ThailandTraderClub.com

Crypto Trading and Defi => พื้นฐาน Crypto => หัวข้อที่ตั้งโดย: Support-3 เมื่อ พฤศจิกายน 03, 2025, 02:02:49 หลังเที่ยง

ชื่อ: Crypto in Emerging Markets บทบาทของคริปโตในประเทศกำลังพัฒนา
โดย: Support-3 เมื่อ พฤศจิกายน 03, 2025, 02:02:49 หลังเที่ยง
บทบาทของคริปโตในประเทศกำลังพัฒนา

(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=9762;image)

ในขณะที่พาดหัวข่าวในโลกตะวันตกมักมุ่งเน้นไปที่ความผันผวนของราคา Bitcoin หรือการเก็งกำไรใน "Meme coin" แต่ในอีกฟากหนึ่งของโลก ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (Emerging Markets) คริปโตเคอร์เรนซีและเทคโนโลยีบล็อกเชนกำลังถูกนำมาใช้งานในฐานะเครื่องมือที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต

"Crypto in Emerging Markets" คือ ปรากฏการณ์ที่เทคโนโลยีการเงินแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Finance) ถูกนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาที่หยั่งรากลึกในโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น ลาตินอเมริกา, แอฟริกา, หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดคือ
ประเทศที่พัฒนาแล้ว (Developed Markets) มองคริปโตเป็น "สินทรัพย์เพื่อการลงทุนเก็งกำไร" (A Speculative Asset) หรือ "นวัตกรรมทางเทคโนโลยี"
ประเทศกำลังพัฒนา (Emerging Markets) มองคริปโตเป็น "เครื่องมืออรรถประโยชน์ในชีวิตจริง" (A Real-world Utility) และในหลายกรณี คือ "ทางรอด" จากระบบการเงินที่ล้มเหลว

บทความนี้จะเจาะลึกถึงบทบาทและการใช้งานจริงของคริปโตในบริบทของตลาดเกิดใหม่ ที่ซึ่งความจำเป็นได้เร่งให้เกิดการยอมรับเทคโนโลยีนี้อย่างรวดเร็ว

(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=9760;image)

1. การเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion)
ปัญหาใหญ่ที่สุดประการหนึ่งในประเทศกำลังพัฒนา คือ ประชากรกลุ่มใหญ่ที่อยู่นอกระบบธนาคาร (Unbanked) หรือเข้าถึงบริการได้ไม่เต็มที่ (Underbanked) คริปโตกำลังเข้ามาทลายกำแพงนี้
       - การเข้าถึงประชากรกลุ่ม "Unbanked" ประชากรหลายพันล้านคนทั่วโลกยังไม่มีบัญชีธนาคาร สาเหตุหลักมักเกิดจากการขาดเอกสารยืนยันตัวตน, การอาศัยอยู่ห่างไกลจากสาขาธนาคาร, หรือไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดเรื่องเงินฝากขั้นต่ำได้
       - สมาร์ทโฟนคือธนาคารแห่งใหม่ ในขณะที่พวกเขาไม่มีบัญชีธนาคาร แต่ประชากรกลุ่มนี้จำนวนมากมีสมาร์ทโฟนและเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ คริปโตอนุญาตให้ใครก็ได้สามารถสร้าง "กระเป๋าเงินดิจิทัล" (Digital Wallet) ได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องขออนุญาตจากใคร (Permissionless)
       - การเป็น "ธนาคาร" ของตนเอง (Self-custody) ในประเทศที่ความเชื่อมั่นต่อสถาบันการเงินหรือรัฐบาลอยู่ในระดับต่ำ (เนื่องจากความไม่มั่นคงทางการเมืองหรือความเสี่ยงที่ธนาคารจะล้ม) การที่ผู้ใช้สามารถควบคุมสินทรัพย์ของตนเองได้อย่างสมบูรณ์ 100% ถือเป็นความมั่นคงรูปแบบใหม่
       - ประตูสู่ DeFi (Decentralized Finance) นี่คือขั้นกว่าของการเข้าถึงบริการทางการเงิน คริปโตไม่เพียงแต่ให้ผู้ใช้ "เก็บ" เงินได้ แต่ยังเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าถึงบริการที่ซับซ้อนขึ้น เช่น
             ○   การสร้างผลตอบแทน (Yield) การฝาก Stablecoins (สกุลเงินดิจิทัลที่ตรึงกับดอลลาร์) ไว้ในแพลตฟอร์ม DeFi เพื่อรับดอกเบี้ย ซึ่งมักให้ผลตอบแทนสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารท้องถิ่นที่ถูกเงินเฟ้อกัดกิน
             ○   การกู้ยืม (Lending/Borrowing) สามารถใช้คริปโตเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพื่อกู้ยืมเงินได้ทันที โดยไม่ต้องมีประวัติเครดิต (Credit Score) หรือผ่านกระบวนการอนุมัติที่ยาวนาน

