ThailandTraderClub.com

Crypto Trading and Defi => พื้นฐาน Crypto => หัวข้อที่ตั้งโดย: Support-3 เมื่อ สิงหาคม 17, 2025, 03:47:13 หลังเที่ยง

ชื่อ: การทำ Layer 2 Scaling Solutions แบบต่างๆ สำคัญยังไงกับบล็อกเชน
โดย: Support-3 เมื่อ สิงหาคม 17, 2025, 03:47:13 หลังเที่ยง
ทำความรู้จักกับ Layer 2 Scaling Solutions แบบต่างๆ
      Layer 2 Scaling Solutions ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของระบบนิเวศบล็อกเชน โดยเฉพาะสำหรับ Ethereum ในการก้าวข้ามขีดจำกัดด้านความเร็วและค่าธรรมเนียมสูง (Gas Fees) จากที่เคยเป็นเพียงแนวคิดทางทฤษฎี
      ปัจจุบัน Layer 2 ได้เติบโตเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีมูลค่ารวมของสินทรัพย์ที่ล็อกไว้ (Total Value Locked - TVL) หลายหมื่นล้านดอลลาร์ และกลายเป็นสมรภูมิแข่งขันทางเทคโนโลยีที่ร้อนแรงที่สุดแห่งหนึ่งในโลกคริปโต

(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=8925;image)

Scaling Solutions (โซลูชันการขยายขนาด) คืออะไร?
      Scaling Solution คือ "วิธีการ" หรือ "เทคโนโลยี" ใดๆ ก็ตามที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา "คอขวด" ของบล็อกเชน ทำให้เครือข่ายสามารถรองรับธุรกรรมได้มากขึ้นและรวดเร็วขึ้น (เพิ่มค่า TPS - Transactions Per Second)
•    ปัญหาดั้งเดิม: บล็อกเชนยอดนิยมอย่าง Bitcoin หรือ Ethereum เปรียบเสมือนถนนเลนเดียวที่ปลอดภัยมากๆ แต่เมื่อมีรถ (ธุรกรรม) ต้องการใช้พร้อมกันเยอะๆ ก็จะเกิดปัญหารถติด ทำให้การเดินทางช้า (รอยืนยันนาน) และค่าผ่านทางก็แพงขึ้น (ค่าธรรมเนียมสูง) 🚗
•    ทางแก้: Scaling Solutions ก็คือการหาวิธีขยายถนนนั้น อาจจะเป็นการสร้างเลนเพิ่ม หรือสร้างทางด่วนขึ้นมาซ้อนทับนั่นเอง

Layer 2 (เลเยอร์ 2) คืออะไร?
      Layer 2 คือ "ชั้น" ของเครือข่ายที่สร้างขึ้นมา "บน" บล็อกเชนหลักที่มีอยู่แล้ว (ซึ่งเราเรียกว่า Layer 1) โดย Layer 2 จะไม่สร้างบล็อกเชนใหม่ทั้งหมด แต่จะพึ่งพาความปลอดภัยจาก Layer 1
•    Layer 1 (L1): คือ บล็อกเชนหลักที่เป็นรากฐาน เช่น Bitcoin, Ethereum L1 มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยสูงสุดและการบันทึกข้อมูลธุรกรรมที่เป็นที่สิ้นสุด เปรียบเสมือน "ศาลฎีกา" ที่มีความน่าเชื่อถือสูงสุดแต่กระบวนการทำงานจะช้าและมีค่าใช้จ่ายสูง
•    Layer 2 Scaling Solutions คือ โปรโตคอลที่สร้างขึ้นบนบล็อกเชนหลัก (Layer 1) เช่น Ethereum เพื่อทำให้การทำธุรกรรมเร็วขึ้นและถูกลงอย่างมีนัยสำคัญ เปรียบเสมือนช่องทางด่วน (Express Lanes) บนทางหลวงที่การจราจรหนาแน่น โดยช่วยย้ายทราฟฟิกออกจากถนนเส้นหลักเพื่อลดความแออัดและลดค่าใช้จ่ายสำหรับทุกคน

Layer 2 Scaling Solutions คืออะไร?
•    เมื่อนำสองคำมารวมกัน Layer 2 Scaling Solutions จึงหมายถึง "วิธีการขยายขนาดบล็อกเชนโดยการสร้างเครือข่ายชั้นที่ 2 ขึ้นมาซ้อนทับบนบล็อกเชนหลัก (Layer 1)"
•    หลักการทำงานหัวใจของมันคือ: "ประมวลผลธุรกรรมจำนวนมากนอกเชนหลัก (Off-chain) แล้วรวบยอดส่งข้อมูลสรุปที่จำเป็นกลับไปบันทึกบนเชนหลัก (On-chain) เพียงครั้งเดียว"
•    แทนที่จะส่งธุรกรรม 1,000 รายการไปให้ L1 บันทึกทีละรายการจนรถติด L2 จะรวบทั้ง 1,000 รายการนี้ไปจัดการบน "ทางด่วน" ของตัวเอง แล้วส่งแค่ "ใบสรุป" เพียงใบเดียวกลับไปให้ L1 ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้อย่างมหาศาล

