ในยุคที่การทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชันธนาคารและการสแกน QR Code กลายเป็นเรื่องปกติ เราอาจคิดว่าเงินของเราได้กลายเป็นดิจิทัลไปแล้ว แต่ในความเป็นจริง เงินในบัญชีธนาคารเป็นเพียง "บันทึกทางบัญชี" ของธนาคารพาณิชย์เท่านั้น ยังไม่ใช่ "เงินสด" ในรูปแบบดิจิทัลที่แท้จริง นี่คือจุดที่แนวคิด CBDC (Central Bank Digital Currency) เข้ามามีบทบาทสำคัญในฐานะวิวัฒนาการขั้นต่อไปของเงินตรา ที่อาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระบบการเงินทั่วโลกไปอย่างสิ้นเชิง
(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=9395;image)
CBDC คืออะไร? (เจาะลึกความหมาย)
CBDC หรือ Central Bank Digital Currency คือ สกุลเงินประจำชาติในรูปแบบดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางของประเทศนั้นๆ โดยตรง มีสถานะเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (Legal Tender) เช่นเดียวกับธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ที่เราใช้กันในปัจจุบัน
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ลองนึกภาพ "เงินบาทดิจิทัล" ที่สร้างและรับรองโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยตรง เงินนี้จะอยู่ในกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) ของเรา และมีมูลค่าเท่ากับเงินบาทปกติทุกประการ (1 CBDC = 1 บาท)
ข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุด คือ เงินในบัญชีธนาคารที่เราใช้ทุกวันนี้เป็น "หนี้สิน" ของธนาคารพาณิชย์ที่มีต่อเรา แต่ CBDC คือ "หนี้สิน" ของธนาคารกลางที่มีต่อเราโดยตรง ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำที่สุด เปรียบได้กับการที่เราถือธนบัตรไว้ในมือ เพียงแต่อยู่ในรูปแบบดิจิทัลเท่านั้น
เทคโนโลยีเบื้องหลังการพัฒนา CBDC ส่วนใหญ่มักใช้เทคโนโลยีการประมวลผลแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology: DLT) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับบล็อกเชน (Blockchain) เพื่อสร้างความปลอดภัย โปร่งใส และมีประสิทธิภาพในการทำธุรกรรม
CBDC ไม่ใช่เรื่องใหม่: ทำความรู้จัก Wholesale และ Retail CBDC
จริงๆ แล้ว แนวคิดเรื่องเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางมีมานานแล้ว แต่จำกัดการใช้งานในวงแคบๆ เราจึงสามารถแบ่ง CBDC ออกได้เป็น 2 ประเภทหลักตามกลุ่มผู้ใช้งาน ดังนี้
Wholesale CBDC (CBDC สำหรับสถาบันการเงิน):
o เป็น CBDC ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในกลุ่มสถาบันการเงินขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารพาณิชย์ หรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ
o เป้าหมายหลัก: เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และลดความเสี่ยงในการทำธุรกรรมระหว่างธนาคารที่มีมูลค่าสูง เช่น การโอนเงิน หรือการซื้อขายพันธบัตร
o นี่คือรูปแบบของ CBDC ที่มีอยู่แล้วในทางปฏิบัติหรือในการทดลองระดับสูงในหลายประเทศ รวมถึง "โครงการอินทนนท์" ของประเทศไทย
Retail CBDC (CBDC สำหรับประชาชน):
o เป็น CBDC ที่ออกแบบมาให้ประชาชนและภาคธุรกิจทั่วไปสามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน เหมือนกับการใช้เงินสด
o เป้าหมายหลัก: เป็นทางเลือกในการชำระเงิน เพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงิน และเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินยุคใหม่สำหรับทุกคน
o นี่คือรูปแบบที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจและจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะจะส่งผลกระทบต่อผู้คนในวงกว้าง
ทำไมทั่วโลกถึงตื่นตัวกับ CBDC? (เป้าหมายและแรงผลักดัน)
(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=9397;image)
การที่ธนาคารกลางทั่วโลกหันมาศึกษาและพัฒนา CBDC อย่างจริงจัง มีแรงผลักดันสำคัญหลายประการ ได้แก่:
• เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน: ลดต้นทุนมหาศาลในการพิมพ์ จัดเก็บ และขนส่งธนบัตรและเหรียญ อีกทั้งยังทำให้การชำระเงินรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
• รองรับสังคมไร้เงินสด (Cashless Society): ในประเทศที่การใช้เงินสดลดลงอย่างรวดเร็ว เช่น จีนและสวีเดน การมีเงินดิจิทัลที่ออกโดยรัฐจะช่วยให้ประชาชนมีทางเลือกในการชำระเงินที่ไม่ต้องพึ่งพาผู้ให้บริการเอกชนเพียงอย่างเดียว
• ดำเนินนโยบายการเงินที่ตรงจุด: รัฐบาลสามารถส่งเงินช่วยเหลือหรือเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ (เช่น นโยบายแจกเงิน) ไปยังประชาชนได้โดยตรง รวดเร็ว และลดปัญหาการทุจริต ในทางทฤษฎี ยังสามารถใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในภาวะเศรษฐกิจวิกฤต
• เพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion): ผู้ที่ไม่มีบัญชีธนาคารอาจสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินพื้นฐานได้ง่ายขึ้นผ่าน Wallet ของ CBDC
• ลดความเสี่ยงเชิงระบบ: การเกิดขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลเอกชน (เช่น Stablecoin) ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก อาจท้าทายเสถียรภาพทางการเงินและอำนาจอธิปไตยทางการเงินของรัฐ CBDC จึงเป็นเหมือนเครื่องมือที่รัฐใช้เพื่อรักษาสมดุลในระบบ
CBDC แตกต่างจากคริปโทฯ และ Stablecoin อย่างไร?
