Bitcoin Wallet คืออะไร?(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=9173;image)
Bitcoin Wallet คือ กระเป๋าสตางค์ดิจิทัลที่ใช้เก็บ "กุญแจส่วนตัว" (Private Key) ของคุณ กุญแจนี้เปรียบเสมือนรหัสลับหรือลายเซ็นที่ใช้พิสูจน์ความเป็นเจ้าของและอนุญาตให้คุณเข้าถึงและส่ง Bitcoin ของคุณได้ พูดง่ายๆ คือ
มันเป็นเครื่องมือสำหรับจัดการสิทธิ์ในการใช้จ่าย Bitcoin ของคุณนั่นเอง1. Ledger Nano X(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=9155;image)
Ledger Nano X คือ Hardware Wallet รุ่นเรือธงจากบริษัท Ledger ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมและเชื่อถือมากที่สุดในโลก อุปกรณ์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่เพียงสิ่งเดียว นั่นคือ
การเก็บรักษา Private Keyของคุณให้อยู่ในสภาพแวดล้อมออฟไลน์ (Cold Storage) อย่างสมบูรณ์แบบ ตัวเครื่องมีลักษณะคล้าย USB Drive ทำจากสแตนเลสสตีลขัดเงาและพลาสติกคุณภาพสูง มีหน้าจอ OLED ขนาดเล็กและปุ่มกดสองปุ่มสำหรับใช้ยืนยันธุรกรรม หัวใจสำคัญของ Ledger Nano X คือชิปที่เรียกว่า Secure Element (SE) ซึ่งเป็น
ชิปความปลอดภัยเกรดเดียวกับที่ใช้ในบัตรเครดิตและหนังสือเดินทาง ได้รับการรับรองมาตรฐาน
CC EAL5+ ทำให้ทนทานต่อการโจมตีทางกายภาพที่ซับซ้อนได้เป็นอย่างดี
การใช้งานจะทำผ่านแอปพลิเคชัน Ledger Live บนคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน ซึ่งทำหน้าที่เป็น Interface ให้คุณจัดการสินทรัพย์, ดูมูลค่าพอร์ตโฟลิโอ, รับ-ส่งเหรียญ, และเข้าถึงบริการอื่นๆ เช่น การ Staking (ฝากเหรียญเพื่อรับผลตอบแทน) หรือการ Swap (แลกเปลี่ยนเหรียญ) โดยทุกครั้งที่จะทำธุรกรรมสำคัญ Private Key จะไม่เคยออกจากตัวเครื่อง Ledger เลย การยืนยันจะเกิดขึ้นบนอุปกรณ์เท่านั้น ทำให้มั่นใจได้ว่าสินทรัพย์ของคุณปลอดภัยแม้คอมพิวเตอร์หรือมือถือจะติดไวรัสก็ตาม
ข้อดี• ความปลอดภัยระดับสูงสุด: การใช้ชิป Secure Element (CC EAL5+) ทำให้ Ledger เป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งมากในการป้องกันการแฮก Private Key ถือเป็นมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดสำหรับ Hardware Wallet ในปัจจุบัน
• ระบบนิเวศ Ledger Live ที่สมบูรณ์: Ledger Live ไม่ใช่แค่โปรแกรมดูยอดเงิน แต่เป็นศูนย์กลางการจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลที่ครบวงจร คุณสามารถซื้อ, ขาย, แลกเปลี่ยน และ Staking เหรียญได้โดยตรงจากในแอปฯ ทำให้ใช้งานสะดวกและลดความเสี่ยงจากการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม DeFi ที่ไม่น่าเชื่อถือ
• รองรับสกุลเงินหลากหลายที่สุด: รองรับเหรียญและโทเคนมากกว่า 5,500 สกุล ครอบคลุมบล็อกเชนหลักๆ เกือบทั้งหมดในตลาด ทำให้นักลงทุนสามารถจัดเก็บสินทรัพย์ที่หลากหลายไว้ในที่เดียวได้ ไม่ว่าจะเป็น Bitcoin, Ethereum, และ Altcoins อื่นๆ อีกมากมาย
• การเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth: เป็นฟีเจอร์เด่นที่ทำให้ Nano X แตกต่างจากรุ่นอื่น คุณสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่าน Bluetooth เพื่อจัดการพอร์ตโฟลิโอและทำธุรกรรมได้ทุกที่ทุกเวลา เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานนอกสถานที่อย่างมาก
• พกพาสะดวกและทนทาน: ด้วยขนาดที่เล็กและการออกแบบที่แข็งแรง ทำให้ง่ายต่อการพกพาและจัดเก็บอย่างปลอดภัย
ข้อเสีย• การเชื่อมต่อ Bluetooth เป็นข้อกังวล: สำหรับผู้ที่ยึดมั่นในความปลอดภัยสูงสุด การมี Bluetooth อาจถูกมองว่าเป็น "ช่องทาง" การโจมตีแบบไร้สายได้ (แม้โอกาสจะน้อยมากก็ตาม) ผู้ใช้งานกลุ่มนี้อาจ προτιม Hardware Wallet ที่เป็น Air-gapped 100% หรือเชื่อมต่อผ่านสาย USB เท่านั้น
• ราคาสูง: เมื่อเทียบกับ Software Wallet (Hot Wallet) ที่ส่วนใหญ่ฟรี Ledger Nano X มีราคาที่ค่อนข้างสูง จึงเป็นการลงทุนที่ต้องพิจารณาสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูงสุดเพื่อเก็บรักษาสินทรัพย์มูลค่ามาก
• ประเด็นเรื่อง Ledger Recover: Ledger เคยเปิดตัวบริการ "Ledger Recover" ซึ่งเป็นบริการเสริมแบบสมัครสมาชิก ที่สามารถสำรอง Seed Phrase ของผู้ใช้ (โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนและเข้ารหัส) ไปเก็บไว้กับผู้ให้บริการ 3 ราย สิ่งนี้สร้างความกังวลในหมู่ผู้ใช้บางกลุ่มว่า Seed Phrase อาจไม่ได้อยู่แค่ในอุปกรณ์อีกต่อไป แม้จะเป็นบริการที่ผู้ใช้ต้องเลือกเปิดเองก็ตาม
2. TREZOR Model T(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=9157;image)
TREZOR Model T คือ Hardware Wallet ระดับพรีเมียมจากบริษัท SatoshiLabs ซึ่ง
เป็นผู้บุกเบิกและผู้ผลิต Hardware Wallet รายแรกของโลก ดังนั้น Trezor จึงเป็นแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับอย่างสูงในวงการ
จุดเด่นที่สุดของ Model T คือ หน้าจอสัมผัสสี (Color Touchscreen) ขนาดใหญ่ที่ใช้งานง่าย ซึ่งเข้ามาแก้ปัญหาหลักของ Hardware Wallet รุ่นเก่าๆ การมีจอสัมผัสหมายความว่าคุณสามารถกรอก PIN, Passphrase และตรวจสอบที่อยู่ผู้รับได้โดยตรงบนตัวอุปกรณ์ โดยไม่ต้องพึ่งพาคีย์บอร์ดของคอมพิวเตอร์เลย สิ่งนี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยอย่างมหาศาล เพราะเป็นการป้องกันการดักจับข้อมูล (Keylogger) จากมัลแวร์ที่อาจแฝงตัวอยู่ในคอมพิวเตอร์ของคุณ
หลักการทำงานของ Trezor คือการเป็น Open-source ทั้งตัวฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ซึ่งหมายความว่าโค้ดทั้งหมดถูกเปิดเผยต่อสาธารณะให้นักพัฒนาและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทั่วโลกสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลาเพื่อหาช่องโหว่ สิ่งนี้สร้างความโปร่งใสและความไว้วางใจได้เป็นอย่างดี
ข้อดี• เป็น Open-Source 100%: ความโปร่งใสคือจุดแข็งที่สุดของ Trezor การที่ทุกคนสามารถตรวจสอบโค้ดได้ ทำให้มั่นใจได้ว่าไม่มี "ประตูหลัง" หรือช่องโหว่ที่ผู้ผลิตแอบซ่อนไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชุมชนนักพัฒนาให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