ทำไมบล็อกเชนถึงต้องการ 'ทางด่วน'
ลองนึกภาพทางหลวงเลนเดียวที่ต้องรองรับการจราจรในชั่วโมงเร่งด่วนของทั้งเมือง คุณจะต้องเจอกับรถติดเป็นชั่วโมง และใครก็ตามที่ผ่านไปได้ก็ต้องจ่ายค่าผ่านทางที่สูงลิ่ว
•    นี่คือปัญหาที่บล็อกเชนยอดนิยมอย่าง Ethereum กำลังเผชิญอยู่ เมื่อมีคนพยายามใช้เครือข่ายมากเกินไปพร้อมๆ กัน ก็จะเกิดปัญหาการจราจรติดขัด (Network Congestion) และค่าผ่านทางที่สูงจนน่าตกใจ (Gas Fees)
•    ปัญหานี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดที่เรียกว่า "Blockchain Trilemma" ซึ่งกล่าวว่าเครือข่ายบล็อกเชนนั้นยากที่จะมีคุณสมบัติ 3 อย่างพร้อมกัน คือ การกระจายอำนาจ (Decentralized), ความปลอดภัย (Secure), และความสามารถในการขยายขนาด (Scalable)
•    หากคุณยอมสละอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็อาจทำลายจุดประสงค์หลักของเครือข่ายไปเลย ตัวอย่างเช่น คุณอาจเพิ่มขนาดบล็อก (Block Size) เพื่อให้รองรับธุรกรรมได้มากขึ้น แต่นั่นก็จะทำให้คนทั่วไปรันโหนด (Node) ได้ยากขึ้น ซึ่งเป็นการทำลายการกระจายอำนาจ

การเกิดขึ้นของ Layer 2 Scaling Solutions

(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=8923;image)

      นี่คือจุดที่ Layer 2 Scaling Solutions เข้ามามีบทบาท แทนที่จะพยายามสร้างทางหลวงหลัก (Layer 1) ใหม่ทั้งหมด พวกเขากลับสร้างทางด่วนหลายเลนขึ้นมาซ้อนทับบนทางหลวงเดิม
•    โซลูชันเหล่านี้จะจัดการธุรกรรมส่วนใหญ่นอกเชน (Off-chain) แล้วรวบรวมธุรกรรมเหล่านั้นเข้าด้วยกัน ก่อนจะส่งข้อมูลสรุปที่ถูกบีบอัดกลับไปยังเชนหลัก (Mainnet) เพื่อบันทึกขั้นสุดท้าย ซึ่งช่วยลดภาระบนเชนหลักได้อย่างมหาศาล
•    แนวคิดหลักนั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง: ย้ายงานหนักไปยังเลเยอร์ที่เร็วกว่าและถูกกว่า แต่ยังคงสืบทอดความปลอดภัยที่แข็งแกร่งของบล็อกเชนพื้นฐานมาด้วย นี่คือวิธีที่แอปพลิเคชัน Web3 เริ่มให้ความรู้สึกรวดเร็วและตอบสนองได้ดีเหมือนกับเว็บแอปที่เราใช้กันทุกวันนี้
•    ในปี 2025 นี้ โซลูชัน Layer 2 ชั้นนำอย่าง Polygon, Shibarium และ Immutable X ได้กลายเป็นแพลตฟอร์มหลักสำหรับการขยายขนาด พวกเขาลดค่าธรรมเนียมธุรกรรมจนเกือบเป็นศูนย์และสามารถประมวลผลธุรกรรมด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง สิ่งนี้ทำให้พวกเขากลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดตลาด NFT, โปรโตคอล DeFi และเกมบล็อกเชนที่ไม่สามารถทนต่อความแออัดของเชนหลักได้