หลายคนอาจสับสนระหว่าง CBDC, สกุลเงินคริปโท (Cryptocurrency) และ Stablecoin ซึ่งทั้งสามอย่างนี้มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังตารางเปรียบเทียบ
(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=9399;image)
Libra (ปัจจุบันคือ Diem และได้ยุติโครงการไปแล้ว) ไม่ใช่ CBDC เพราะเป็นโครงการที่ริเริ่มโดยบริษัทเอกชน (Facebook) และมีลักษณะเป็น Stablecoin ที่ผูกมูลค่าไว้กับตะกร้าสกุลเงินและสินทรัพย์ต่างๆ
ภาพรวมการพัฒนา CBDC ทั่วโลก
ปัจจุบัน ประเทศต่างๆ ทั่วโลกมีความคืบหน้าในการพัฒนา CBDC แตกต่างกันไป:
• จีน (e-CNY): เป็นผู้นำที่ชัดเจนที่สุด มีการทดลองใช้ "หยวนดิจิทัล" ในวงกว้างกับประชาชนในหลายเมืองแล้ว
• สวีเดน (e-Krona): อยู่ในขั้นตอนการทดสอบและวิจัยขั้นสูง เนื่องจากเป็นหนึ่งในสังคมไร้เงินสดมากที่สุดในโลก
• สหภาพยุโรป (Digital Euro): อยู่ใน "ช่วงเตรียมการ" (Preparation Phase) โดยกำลังศึกษารูปแบบ ออกแบบ และผลกระทบ ก่อนตัดสินใจว่าจะดำเนินการสร้างหรือไม่
• สหรัฐอเมริกา (Digital Dollar): ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและอภิปราย ยังไม่มีการตัดสินใจที่ชัดเจนว่าจะพัฒนาหรือไม่ เนื่องจากมีความกังวลต่อบทบาทของเงินดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรองของโลก
• ไทย (Retail CBDC): ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการทดสอบ Retail CBDC ในวงจำกัดร่วมกับสถาบันการเงินและผู้ใช้งานจริง เพื่อศึกษาความเป็นไปได้และผลกระทบในบริบทของประเทศไทย
โอกาสและความท้าทาย: ผลกระทบของ CBDC ที่ต้องจับตา
การมาถึงของ CBDC เปรียบเสมือนเหรียญสองด้านที่มีทั้งโอกาสและความท้าทายครั้งใหญ่
ข้อดีและโอกาส:
• ระบบการชำระเงินที่รวดเร็วและต้นทุนต่ำ ตลอด 24 ชั่วโมง
• เกิดนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ที่ต่อยอดบนโครงสร้างพื้นฐานของ CBDC
• รัฐบาลดำเนินนโยบายการคลังและการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตรงเป้าหมาย
• ลดปัญหาการฟอกเงินและอาชญากรรมทางการเงิน ผ่านการติดตามธุรกรรมที่โปร่งใส
ข้อควรระวังและความท้าทาย:
• ความเป็นส่วนตัว (Privacy): ข้อมูลการใช้จ่ายทั้งหมดอาจถูกรวบรวมโดยรัฐ ซึ่งสร้างความกังวลเรื่องการสอดส่องดูแลและการนำข้อมูลไปใช้
• ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity): ระบบ CBDC แบบรวมศูนย์อาจกลายเป็นเป้าหมายขนาดใหญ่ของการโจมตีทางไซเบอร์
• ผลกระทบต่อบทบาทของธนาคารพาณิชย์: หากประชาชนสามารถฝากเงินโดยตรงกับธนาคารกลางได้ อาจทำให้คนแห่ถอนเงินออกจากธนาคารพาณิชย์ (Bank Run) และกระทบต่อเสถียรภาพของระบบธนาคาร
• ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (Digital Divide): กลุ่มคนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนหรือเข้าไม่ถึงอินเทอร์เน็ตอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
สรุป: ก้าวต่อไปของโลกการเงิน
CBDC ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นวิวัฒนาการที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของเงินในยุคดิจิทัล มันคือความพยายามของภาครัฐในการปรับตัวและสร้างระบบการเงินที่ดีขึ้นให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้คน
แม้ว่าปัจจุบันจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาและยังมีคำถามสำคัญอีกมากที่ต้องหาคำตอบ โดยเฉพาะสมดุลระหว่าง "ประสิทธิภาพ" และ "ความเป็นส่วนตัว" แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ CBDC จะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่สำคัญที่สุดที่จะกำหนดทิศทางของโลกการเงินในทศวรรษหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย