ถูกออกแบบโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้มีปริมาณสูงสุดจำกัดอยู่ที่ 21,000,000 BTC เท่านั้น ไม่สามารถมีใครสร้างเพิ่มเกินกว่านี้ได้
■    คุณสมบัตินี้สร้าง "ความหายากแบบดิจิทัล" (Digital Scarcity) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ Bitcoin ถูกเปรียบเทียบกับ "ทองคำดิจิทัล" (Digital Gold) และแตกต่างจากสกุลเงินทั่วไป (Fiat Currency) ที่ธนาคารกลางสามารถพิมพ์เพิ่มได้ไม่จำกัด
○    การลดลงของอุปทานใหม่ (Bitcoin Halving)
■    เป็นปรากฏการณ์ที่ถูกกำหนดไว้ในโค้ดของ Bitcoin ให้เกิดขึ้นทุกๆ 210,000 บล็อก (ประมาณ 4 ปี)
■    สาระสำคัญคือ "การลดรางวัลการขุดลงครึ่งหนึ่ง" สำหรับนักขุด (Miners) ที่ช่วยตรวจสอบและยืนยันธุรกรรมในระบบ
■    ผลกระทบ ทำให้อัตราการเกิดใหม่ของ Bitcoin ลดลงอย่างฮวบฮาบ ส่งผลให้อุปทานใหม่ที่เข้าสู่ตลาดยิ่งน้อยลงไปอีก
■    ในอดีต เหตุการณ์ Halving ในปี 2012, 2016, และ 2020 มักเป็นตัวจุดประกายตลาดกระทิง (Bull Run) ครั้งใหญ่ในอีก 12-18 เดือนถัดมา เนื่องจากอุปทานใหม่ลดลงสวนทางกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
●    ฝั่งอุปสงค์ (Demand) มาจากหลากหลายแหล่งที่มา
○    นักลงทุนรายย่อย (Retail Investors):
■    คือประชาชนทั่วไปที่เข้าถึง Bitcoin ผ่านแอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน (Exchanges) ต่างๆ
■    แรงซื้อจากรายย่อยมักจะเพิ่มขึ้นสูงในช่วงที่ข่าวสารเป็นกระแสและราคาเป็นขาขึ้น
○    นักลงทุนสถาบันและบริษัทมหาชน (Institutional Investors & Corporations)
■    หมายถึงกองทุนขนาดใหญ่, บริษัทจัดการสินทรัพย์, บริษัทประกันภัย, และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
■    การเข้าซื้อของสถาบัน เช่น กรณีของบริษัท MicroStrategy ที่ถือครอง Bitcoin จำนวนมหาศาล เป็นการส่งสัญญาณความเชื่อมั่นและสร้างความชอบธรรมให้กับ Bitcoin ในฐานะ "สินทรัพย์เพื่อการลงทุน" (Investable Asset Class)
○    กองทุน Spot Bitcoin ETF (Exchange-Traded Fund)
■    การที่หน่วยงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) อนุมัติกองทุน Spot Bitcoin ETF ในต้นปี 2024 ถือเป็นก้าวสำคัญที่สุดก้าวหนึ่ง
■    ช่วยให้นักลงทุนสถาบันและรายย่อยสามารถลงทุนใน Bitcoin ได้โดยตรงผ่านตลาดหุ้นแบบดั้งเดิม ซึ่งง่าย, ปลอดภัย, และอยู่ภายใต้การกำกับดูแล
■    ส่งผลให้มีเม็ดเงินลงทุนมหาศาลจากตลาดทุนดั้งเดิมไหลเข้าสู่ Bitcoin อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
○    ความต้องการในฐานะสินทรัพย์หลบภัย (Safe-Haven Asset)
■    ในประเทศที่เผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ, ภาวะเงินเฟ้อรุนแรง, หรือความไม่แน่นอนทางการเมือง ประชาชนจะมองหา Bitcoin เพื่อใช้เป็นเครื่องมือรักษามูลค่าความมั่งคั่ง (Store of Value) และใช้เพื่อโอนย้ายเงินข้ามพรมแดน