• หน้าจอสัมผัสเพื่อความปลอดภัยสูงสุด: การยืนยันธุรกรรมและกรอกข้อมูลสำคัญบนหน้าจอของอุปกรณ์โดยตรง ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีผ่านคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่ออยู่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้เป็นหนึ่งใน Wallet ที่ปลอดภัยที่สุดในตลาด
• รองรับสกุลเงินจำนวนมาก: แม้จะน้อยกว่า Ledger เล็กน้อย แต่ก็ยังรองรับเหรียญและโทเคนมากกว่า 1,600 สกุล ซึ่งเพียงพอสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่
• ใช้งานง่ายและทันสมัย: การใช้พอร์ต USB Type-C ทำให้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์รุ่นใหม่ๆ ได้สะดวก และขั้นตอนการตั้งค่าก็ไม่ซับซ้อน เหมาะสำหรับผู้ใช้ทุกระดับ
ข้อเสีย
• ราคาแพงที่สุดในกลุ่ม: TREZOR Model T เป็นหนึ่งใน Hardware Wallet สำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่มีราคาสูงที่สุดในตลาด ทำให้เป็นตัวเลือกที่ไม่เหมาะกับผู้เริ่มต้นหรือผู้ที่มีงบประมาณจำกัด
• วัสดุเป็นพลาสติก: แม้จะเป็นพลาสติกคุณภาพดี แต่เมื่อเทียบกับ Ledger Nano X ที่มีส่วนประกอบเป็นโลหะ บางคนอาจรู้สึกว่าตัวเครื่องดูพรีเมียมน้อยกว่าเมื่อเทียบกับราคา
• ไม่มีการเชื่อมต่อ Bluetooth: สำหรับบางคน นี่อาจเป็นข้อดีด้านความปลอดภัย แต่สำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกในการใช้งานกับมือถือ อาจมองว่าเป็นข้อจำกัด
3. BitBox02(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=9159;image)
BitBox02 (ชื่อที่ถูกต้องของผลิตภัณฑ์) คือ Hardware Wallet จากบริษัท Shift Crypto ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่เน้น ความเรียบง่าย, ความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง, และนวัตกรรมการสำรองข้อมูล
จุดเด่นที่ไม่เหมือนใครของ BitBox02 คือ ระบบสำรองข้อมูลผ่าน MicroSD Card แทนที่จะให้ผู้ใช้จด Seed Phrase 24 คำลงบนกระดาษ (ซึ่งเสี่ยงต่อการสูญหาย, ถูกขโมย หรือทำลาย) BitBox02 จะสร้างไฟล์สำรองที่เข้ารหัสไว้ใน MicroSD Card ที่แถมมาให้ทันที ทำให้กระบวนการ Backup และ Restore ทำได้ง่ายและรวดเร็วกว่ามาก ลดความผิดพลาดจากมนุษย์ (Human Error) ได้เป็นอย่างดี
ตัวเครื่องมีขนาดเล็กมากและไม่มีปุ่มกด แต่ใช้เซ็นเซอร์สัมผัสที่ด้านข้างในการควบคุม (แตะ, ปัด, ค้างไว้) การออกแบบที่เรียบง่ายนี้ทำให้มันดูสุขุมและใช้งานไม่ยุ่งยาก BitBox02 มีให้เลือก 2 รุ่น คือ รุ่น Multi-Edition (รองรับหลายสกุลเงิน) และรุ่น Bitcoin-Only (สำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยสูงสุดโดยการลดพื้นผิวการโจมตีให้เหลือแค่ Bitcoin)
ข้อดี• นวัตกรรมการสำรองข้อมูลด้วย MicroSD Card: เป็นฟีเจอร์ที่โดดเด่นและใช้งานได้จริง ช่วยแก้ปัญหาการจัดการ Seed Phrase ที่น่าปวดหัวสำหรับผู้ใช้หลายคนได้อย่างยอดเยี่ยม
• ความปลอดภัยสูงและเป็น Open-Source: เช่นเดียวกับ Trezor โค้ดของ BitBox02 ถูกเปิดให้ตรวจสอบได้ทั้งหมด และยังมีฟีเจอร์ความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง เช่น ชิป Secure Element เพื่อป้องกันการโจมตีทางกายภาพ