การทำ Layer 2 Scaling Solutions แบบต่าง ๆ
ตอนนี้เรามาดู "ทางด่วน" รูปแบบต่างๆ กันว่าแต่ละแบบมีวิธีการสร้างและทำงานแตกต่างกันอย่างไร
1. Rollups (โรลอัป)
นี่คือประเภทที่ได้รับความนิยมและเป็นกระแสหลักที่สุดในปัจจุบัน หลักการคือ "ม้วน" หรือ "รวบ" ธุรกรรมหลายร้อยรายการให้เป็นก้อนเดียว แล้วส่งข้อมูลที่บีบอัดแล้วกลับไปที่ L1 แบ่งเป็น 2 ประเภทย่อย:
Optimistic Rollups
      o    หลักการ: "มองโลกในแง่ดี" โดยจะสมมติว่าธุรกรรมทุกอย่างที่รวบรวมมานั้นถูกต้องทั้งหมด แล้วส่งขึ้นไปบน L1 ก่อนเลย แต่จะเปิดช่วงเวลาหนึ่ง (เรียกว่า Challenge Period ประมาณ 7 วัน) ให้ใครก็ได้เข้ามาตรวจสอบและคัดค้านได้หากเจอข้อผิดพลาด
      o    ข้อดี: เข้ากับระบบของ Ethereum (EVM) ได้ดีมาก ทำให้ย้ายแอปพลิเคชันมาง่าย
      o    ข้อเสีย: การถอนเงินกลับมา L1 ต้องรอนาน (รอให้หมดช่วงเวลาคัดค้าน)
      o  ตัวอย่าง: Arbitrum, Optimism

ZK-Rollups (Zero-Knowledge Rollups)
      o  หลักการ: ใช้เทคนิคการเข้ารหัสขั้นสูงที่เรียกว่า "Zero-Knowledge Proof" เพื่อสร้าง "หลักฐานพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์" ว่าธุรกรรมในกลุ่มนั้นถูกต้อง 100% แล้วจึงส่งข้อมูลพร้อมกับหลักฐานนี้ไปที่ L1
      o    ข้อดี: ปลอดภัยสูงมาก และสามารถถอนเงินกลับ L1 ได้รวดเร็วทันที เพราะความถูกต้องถูกพิสูจน์แล้ว
      o    ข้อเสีย: เทคโนโลยีซับซ้อนกว่า และอาจใช้พลังประมวลผลสูงกว่าในการสร้างหลักฐาน
      o    ตัวอย่าง: zkSync, StarkNet, Polygon zkEVM

2. Sidechains (ไซด์เชน)
•  หลักการ: เป็นบล็อกเชนอีกเส้นหนึ่งที่ทำงาน "ข้างๆ" และเป็นอิสระจากเชนหลัก โดยมีระบบรักษาความปลอดภัยและกลไกฉันทามติเป็นของตัวเอง แต่มี "สะพาน" (Bridge) เชื่อมต่อกับ L1 เพื่อใช้ในการโอนย้ายสินทรัพย์ไปมา
•    ข้อแตกต่างสำคัญ: Sidechain ไม่ได้พึ่งพาความปลอดภัยจาก L1 โดยตรง ความปลอดภัยขึ้นอยู่กับผู้ดูแลเครือข่ายของ Sidechain เอง
•    เปรียบเทียบ: ถ้า Rollups คือทางด่วนที่ยังอยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศ (L1) Sidechains ก็เหมือนเขตเศรษฐกิจพิเศษที่มีกฎหมายและตำรวจเป็นของตัวเอง แต่มีด่านตรวจคนเข้าเมือง (Bridge) เชื่อมกับประเทศหลัก
•    ตัวอย่าง: Polygon PoS, Gnosis Chain (xDai)

3. State Channels (สเตทแชนแนล)
•    หลักการ: สร้างช่องทางสื่อสารส่วนตัวระหว่างผู้ใช้ 2 คนหรือกลุ่มเล็กๆ เพื่อให้พวกเขาสามารถทำธุรกรรมกันเองนอกเชนได้อย่างไม่จำกัดและรวดเร็ว โดยจะบันทึกข้อมูลลง L1 แค่ 2 ครั้งคือ "ตอนเปิดช่องทาง" และ "ตอนปิดช่องทาง" เพื่อสรุปยอดสุดท้าย
•    เปรียบเทียบ: เหมือนการเปิดบิลค่าเครื่องดื่มที่บาร์ คุณกับเพื่อนสั่งเครื่องดื่ม (ธุรกรรม) กันได้เรื่อยๆ ตลอดคืนโดยไม่ต้องจ่ายเงินทุกครั้งที่สั่ง พนักงานจะจดไว้ในบิล (ทำธุรกรรมนอกเชน) และเมื่อจะกลับบ้านจึงค่อย "ปิดบิล" จ่ายเงินทั้งหมดในครั้งเดียว (บันทึกลง L1)
•    เหมาะกับ: ธุรกรรมความถี่สูงระหว่างคู่สัญญาที่แน่นอน เช่น การเล่นเกม, การจ่ายเงินค่าสตรีมมิ่งวิดีโอ
•    ตัวอย่าง: Lightning Network ของ Bitcoin เป็นตัวอย่างที่โด่งดังที่สุด