2. ภาพรวมเศรษฐกิจโลก ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic Factors)
●    นโยบายการเงินของธนาคารกลาง (Monetary Policy)
○    อัตราดอกเบี้ย การตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีอิทธิพลสูงสุด
■    ขึ้นดอกเบี้ย ทำให้การกู้ยืมมีต้นทุนสูงขึ้น และการฝากเงินในสินทรัพย์ปลอดภัยให้ผลตอบแทนดีขึ้น นักลงทุนจึงมีแนวโน้มลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงสูงอย่าง Bitcoin
■    ลดดอกเบี้ย ทำให้ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ปลอดภัยต่ำลง นักลงทุนจะแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่ง Bitcoin มักได้รับอานิสงส์
○    มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing - QE)
■    คือการที่ธนาคารกลาง "อัดฉีด" เงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านการซื้อพันธบัตร
■    ส่งผลให้สภาพคล่องในระบบการเงินล้นเหลือ และเงินเหล่านี้มักจะไหลเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึง Bitcoin เพื่อหาสร้างผลตอบแทน
○    มาตรการดึงสภาพคล่องกลับ (Quantitative Tightening - QT)
■    คือการที่ธนาคารกลางลดขนาดงบดุล (ขายพันธบัตร) เพื่อดึงเงินออกจากระบบ
■    ส่งผลตรงกันข้ามกับ QE ทำให้สภาพคล่องลดลงและเป็นปัจจัยลบต่อสินทรัพย์เสี่ยง
●    ภาวะเงินเฟ้อ (Inflation)
○    เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น มูลค่าของเงินสดที่ถืออยู่จะลดลงอย่างรวดเร็ว
○    นักลงทุนจึงมองหา "สินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ" (Inflation Hedge)
○    ด้วยอุปทานที่จำกัดตายตัว Bitcoin จึงถูกมองว่าเป็น "ทองคำดิจิทัล" ที่สามารถรักษามูลค่าได้ดีในระยะยาวเมื่อเทียบกับสกุลเงินที่สามารถพิมพ์เพิ่มได้เรื่อยๆ

3. ข่าวสาร, กฎระเบียบ, และกระแสสังคม (News, Regulation & Sentiment)
●    กฎระเบียบและนโยบายภาครัฐ (Government Regulation)
○    ปัจจัยบวก การออกกฎหมายที่ชัดเจน, การให้ใบอนุญาตประกอบธุรกิจ, หรือการยอมรับ Bitcoin เป็นสกุลเงินที่ถูกกฎหมาย (เช่นในเอลซัลวาดอร์) จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดการลงทุน
○    ปัจจัยลบ การประกาศแบนการทำธุรกรรม, การสั่งห้ามการขุด, หรือการเก็บภาษีในอัตราที่สูง จะสร้างความกลัวและความไม่แน่นอน ส่งผลให้เกิดแรงเทขายอย่างหนัก
●    ข่าวการยอมรับจากภาคเอกชน (Corporate Adoption News)
○    ข่าวบริษัทขนาดใหญ่ระดับโลก (เช่น Starbucks, PayPal) ประกาศรับชำระเงินหรือให้บริการเกี่ยวกับ Bitcoin
○    ข่าวบริษัทเทคโนโลยีประกาศเข้าซื้อ Bitcoin เพื่อเป็นสินทรัพย์สำรอง
○    ข่าวเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นการตลาดและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนรายย่อยและสถาบันอื่นๆ ให้หันมาสนใจมากขึ้น
●    อิทธิพลของบุคคลที่มีชื่อเสียง (Influencers & Key Figures)
○    ความคิดเห็นของบุคคลที่มีอิทธิพลในโลกการเงินและเทคโนโลยี เช่น อีลอน มัสก์ (Elon Musk), ไมเคิล เซย์เลอร์ (Michael Saylor), หรือ เคธี วูด (Cathie Wood)
○    ทวีตหรือความเห็นเพียงครั้งเดียวของพวกเขาสามารถทำให้ราคาผันผวนอย่างรุนแรงได้ในระยะสั้น

4. จิตวิทยาตลาดและการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Market Psychology & Technical Analysis)
●    อารมณ์ตลาด: ความโลภและความกลัว (Greed vs. Fear)
○    FOMO (Fear of Missing Out) "ความกลัวที่จะตกรถ" เกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้นอย่างรุนแรง นักลงทุนจะแห่เข้ามาซื้อตามกันเพราะกลัวพลาดโอกาสทำกำไร ซึ่งยิ่งดันราคาให้สูงขึ้นไปอีกจนเกิดภาวะฟองสบู่ได้
○    FUD (Fear, Uncertainty, and Doubt) "ความกลัว, ความไม่แน่นอน, และความสงสัย" มักถูกแพร่กระจายผ่านข่าวลือหรือข่าวร้าย ทำให้เกิดความตื่นตระหนกและแรงเทขาย (Panic Sell) กดดันให้ราคาดิ่งลง
○    ดัชนี Fear & Greed Index เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้วัดอารมณ์ตลาดโดยรวม โดยประมวลผลจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความผันผวน, ปริมาณการซื้อขาย, และกระแสบนโซเชียลมีเดีย
●    การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis - TA)
○    คือการศึกษาพฤติกรรมราคาในอดีตผ่านกราฟและดัชนีชี้วัดต่างๆ เพื่อคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต
○    เครื่องมือที่นิยม เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages), แนวรับ-แนวต้าน (Support/Resistance), และดัชนี RSI (Relative Strength Index)
○    พฤติกรรมหมู่ เมื่อนักวิเคราะห์และนักลงทุนจำนวนมากมองเห็นสัญญาณทางเทคนิคเดียวกัน (เช่น สัญญาณซื้อ) และทำการซื้อพร้อมๆ กัน ก็สามารถผลักดันให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นได้จริง