• ราคาเข้าถึงง่าย: โดยทั่วไป BitBox02 มีราคาที่ถูกกว่า Ledger Nano X และ TREZOR Model T ทำให้เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยสูงในราคาที่สมเหตุสมผล
• ใช้งานง่ายและมินิมอล: ซอฟต์แวร์ BitBoxApp มีหน้าตาที่สะอาดตาและเข้าใจง่าย เน้นฟังก์ชันที่จำเป็น ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เริ่มต้นที่ไม่ต้องการความซับซ้อน
• ข้อเสีย• รองรับสกุลเงินน้อยกว่าคู่แข่ง: แม้รุ่น Multi-Edition จะรองรับเหรียญหลักๆ และโทเคน ERC-20 ได้ แต่จำนวนโดยรวมยังน้อยกว่า Ledger และ Trezor มาก จึงไม่เหมาะกับคนที่ต้องการลงทุนใน Altcoin ที่หลากหลาย
• การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนมีจำกัด: ไม่รองรับ iOS และการเชื่อมต่อกับ Android ต้องทำผ่านสาย USB-C ซึ่งอาจไม่สะดวกเท่าการเชื่อมต่อไร้สายผ่าน Bluetooth
4. SafePal S1(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=9161;image)
SafePal S1 คือ Hardware Wallet ที่สร้างความแตกต่างด้วยแนวคิด Air-gapped 100% และได้รับการสนับสนุนจาก Binance Labs (หน่วยงานบ่มเพาะของ Binance) ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือได้เป็นอย่างมาก
คำว่า
"Air-gapped" หมายความว่าตัวอุปกรณ์จะ ไม่มีการเชื่อมต่อใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น USB, Bluetooth, Wi-Fi หรือ NFC การทำธุรกรรมทั้งหมดจะสื่อสารกับแอปพลิเคชันบนมือถือผ่าน การสแกน QR Code เท่านั้น โดยตัว SafePal S1 มีกล้องขนาดเล็กในตัวสำหรับสแกน QR Code จากแอปฯ และหน้าจอของมันจะแสดง QR Code เพื่อให้แอปฯ สแกนกลับ เป็นการสร้างธุรกรรมที่ออฟไลน์อย่างแท้จริง ทำให้แฮกเกอร์ไม่สามารถโจมตีผ่านช่องทางการเชื่อมต่อใดๆ ได้เลย
ตัวเครื่องมีลักษณะคล้ายบัตรเครดิตแต่หนากว่าเล็กน้อย มีปุ่มควบคุมและหน้าจอสีขนาดเล็ก และมีกลไกทำลายตัวเอง (Self-destruct Mechanism) หากตรวจพบการพยายามงัดแงะทางกายภาพ
ข้อดี• ความปลอดภัยสูงสุดด้วยระบบ Air-gapped: การไม่เชื่อมต่อกับอะไรเลยทำให้มันเป็นหนึ่งใน Wallet ที่ปลอดภัยที่สุดจากการโจมตีระยะไกล เหมาะสำหรับผู้ที่กังวลเรื่องความปลอดภัยเป็นพิเศษ
• ราคาถูกและคุ้มค่ามาก: SafePal S1 มีราคาที่เข้าถึงง่ายมาก ทำให้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการ Cold Storage คุณภาพดีโดยไม่ต้องลงทุนสูง
• ได้รับการสนับสนุนจาก Binance: การมี Binance Labs เป็นผู้ลงทุนช่วยสร้างความมั่นใจในคุณภาพและอนาคตของผลิตภัณฑ์ และยังทำงานร่วมกับ Binance Smart Chain (BSC) ได้อย่างราบรื่น
• ฟังก์ชันหลากหลายในแอปฯ: แอปพลิเคชัน SafePal รองรับการใช้งาน DeFi, dApps, และ NFT ทำให้เป็นมากกว่ากระเป๋าเก็บเหรียญธรรมดา
ข้อเสีย• ขั้นตอนการใช้งานยุ่งยากกว่า: การที่ต้องสแกน QR Code ไปมาในทุกธุรกรรม ทำให้ขั้นตอนซับซ้อนและใช้เวลามากกว่าการเสียบสาย USB หรือใช้ Bluetooth ซึ่งอาจไม่เหมาะกับคนที่ต้องการความรวดเร็ว