2. การโอนเงินข้ามประเทศ (Remittances)
สำหรับประเทศอย่างฟิลิปปินส์, เม็กซิโก, หรือไนจีเรีย รายได้จากการโอนเงินของแรงงานในต่างแดน (Remittances) ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจในประเทศ คริปโตกำลังเข้ามาปฏิวัติตลาดนี้อย่างสิ้นเชิง
ปัญหาของระบบดั้งเดิม
       - ค่าธรรมเนียมมหาศาล การโอนเงินผ่านตัวกลางแบบดั้งเดิม (เช่น Western Union หรือการโอนผ่านธนาคาร SWIFT) มีค่าธรรมเนียมเฉลี่ยทั่วโลกที่สูงมาก โดยเฉพาะใน "คู่โอน" (Remittance Corridors) ที่มีการแข่งขันน้อย ค่าธรรมเนียมอาจสูงถึง 10% - 15%
       - ความล่าช้า: การโอนเงินแบบดั้งเดิมใช้เวลาหลายวันทำการ (T+3 ถึง T+5) เพราะต้องผ่านระบบธนาคารตัวกลางหลายทอด
คริปโตคือทางออก
       - Stablecoins คือตัวเปลี่ยนเกม แรงงานในต่างแดนสามารถซื้อ Stablecoins (เช่น USDT, USDC) และโอนผ่านเครือข่ายบล็อกเชน (เช่น Solana, TRON, หรือ Layer 2s) ไปยังกระเป๋าเงินของครอบครัวได้เกือบจะทันที
       - ค่าธรรมเนียมต่ำและโปร่งใส ค่าธรรมเนียมการโอนบนบล็อกเชน (Gas Fee) มักจะต่ำกว่ามาก (อาจเหลือไม่ถึง 1 ดอลลาร์) และสามารถคาดเดาได้
       - ทำงาน 24/7 ไม่มีวันหยุด บล็อกเชนไม่มีวันหยุดทำการเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ ทำให้สามารถโอนเงินในยามฉุกเฉินได้ตลอดเวลา
       - ข้ามข้อจำกัดค่าเงิน ลดขั้นตอนการแลกเปลี่ยนสกุลเงินที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายแอบแฝง ผู้รับสามารถเลือกได้ว่าจะถือเป็น Stablecoin (ดอลลาร์ดิจิทัล) หรือแลกเป็นเงินท้องถิ่นเมื่อจำเป็น

3. เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Hedge Against Inflation)
นี่คือหนึ่งในกรณีการใช้งาน (Use Case) ที่ชัดเจนและเร่งด่วนที่สุดในประเทศที่ประสบปัญหาสภาวะเศรษฐกิจมหภาค
       - วิกฤตค่าเงิน (Currency Crisis) ประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่ง (เช่น อาร์เจนตินา, ตุรกี, เลบานอน, ไนจีเรีย, เวเนซุเอลา) เผชิญกับภาวะเงินเฟ้อรุนแรง (Hyperinflation) ที่ทำให้มูลค่าของสกุลเงินท้องถิ่นลดลงอย่างรวดเร็ว บางครั้งลดลงเป็นตัวเลขสองหลักภายในเดือนเดียว
       - การสูญเสียความมั่งคั่ง การออมเงินที่หามาได้อย่างยากลำบากในสกุลเงินท้องถิ่น เท่ากับการสูญเสียกำลังซื้อทุกวันที่ผ่านไป
       - คริปโตในฐานะ "เรือชูชีพ" (Life Raft)
             ○    Stablecoins (การทำ "Digital Dollarization") สำหรับคนทั่วไปที่ต้องการความมั่นคง Stablecoins คือเครื่องมือสำคัญที่สุด พวกเขาใช้มันเป็น "ดอลลาร์ดิจิทัล" เพื่อ "หนี" ออกจากสกุลเงินท้องถิ่นที่ไร้เสถียรภาพ นี่คือการเข้าถึงดอลลาร์สหรัฐโดยไม่ต้องมีบัญชีธนาคารในสหรัฐฯ
             ○    Bitcoin (BTC) สำหรับผู้ที่มองการณ์ไกลและต้องการสินทรัพย์ที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลใดเลย Bitcoin ถูกมองว่าเป็น "ทองคำดิจิทัล" (Digital Gold) ที่มีอุปทานจำกัด (21 ล้านเหรียญ) และเป็นสินทรัพย์ "Hard Money" ที่แท้จริง
       - การ "Opt-out" จากระบบและการควบคุมเงินทุน (Capital Controls) ในหลายประเทศ รัฐบาลจะจำกัดจำนวนเงินตราต่างประเทศ (เช่น USD) ที่ประชาชนสามารถซื้อหรือถือครองได้ คริปโต (โดยเฉพาะการซื้อขายแบบ P2P) ได้มอบทางเลือกให้ประชาชนในการ "ออกจาก" (Opt-out) ระบบที่ล้มเหลวและปกป้องความมั่งคั่งของตนเอง

4. การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและโมเดลธุรกิจใหม่
ในตลาดที่การจ้างงานแบบดั้งเดิมมีจำกัดหรือค่าแรงต่ำ คริปโตได้สร้างช่องทางใหม่ในการสร้างรายได้ที่เชื่อมต่อกับเศรษฐกิจโลกโดยตรง
       - Play-to-Earn (P2E) โมเดลเกมที่ผู้เล่นสามารถสร้างรายได้จริงกลายเป็นปรากฏการณ์สำคัญ โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของ COVID-19
            ○    กรณีศึกษา (Axie Infinity) ในฟิลิปปินส์และเวียดนาม รายได้จากการเล่นเกมนี้สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำในประเทศ กลายเป็นแหล่งรายได้หลักให้กับหลายครอบครัวที่สูญเสียการจ้างงาน
       - เศรษฐกิจของผู้สร้างสรรค์ (Creator Economy) และ NFTs ศิลปิน, นักดนตรี, และนักสร้างสรรค์ในประเทศกำลังพัฒนา สามารถเข้าถึงตลาดโลกได้โดยตรง
            ○    พวกเขาสามารถขายผลงานศิลปะในรูปแบบ NFTs และรับเงินเป็นคริปโต (เช่น ETH, SOL) ซึ่งมักจะมีเสถียรภาพมากกว่าสกุลเงินท้องถิ่น โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางหรือแกลเลอรีที่ซับซ้อน
       - การระดมทุน (Fundraising) รูปแบบใหม่ สตาร์ทอัพและโครงการในท้องถิ่นที่ยากจะเข้าถึงแหล่งเงินทุน VC (Venture Capital) แบบดั้งเดิม สามารถระดมทุนจากทั่วโลกผ่าน Initial Coin Offerings (ICOs), Initial DEX Offerings (IDOs) หรือการระดมทุนผ่านชุมชน (DAOs)

5. การเสริมศักยภาพธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs)
ธุรกิจขนาดเล็กคือกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนา แต่พวกเขามักเผชิญอุปสรรคในการค้าขายระหว่างประเทศและการเข้าถึงแหล่งทุน
       - การรับชำระเงินข้ามพรมแดน: SMEs สามารถรับการชำระเงินจากลูกค้าทั่วโลกเป็นคริปโตหรือ Stablecoins ได้ทันที ช่วยลดค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต (ที่สูงถึง 3-5%) และขจัดปัญหาการปฏิเสธการชำระเงิน
       - การเข้าถึงแหล่งเงินทุน (Access to Capital) ธุรกิจสามารถใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นหลักประกันในการกู้ยืมจากแพลตฟอร์ม DeFi ทั่วโลกได้ โดยไม่ต้องเผชิญกับระบบสินเชื่อของธนาคารท้องถิ่นที่อาจมีความลำเอียงหรือใช้เวลานาน
       - ความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เทคโนโลยีบล็อกเชนสามารถใช้เพื่อติดตามแหล่งที่มาของสินค้าได้ เช่น เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในเคนยาสามารถพิสูจน์ได้ว่ากาแฟของตนเป็น "Fair Trade" จริง ทำให้สามารถขายสินค้าได้ในราคาพรีเมียมในตลาดโลก