5. การแข่งขันในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี
แม้ Bitcoin จะเป็นราชาแห่งสกุลเงินดิจิทัล แต่ก็มีการแข่งขันจากเหรียญอื่นๆ (Altcoins) ที่มีคุณสมบัติและกรณีการใช้งานที่แตกต่างกัน การเติบโตของ Altcoin ที่น่าสนใจอาจดึงดูดเงินทุนบางส่วนออกจาก Bitcoin ไปได้เช่นกัน
โดยสรุป ราคาของ Bitcoin เป็นผลลัพธ์ของปัจจัยที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน การทำความเข้าใจในปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินสถานการณ์และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีข้อมูลและเท่าทันต่อความผันผวนของตลาดได้ดียิ่งขึ้น


รับมือความเสี่ยง เมื่อราคา Bitcoin ผันผวน (สิ่งที่ต้องเตรียมใจทั้งช่วงขาขึ้นและขาลง)

(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=8385;image)

      Bitcoin (BTC) เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ขึ้นชื่อเรื่องความผันผวนของราคาอย่างรุนแรง การเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วนี้สร้างโอกาสในการทำกำไรมหาศาล แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจและเตรียมพร้อมรับมืออย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงที่ราคาพุ่งสูงขึ้น (ขาขึ้น) หรือดิ่งลง (ขาลง) ก็ตาม

ความเสี่ยงใน "ภาวะตลาดขาขึ้น" (ราคา Bitcoin สูงขึ้น)
      หลายคนอาจมองว่าตลาดขาขึ้นมีแต่เรื่องดี แต่ความจริงแล้วมีความเสี่ยงซ่อนอยู่ไม่น้อย ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากปัจจัยทางจิตวิทยาและความโลภ
●    ความเสี่ยงจากการกลัวตกรถ (FOMO - Fear of Missing Out) เมื่อเห็นราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนอาจรู้สึกกดดันและกลัวว่าจะพลาดโอกาสทำกำไร จนรีบตัดสินใจเข้าซื้อที่ราคาสูงโดยไม่ได้วิเคราะห์อย่างถ้วนถี่ ซึ่งเป็นจุดที่เสี่ยงต่อการ "ติดดอย" หรือซื้อในราคาที่ใกล้จุดสูงสุดของรอบนั้นๆ
●    การประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป เมื่อตลาดเป็นใจและทำกำไรได้ง่าย นักลงทุนบางรายอาจเกิดความมั่นใจมากเกินไป จนละเลยการบริหารความเสี่ยง เช่น การลงทุนด้วยเงินทั้งหมดที่มี หรือการใช้ "Leverage" (การกู้ยืมเพื่อเพิ่มกำลังซื้อ) ในปริมาณที่สูงเกินไป ซึ่งหากตลาดกลับตัวอย่างรวดเร็ว อาจทำให้ขาดทุนหนักหรือพอร์ตแตกได้ในทันที
●    ความเสี่ยงจากภาวะฟองสบู่ (Bubble Risk) การเพิ่มขึ้นของราคาที่รวดเร็วเกินไปอาจไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐานเสมอไป แต่อาจเกิดจากการเก็งกำไร เมื่อฟองสบู่แตก ราคาจะดิ่งลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ทำให้นักลงทุนที่เข้ามาทีหลังขาดทุนอย่างหนัก
●    การมองข้ามการขายทำกำไร นักลงทุนบางส่วนอาจคาดหวังว่าราคาจะสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ จนพลาดจังหวะในการขายทำกำไรตามเป้าหมายที่วางไว้ และเมื่อตลาดกลับตัว กำไรที่เคยมีก็อาจลดลงหรือกลายเป็นขาดทุนได้