• หน้าจอมีขนาดเล็ก: การแสดงข้อมูลบนหน้าจอที่เล็กอาจทำให้อ่านที่อยู่ Address ยาวๆ หรือตรวจสอบรายละเอียดธุรกรรมได้ลำบาก
• ต้องใช้กับสมาร์ทโฟนเท่านั้น: ออกแบบมาเพื่อทำงานคู่กับแอปฯ บนมือถือเป็นหลัก ไม่สะดวกสำหรับการใช้งานบนคอมพิวเตอร์
5. KeepKey(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=9163;image)
KeepKey คือ Hardware Wallet จากบริษัท ShapeShift (แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโต) ที่มีจุดเด่นในเรื่อง หน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่และราคาที่เข้าถึงง่าย ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่กว่า Hardware Wallet อื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด มาพร้อมหน้าจอ OLED ที่กว้าง ทำให้การตรวจสอบที่อยู่ (Address) ของผู้รับและรายละเอียดธุรกรรมทำได้ง่ายและชัดเจนมาก ช่วยลดโอกาสการผิดพลาดจากการส่งเหรียญผิดที่อยู่ หรือการถูกโจมตีแบบ "Man-in-the-middle" ที่แฮกเกอร์แอบเปลี่ยนที่อยู่ Address บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณ
KeepKey มีการออกแบบที่ดูพรีเมียมด้วยวัสดุอะลูมิเนียมอะโนไดซ์ และทำงานร่วมกับแพลตฟอร์ม ShapeShift ได้อย่างราบรื่น ทำให้ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนเหรียญได้โดยตรงจาก Interface ของ Walletข้อดี• หน้าจอขนาดใหญ่และชัดเจน: เป็นจุดขายหลักที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความมั่นใจในการทำธุรกรรม ผู้ใช้สามารถเห็นข้อมูลทั้งหมดได้เต็มตาโดยไม่ต้องเลื่อนดู
• ราคาถูกมาก: KeepKey มักจะมีราคาที่ถูกที่สุดในบรรดา Hardware Wallet แบรนด์ดัง ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการ Cold Storage โดยมีงบจำกัด
• การออกแบบที่ดูดีและแข็งแรง: แม้จะราคาถูก แต่ตัวเครื่องก็ทำจากวัสดุคุณภาพดี ให้ความรู้สึกทนทานและพรีเมียม
• ทำงานร่วมกับ ShapeShift ได้ดี: การแลกเปลี่ยนเหรียญทำได้สะดวกสำหรับผู้ที่ใช้บริการของ ShapeShift อยู่แล้ว
ข้อเสีย• รองรับสกุลเงินจำกัดมาก: นี่คือข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของ KeepKey โดยรองรับเหรียญเพียงไม่กี่สิบสกุลเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงใน Altcoin จำนวนมาก
• ขนาดใหญ่และพกพาลำบาก: เมื่อเทียบกับคู่แข่ง KeepKey มีขนาดที่ใหญ่และหนักกว่าอย่างชัดเจน ทำให้ไม่สะดวกในการพกพาติดตัว
• การอัปเดตซอฟต์แวร์ไม่บ่อยเท่าคู่แข่ง: เนื่องจากความนิยมน้อยกว่า ทำให้การเพิ่มเหรียญใหม่ๆ หรือฟีเจอร์ใหม่ๆ เกิดขึ้นช้ากว่า Ledger หรือ Trezor
6. CoolWallet S / Pro(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=9165;image)
CoolWallet (ปัจจุบันมีรุ่น Pro) คือ Hardware Wallet ที่ปฏิวัติการออกแบบด้วย รูปทรงบัตรเครดิต ที่บางเฉียบและยืดหยุ่นได้ ทำให้สามารถพกพาในกระเป๋าสตางค์ได้เหมือนบัตรทั่วไป นับเป็นนวัตกรรมที่เน้นความสะดวกในการพกพาอย่างแท้จริง