คุณสมบัติเด่นของโซลูชันแต่ละประเภท
⛓️ State Channels
•    🛡� ความปลอดภัย: ได้รับจาก L1 (เมื่อโต้แย้ง)
•    ⚡ ความเร็วในการยืนยัน: ทันที (Off-chain)
•    💸 ความเร็วในการถอน: เร็ว (เมื่อปิด Channel)
•    📜 รองรับ Smart Contract: จำกัดมาก
•    🧠 ความซับซ้อน: ต่ำ
•    ตัวอย่าง: Lightning Network

🌍 Sidechains
•    🛡� ความปลอดภัย: แยกต่างหาก
•    ⚡ ความเร็วในการยืนยัน: เร็ว (ตามกลไก Sidechain)
•    💸 ความเร็วในการถอน: เร็ว
•    📜 รองรับ Smart Contract: ใช่ (มีความยืดหยุ่น)
•    🧠 ความซับซ้อน: ปานกลาง
•    ตัวอย่าง: Polygon PoS

👻 Plasma (เทคโนโลยีรุ่นก่อน ปัจจุบันไม่นิยมเท่า Rollups)
•    🛡� ความปลอดภัย: ได้รับจาก L1 (ผ่าน Fraud Proof)
•    ⚡ ความเร็วในการยืนยัน: เร็ว (แต่ต้องรอ Exit Game)
•    💸 ความเร็วในการถอน: ช้า (ต้องมี Challenge Period)
•    📜 รองรับ Smart Contract: จำกัดมาก
•    🧠 ความซับซ้อน: สูง
•    ตัวอย่าง: OMG Network

👍 Optimistic Rollups
•    🛡� ความปลอดภัย: ได้รับจาก L1 (ผ่าน Fraud Proof)
•    ⚡ ความเร็วสำหรับผู้ใช้ (บน L2): เร็วมาก (ยืนยันเกือบทันที)
•    💸 ความเร็วในการถอนกลับ L1: ช้ามาก (ต้องรอ Challenge Period ประมาณ 7 วัน)
•    📜 รองรับ Smart Contract: ใช่ (EVM-Compatible)
•    🧠 ความซับซ้อน: ปานกลาง
•    ตัวอย่าง: Arbitrum, Optimism

🔒 ZK-Rollups (Zero-Knowledge Rollups)
•    🛡� ความปลอดภัย: ได้รับจาก L1 (ผ่าน Validity Proof)
•    ⚡ ความเร็วในการยืนยัน: เร็ว (เมื่อ Proof ถูกส่ง)
•    💸 ความเร็วในการถอน: เร็วมาก (หลักนาที/ชั่วโมง)
•    📜 รองรับ Smart Contract: กำลังพัฒนา (zk-EVM)
•    🧠 ความซับซ้อน: สูงมาก
•    ตัวอย่าง: zkSync, StarkNet


เปรียบเทียบข้อจำกัดของ Layer 1 กับประโยชน์ของ Layer 2
(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=8927;image)

สรุป Layer 2 Scaling Solutions
•  หัวใจของ Layer 2 คือ การนำธุรกรรมจำนวนมากไปประมวลผลนอกเชนหลักที่รวดเร็วกว่า แล้วจึงส่งข้อมูลสรุปกลับมาบันทึกบน Layer 1 ในครั้งเดียว ผลลัพธ์คือการทำธุรกรรมที่เร็วขึ้นมหาศาลและถูกลงมาก แต่ยังคงได้รับความปลอดภัยที่แข็งแกร่งมาจาก Layer 1
•    โดย Layer 2 มีรูปแบบหลักๆ ที่นิยมใช้กันคือ:
•    Rollups: เหมือน "รถตู้" ที่รวบรวมธุรกรรมหลายร้อยรายการไปพร้อมกัน (เป็นที่นิยมที่สุด)
•    Sidechains: เหมือน "ทางด่วนคู่ขนาน" ที่เป็นอิสระ มีกฎของตัวเอง
•    State Channels: เหมือน "แอปแชทส่วนตัว" สำหรับการทำธุรกรรมถี่ๆ ระหว่างกัน
•    ทั้งหมดนี้คือเทคโนโลยีสำคัญที่ทำให้แอปพลิเคชัน Web3 เช่น DeFi และเกม NFT สามารถใช้งานได้จริงในวงกว้าง เหมือนเว็บแอปทั่วไป