(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=8389;image)

ความเสี่ยงใน "ภาวะตลาดขาลง" (ราคา Bitcoin ลดลง)
นี่คือความเสี่ยงที่ชัดเจนและน่ากังวลที่สุดสำหรับนักลงทุน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อมูลค่าพอร์ตการลงทุน
●    การขาดทุนทางมูลค่า (Capital Loss) ความเสี่ยงที่ชัดเจนที่สุดคือมูลค่าของ Bitcoin ที่ถืออยู่ลดลง ทำให้พอร์ตการลงทุนโดยรวมมีมูลค่าต่ำลง หากมีความจำเป็นต้องใช้เงินในช่วงนั้น อาจต้องยอมขายในราคาที่ขาดทุน
●    ความตื่นตระหนกและการเทขาย (Panic Selling) เมื่อเห็นราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง ความกลัว (Fear) และความไม่แน่นอน (Uncertainty) อาจทำให้นักลงทุนตัดสินใจเทขายสินทรัพย์ทั้งหมดในราคาต่ำ เพื่อหนีออกจากตลาด ซึ่งมักจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดในระยะยาว เพราะอาจเป็นการขายที่จุดต่ำสุดของรอบนั้นๆ ก่อนที่ราคาจะฟื้นตัว
●    ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) ในช่วงที่ตลาดตื่นตระหนกอย่างรุนแรง การซื้อขายในบางแพลตฟอร์มอาจมีปัญหา ทำให้ไม่สามารถขาย Bitcoin ได้ในราคาที่ต้องการ หรืออาจเกิดการ "Slippage" (ราคาที่ขายได้จริงแตกต่างจากราคาที่คาดหวัง)
●    ความเสี่ยงจากการถูกบังคับขาย (Margin Call) สำหรับผู้ที่ใช้ Leverage ในการลงทุน เมื่อราคาลดลงถึงจุดที่กำหนด หลักประกันที่วางไว้อาจไม่เพียงพอและจะถูกบังคับขาย (Liquidation) โดยอัตโนมัติเพื่อชำระหนี้ ซึ่งหมายถึงการสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด
ความเสี่ยงทั่วไปที่ต้องรับมือเสมอ

นอกเหนือจากความเสี่ยงตามสภาวะตลาด ยังมีความเสี่ยงพื้นฐานที่นักลงทุนใน Bitcoin ต้องเผชิญอยู่ตลอดเวลา:
●    ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ (Regulatory Risk) กฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลในแต่ละประเทศยังมีความไม่แน่นอนสูง การเปลี่ยนแปลงนโยบายของภาครัฐสามารถส่งผลกระทบต่อราคาได้อย่างมีนัยสำคัญ
●    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย (Security Risk) การถูกแฮกหรือโจรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลจาก Exchange หรือกระเป๋าเงินดิจิทัล (Wallet) ยังคงเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ นักลงทุนต้องให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยของบัญชีและ Private Key ของตนเอง
●    ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี (Technological Risk) แม้ว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนของ Bitcoin จะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากข้อบกพร่อง (Bugs) ที่อาจเกิดขึ้น หรือการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ที่ดีกว่าในอนาคต

แนวทางการเตรียมรับมือและบริหารความเสี่ยง
1.    ศึกษาข้อมูลและเข้าใจในสิ่งที่ลงทุน ก่อนลงทุนควรศึกษาข้อมูลพื้นฐานของ Bitcoin เทคโนโลยีเบื้องหลัง และปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาอย่างละเอียด
2.    ประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ลงทุนด้วยเงินเย็น หรือเงินที่พร้อมจะสูญเสียได้โดยไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
3.    กระจายความเสี่ยง (Diversification) ไม่ควรลงทุนทั้งหมดในสินทรัพย์ตัวเดียว ควรกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ต
4.    วางแผนการลงทุนที่ชัดเจน กำหนดจุดเข้าซื้อ จุดขายทำกำไร และจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ล่วงหน้า และปฏิบัติตามแผนอย่างมีวินัย
5.    ลงทุนในระยะยาว การมอง Bitcoin เป็นการลงทุนระยะยาวจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนในระยะสั้นได้
6.    หลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ การมีสติและยึดมั่นในแผนการลงทุนจะช่วยป้องกันการตัดสินใจที่ผิดพลาดจากความโลภหรือความกลัว
7.    พิจารณาการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย (DCA - Dollar-Cost Averaging) การทยอยลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่าๆ กันในแต่ละช่วงเวลา จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเข้าซื้อในราคาที่สูงเกินไป