ตัวการ์ดกันน้ำได้และมีหน้าจอ E-Ink ขนาดเล็ก (เหมือนหน้าจอเครื่องอ่าน Kindle) เพื่อแสดงข้อมูลสำคัญ และมีปุ่มกดโลหะหนึ่งปุ่มสำหรับยืนยันธุรกรรม การเชื่อมต่อทำผ่าน Bluetooth ที่เข้ารหัสไปยังแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน (iOS และ Android)
แนวคิดของ CoolWallet คือ การผสมผสานความปลอดภัยของ Cold Storage เข้ากับความสะดวกสบายในการใช้งานแบบ Mobile Wallet ทำให้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการทำธุรกรรมนอกสถานที่บ่อยๆ แต่ยังต้องการความปลอดภัยที่เหนือกว่า Hot Wallet ทั่วไป
ข้อดี• การออกแบบและการพกพาที่เหนือชั้น: รูปทรงบัตรเครดิตทำให้มันเป็น Hardware Wallet ที่พกพาง่ายที่สุดในตลาด สามารถเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ได้อย่างแนบเนียน
• ทนทานและกันน้ำ: การออกแบบที่ปิดสนิททำให้มีความทนทานต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันและกันน้ำได้
• เน้นการใช้งานบนมือถือ: การเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth ทำให้การใช้งานกับสมาร์ทโฟนเป็นไปอย่างราบรื่นและสะดวกสบาย
• รองรับสกุลเงินหลากหลาย: รุ่น Pro รองรับเหรียญและโทเคนจำนวนมาก และยังรองรับการ Staking และการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม DeFi/NFT ได้
ข้อเสีย• แบตเตอรี่ไม่สามารถเปลี่ยนได้: เนื่องจากตัวการ์ดถูกปิดผนึกอย่างสมบูรณ์ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่อยู่ภายในจึงมีอายุการใช้งานจำกัด (โดยทั่วไปหลายปี) และไม่สามารถเปลี่ยนได้ เมื่อแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ ก็จะต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ทั้งชิ้น
• ราคาสูง: ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมการออกแบบ ทำให้ CoolWallet มีราคาสูงกว่า Hardware Wallet รูปทรง USB ทั่วไป
• ต้องชาร์จไฟ: แตกต่างจาก Wallet แบบ USB ที่ใช้ไฟจากคอมพิวเตอร์ คุณต้องคอยชาร์จ CoolWallet ผ่านแท่นชาร์จเฉพาะของมัน
7. Ellipal Titan(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=9167;image)
Ellipal Titan คือ Hardware Wallet อีกหนึ่งตัวที่ยึดมั่นในหลักการ Air-gapped 100% แต่มาในรูปแบบที่แตกต่างออกไป ด้วยตัวเครื่องที่ดูคล้ายสมาร์ทโฟนขนาดเล็ก มี หน้าจอสัมผัสสีขนาดใหญ่ และทำจากโลหะทั้งชิ้น ทำให้มีความทนทานสูงมาก
เช่นเดียวกับ SafePal S1 การทำงานของ Ellipal Titan จะไม่ใช้การเชื่อมต่อใดๆ ทั้งสิ้น แต่จะสื่อสารกับแอปฯ บนมือถือผ่าน การสแกน QR Code เท่านั้น ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ ทำให้การแสดงและสแกน QR Code ทำได้ง่ายและชัดเจนกว่ามาก ตัวเครื่องถูกออกแบบมาให้
"ป้องกันการงัดแงะ" (Anti-tamper) หากมีการพยายามเปิดเครื่องเพื่อเข้าถึงชิ้นส่วนภายใน ข้อมูลทั้งหมดจะถูกลบโดยอัตโนมัติ Ellipal Titan วางตำแหน่งตัวเองเป็น Wallet ที่มอบประสบการณ์ใช้งานที่ง่ายเหมือนสมาร์ทโฟน แต่มีความปลอดภัยระดับสูงสุดของการเป็น Air-gapped Cold Storageข้อดี• Air-gapped พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่: เป็นการรวมข้อดีของ SafePal (Air-gapped) และ TREZOR Model T (จอสัมผัส) เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ปลอดภัยสูงและใช้งานง่ายมาก
• ตัวเครื่องแข็งแรงทนทานมาก: การสร้างจากโลหะชิ้นเดียวทำให้ทนทานต่อแรงกระแทก การกดทับ และการงัดแงะได้เป็นอย่างดี
• รองรับสกุลเงินจำนวนมาก: รองรับเหรียญและโทเคนมากกว่า 10,000 สกุล ครอบคลุมเกือบทุกอย่างในตลาด
• แอปพลิเคชันมีฟังก์ชันครบครัน: สามารถซื้อ, แลกเปลี่ยน, และเข้าถึง dApps ได้โดยตรงจากแอปฯ Ellipal
ข้อเสีย• ขนาดใหญ่และหนัก: เมื่อเทียบกับ Wallet อื่นๆ Ellipal Titan มีขนาดใหญ่และหนักกว่ามาก ทำให้พกพาไม่สะดวกเท่า
• แบรนด์ยังไม่เป็นที่รู้จักเท่า Ledger/Trezor: แม้ผลิตภัณฑ์จะดี แต่ชื่อเสียงของแบรนด์ที่ยังไม่ยาวนานเท่าคู่แข่ง อาจทำให้ผู้ใช้บางคนลังเลในเรื่องความน่าเชื่อถือระยะยาว
• ต้องใช้กับสมาร์ทโฟนเป็นหลัก: การทำงานผ่าน QR Code ทำให้ต้องใช้งานคู่กับแอปฯ บนมือถือเสมอ
8. SecuX W10(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=9169;image)
SecuX W10 คือ Hardware Wallet ที่พยายามหาจุดสมดุลระหว่างฟังก์ชัน, ความปลอดภัย, และการใช้งานที่ง่าย โดยมาพร้อมกับ หน้าจอสัมผัสสีขนาดใหญ่ 2.8 นิ้ว ในรูปทรงหกเหลี่ยมที่เป็นเอกลักษณ์ SecuX W10 เป็นรุ่นเริ่มต้นของแบรนด์ที่เชื่อมต่อผ่านสาย USB กับคอมพิวเตอร์ (Windows, Mac, Linux) ตัวเครื่องมีชิป Infineon CC EAL 5+ Secure Element ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูงเช่นเดียวกับ Ledger ทำให้มั่นใจได้ในเรื่อง
การป้องกัน Private Key ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ ทำให้การตรวจสอบที่อยู่และรายละเอียดธุรกรรมทำได้สะดวกและปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ SecuX วางตัวเป็นทางเลือกที่ใช้งานง่ายสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยของ Cold Storage พร้อมหน้าจอสัมผัสในราคาที่สมเหตุสมผล
ข้อดี• หน้าจอสัมผัสสีขนาดใหญ่: ช่วยให้การนำทางเมนูและการยืนยันธุรกรรมทำได้ง่ายและปลอดภัยมาก
• ความปลอดภัยสูง: การใช้ชิป Secure Element มาตรฐาน EAL 5+ ทำให้มีความปลอดภัยในการเก็บ Private Key เทียบเท่ากับแบรนด์ชั้นนำ
• รองรับหลายสกุลเงิน: รองรับเหรียญและโทเคนมากกว่า 1,000 สกุล ครอบคลุมสินทรัพย์ดิจิทัลที่สำคัญส่วนใหญ่
• ใช้งานข้ามแพลตฟอร์มได้: สามารถจัดการผ่านเว็บอินเทอร์เฟซบนคอมพิวเตอร์ หรือเชื่อมต่อกับ Wallet ของบุคคลที่สามได้
ข้อเสีย• การออกแบบและขนาด: รูปทรงหกเหลี่ยมอาจไม่ถูกใจทุกคน และตัวเครื่องค่อนข้างหนาเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ทำให้พกพาไม่สะดวกนัก
• ซอฟต์แวร์ยังไม่สมบูรณ์เท่าคู่แข่ง: แม้จะใช้งานได้ดี แต่ซอฟต์แวร์ของ SecuX อาจยังไม่มีฟีเจอร์ครบครันและขัดเกลาได้ไม่ดีเท่า Ledger Live หรือ Trezor Suite
• ความเสี่ยงจากของปลอม: ตามที่ระบุ การที่หาซื้อง่ายบนแพลตฟอร์ม E-commerce ทั่วไป เพิ่มความเสี่ยงที่จะเจอของปลอมหรืออุปกรณ์ที่ถูกดัดแปลง ผู้ซื้อต้องระมัดระวังและซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น