Ethereum (อีเธอเรียม) ไม่ได้เป็นเพียงสกุลเงินดิจิทัล แต่เป็นแพลตฟอร์มแบบเปิด (Open-source) ที่ทำงานอยู่บนเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งเปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถสร้างและใช้งานแอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ (dApps) ผ่านสิ่งที่เรียกว่า "สัญญาอัจฉริยะ" (Smart Contracts) สกุลเงินที่ใช้ในเครือข่ายนี้มีชื่อว่า Ether (ETH) ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดสูงเป็นอันดับสองรองจาก Bitcoin
(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=9305;image)
Ethereum คืออะไร?
Ethereum (อีเธอเรียม) คือ แพลตฟอร์มดิจิทัลแบบเปิดที่ทำงานบนเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) สิ่งที่ทำให้ Ethereum พิเศษและแตกต่างจากสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ คือ มันไม่ได้เป็นแค่ "เงิน" แต่เป็นเหมือน "คอมพิวเตอร์ของโลก" ที่ใครก็สามารถเข้ามาสร้างและใช้งานโปรแกรมได้
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ลองนึกภาพตามนี้:
• Ethereum คือ ระบบปฏิบัติการ (เหมือน Windows หรือ iOS): แต่เป็นระบบปฏิบัติการที่ทำงานอยู่บนคอมพิวเตอร์นับพันนับหมื่นเครื่องทั่วโลกพร้อมๆ กัน จึงไม่มีใครคนใดคนหนึ่งเป็นเจ้าของหรือควบคุมได้ทั้งหมด
• Ether (ETH) คือ สกุลเงินของระบบ: เป็นเหมือน "น้ำมัน" หรือค่าธรรมเนียม (เรียกว่า Gas) ที่ต้องใช้เพื่อเปิดใช้งานโปรแกรมหรือทำธุรกรรมต่างๆ บนแพลตฟอร์ม Ethereum
ความหมายสำคัญของ Ethereum
ความหมายของ Ethereum อยู่ที่ความสามารถในการสร้างสิ่งที่เรียกว่า "สัญญาอัจฉริยะ" (Smart Contracts)
สัญญาอัจฉริยะ คืออะไร? มันคือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกเขียนขึ้นให้ทำงานตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้โดยอัตโนมัติ เมื่อเงื่อนไขครบ สัญญาจะดำเนินการทันทีโดยไม่ต้องผ่านคนกลาง เช่น
• สัญญาเช่าบ้านอัจฉริยะ: "ถ้าผู้เช่าจ่ายเงินครบในวันที่ 1 ของเดือน รหัสเข้าประตูจะถูกส่งไปที่มือถือผู้เช่าโดยอัตโนมัติ"
• การระดมทุนอัจฉริยะ: "ถ้าโครงการระดมทุนได้ครบ 1 ล้านบาทภายใน 30 วัน เงินจะถูกโอนให้เจ้าของโครงการ แต่ถ้าไม่ครบ เงินจะถูกโอนคืนให้ผู้ร่วมลงทุนทุกคนโดยอัตโนมัติ"
ทำไม Ethereum ถึงเป็นมากกว่าแค่สกุลเงินดิจิทัล
(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=9307;image)
เพราะ Ethereum ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อเป็นแค่ "เงินดิจิทัล" แต่ถูกสร้างมาเป็น "แพลตฟอร์ม" ที่สามารถรันโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้
หัวใจสำคัญที่ทำให้มันเป็นมากกว่าเงินคือ "สัญญาอัจฉริยะ" (Smart Contracts) ซึ่งก็คือโปรแกรมที่ทำงานได้เองโดยอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง"
ด้วยความสามารถนี้ Ethereum จึงกลายเป็นรากฐานในการสร้างสิ่งต่างๆ ที่สกุลเงินดิจิทัลทั่วไปทำไม่ได้ เช่น:
• ระบบการเงินแบบไร้ตัวกลาง (DeFi): สร้างบริการกู้ยืม, แลกเปลี่ยนสินทรัพย์ โดยไม่ต้องผ่านธนาคาร
• สินทรัพย์ดิจิทัลที่พิสูจน์ความเป็นเจ้าของได้ (NFTs): ใช้แสดงความเป็นเจ้าของผลงานศิลปะ, ไอเท็มในเกม, หรือของสะสม
• องค์กรอัตโนมัติ (DAOs): สร้างองค์กรที่บริหารจัดการร่วมกันผ่านการโหวตตามกฎที่โปร่งใส
ดั่งนั้น Bitcoin คือสมุดบัญชีดิจิทัล ที่ใช้บันทึกการโอนเงิน แต่ Ethereum คือคอมพิวเตอร์ของโลก ที่ใช้รันโปรแกรมและสร้างแอปพลิเคชันได้หลากหลายรูปแบบ
Ethereum น่าลงทุนในระยะยาวมากกว่า Bitcoin ไหม?
ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของนักลงทุน
• ถ้าต้องการความเสี่ยงต่ำและความน่าเชื่อถือสูง: ให้เลือกลงทุนใน Bitcoin เพราะเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับและเชื่อถือมากที่สุดในตลาด
• ถ้าเข้าใจเทคโนโลยีและรับความเสี่ยงเพื่อโอกาสเติบโตที่สูงกว่า: ให้เลือกลงทุนใน Ethereum เพราะมูลค่าของมันถูกขับเคลื่อนด้วยความต้องการใช้งานจริง (อุปสงค์) ที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับปริมาณเหรียญในตลาดที่ลดน้อยลง ซึ่งมีแนวโน้มผลักดันให้ราคาสูงขึ้นไปได้อีกไกล
ทำไม Ethereum จึงจะมีอนาคตมากกว่า Bitcoin
อนาคตของ Ethereum ถูกมองว่าอาจไปได้ไกลกว่า เพราะมันเป็นมากกว่าแค่สกุลเงิน
• Bitcoin เปรียบเสมือน "ทองคำดิจิทัล" ที่มูลค่ามาจากความน่าเชื่อถือและมีจำกัด
• Ethereum เปรียบเสมือน "อินเทอร์เน็ตแห่งอนาคต" ที่มูลค่ามาจาก ประโยชน์ใช้สอยจริง ผ่านการสร้างแอปพลิเคชัน, ระบบการเงิน (DeFi), และ NFTs ซึ่งสร้างความต้องการใช้เหรียญ ETH อย่างต่อเนื่องและไม่มีที่สิ้นสุด
• พูดง่ายๆ คือ Bitcoin ถูกเก็บ แต่ Ethereum ถูกใช้ ยิ่งถูกใช้งานมาก มูลค่าในอนาคตก็ยิ่งมีโอกาสเติบโตสูง