ความท้าทายและความเสี่ยงที่สำคัญ
แม้จะมีประโยชน์มหาศาล แต่การนำคริปโตมาใช้ในประเทศกำลังพัฒนาก็เต็มไปด้วยความเสี่ยงที่รุนแรงยิ่งกว่าในประเทศที่พัฒนาแล้ว
●    ความผันผวนของราคา (Volatility) ราคาของคริปโต (ที่ไม่ใช่ Stablecoins) มีความผันผวนสูงมาก ร้านค้าที่รับชำระเป็น Bitcoin อาจเห็นมูลค่าลดลง 10% ภายในหนึ่งวัน การลงทุนที่ผิดพลาดอาจนำไปสู่การสูญเสียเงินออมทั้งหมด
●    ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ (Regulatory Uncertainty) รัฐบาลหลายประเทศยังคงสับสนว่าจะจัดการกับคริปโตอย่างไร
            ○    บางประเทศอาจสั่งแบนทันที (เช่น จีน)
            ○    บางประเทศอาจยอมรับอย่างเต็มที่ (เช่น เอลซัลวาดอร์)
            ○    หลายประเทศยังอยู่ใน "พื้นที่สีเทา" ทางกฎหมาย ซึ่งสร้างความเสี่ยงต่อนักลงทุนและธุรกิจ
●    การหลอกลวงและการฉ้อโกง (Scams and Frauds)
            ○    ระดับความรู้ด้านการเงินและดิจิทัล (Financial & Digital Literacy) ที่ยังไม่สูงนัก
            ○    ความสิ้นหวังจากภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ผู้คนตกเป็นเป้าหมายของการหลอกลวง (เช่น Ponzi Schemes, Rug Pulls) ที่สัญญาผลตอบแทนสูงเกินจริงได้ง่าย
●    อุปสรรคด้านความซับซ้อนและโครงสร้างพื้นฐาน
            ○    User Experience (UX/UI) การใช้งานกระเป๋าเงินแบบ Self-custody, การจัดการ Private Keys, หรือการทำความเข้าใจเรื่อง Gas Fees ยังคงซับซ้อนเกินไปสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
            ○    โครงสร้างพื้นฐาน การใช้งานคริปโตจำเป็นต้องพึ่งพาการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เสถียรและราคาไม่แพง ซึ่งยังคงเป็นข้อจำกัดในพื้นที่ชนบทห่างไกล
●    การใช้งานในทางที่ผิด คริปโตอาจถูกใช้เป็นช่องทางในการฟอกเงิน (Money Laundering) หรือการหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร หากไม่มีการกำกับดูแลที่เหมาะสม

บทสรุป (Conclusion)
ในประเทศกำลังพัฒนา คริปโตเคอร์เรนซีได้ก้าวข้ามบทบาทของการเป็น "สินทรัพย์เก็งกำไร" ไปสู่การเป็น "เครื่องมือแห่งความจำเป็น" (Tool of Necessity) ที่ช่วยแก้ปัญหาที่หยั่งรากลึกในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการขาดการเข้าถึงบริการทางการเงิน, ค่าธรรมเนียมการโอนเงินที่ขูดรีด, หรือวิกฤตเงินเฟ้อที่ทำลายความมั่งคั่ง
คริปโตกำลังมอบอำนาจ (Empowerment) และทางเลือกใหม่ให้กับบุคคลที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยระบบการเงินแบบดั้งเดิม
อย่างไรก็ตาม การเดินทางนี้เปรียบเสมือน "ดาบสองคม" ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด, ความซับซ้อนทางเทคโนโลยี, และการขาดกฎระเบียบที่ชัดเจน อนาคตของคริปโตในตลาดเกิดใหม่จึงขึ้นอยู่กับความสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรม และการสร้างเกราะป้องกันที่สำคัญที่สุด นั่นคือ "การให้ความรู้" (Education) ทั้งด้านการเงินและดิจิทัลแก่ประชาชน เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ทำลายศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่มันมีให้