ThailandTraderClub.com

Crypto Trading and Defi => พื้นฐาน Defi => หัวข้อที่ตั้งโดย: Support-3 เมื่อ พฤศจิกายน 14, 2025, 01:40:48 หลังเที่ยง

ชื่อ: Collateralized Debt Positions (CDP) การกู้ยืมด้วยหลักประกันใน DeFi
โดย: Support-3 เมื่อ พฤศจิกายน 14, 2025, 01:40:48 หลังเที่ยง
การกู้ยืมด้วยหลักประกันใน DeFi

(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=9907;image)

Collateralized Debt Position (CDP) หรือ "สถานะหนี้สินที่มีหลักประกัน" คือ กลไกทางการเงินที่เป็นหัวใจสำคัญของระบบการเงินแบบกระจายอำนาจ (Decentralized Finance หรือ DeFi) โดย CDP ทำหน้าที่เหมือน "ตู้เซฟอัจฉริยะ" หรือสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานสามารถนำสินทรัพย์ดิจิทัล (Cryptocurrency) ของตนมา "ล็อก" ไว้เป็นหลักประกัน เพื่อกู้ยืมสินทรัพย์อื่นออกมาใช้งาน โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นการกู้ยืมเหรียญ Stablecoin (เหรียญที่มีมูลค่าคงที่)

แนวคิดนี้เปรียบได้กับการนำทองคำไปจำนำที่โรงรับจำนำเพื่อแลกเงินสดออกมาใช้ แต่ CDP ทำงานบนบล็อกเชน ทำให้กระบวนการทั้งหมดเป็นไปโดยอัตโนมัติ โปร่งใส และไม่ต้องอาศัยตัวกลางอย่างธนาคารหรือสถาบันการเงิน

องค์ประกอบสำคัญของ CDP
เพื่อให้เข้าใจการทำงานของ CDP อย่างถ่องแท้ เราจำเป็นต้องรู้จักคำศัพท์และองค์ประกอบหลักๆ ดังนี้:
Collateral (หลักประกัน)
○    คือ สินทรัพย์ดิจิทัลที่ผู้ใช้ "ฝาก" หรือ "ล็อก" ไว้ใน Smart Contract เพื่อเป็นประกันการกู้ยืม
○    โดยทั่วไปมักเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง (Volatile Assets) เช่น Ethereum (ETH), Wrapped Bitcoin (WBTC) หรือโทเค็นอื่นๆ
○    มูลค่าของหลักประกันนี้จะต้อง สูงกว่า มูลค่าของหนี้สินที่กู้ยืมออกไปเสมอ ซึ่งเรียกว่า Over-collateralization (การค้ำประกันเกินมูลค่า)

Debt (หนี้สิน)

○    คือ สินทรัพย์ที่ผู้ใช้ "กู้ยืม" หรือ "สร้าง" (Mint) ออกมาจาก CDP
○    ในแพลตฟอร์ม DeFi ส่วนใหญ่ หนี้สินมักจะเป็น Stablecoin ที่ผูกมูลค่ากับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เช่น DAI (ของ MakerDAO), LUSD (ของ Liquity) หรือ GHO (ของ Aave)
○    การกู้ยืม Stablecoin ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับสภาพคล่อง (เงินสดดิจิทัล) โดยไม่ต้องขายหลักประกันของตนเองทิ้งไป

Collateralization Ratio (C-Ratio) (อัตราส่วนการค้ำประกัน)
○    นี่คือตัวชี้วัดที่ สำคัญที่สุด ของ CDP
○    คำนวณจาก: (มูลค่าของหลักประกัน $/ มูลค่าของหนี้สิน$) x 100%
○    ตัวอย่าง: หากคุณฝาก ETH มูลค่า $1,500 เพื่อกู้ DAI ออกมา $1,000 C-Ratio ของคุณคือ ($1,500 / $1,000) * 100% = 150%
○    ทุกแพลตฟอร์มจะกำหนด Minimum Collateralization Ratio (อัตราส่วนค้ำประกันขั้นต่ำ) เอาไว้ (เช่น 150%, 125%, หรือ 110% แล้วแต่ระบบ)
○    ผู้ใช้ ต้อง รักษาระดับ C-Ratio ของตนให้สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำนี้เสมอ เพื่อป้องกันการถูกบังคับชำระบัญชี

Liquidation (การบังคับชำระบัญชี)
○    คือ "ฝันร้าย" ของผู้ใช้ CDP
○    เกิดขึ้นเมื่อมูลค่าของหลักประกันลดลง (เช่น ราคา ETH ร่วง) จนทำให้ C-Ratio ของผู้ใช้ตกลงมา ต่ำกว่า เกณฑ์ขั้นต่ำที่ระบบกำหนด
○    เมื่อเกิด Liquidation ระบบ Smart Contract จะเข้ายึดหลักประกัน (ETH) ของคุณโดยอัตโนมัติ
○    ระบบจะนำหลักประกันนั้นไปขายในตลาดเพื่อชำระหนี้ (DAI) ที่คุณกู้ไป
○    ผู้ใช้มักจะต้องจ่าย Liquidation Penalty (ค่าปรับ) เพิ่มเติมด้วย ทำให้สูญเสียหลักประกันไปมากกว่ามูลค่าหนี้สินจริง

Stability Fee / Interest Rate (ค่าธรรมเนียมเสถียรภาพ หรือ ดอกเบี้ย)
○    คือ "ดอกเบี้ย" ที่ผู้กู้ยืมต้องจ่ายสำหรับหนี้สินที่ตนเองสร้างขึ้น
○    อัตราดอกเบี้ยนี้มักจะผันแปรไปตามอุปสงค์และอุปทานของ Stablecoin นั้นๆ เพื่อช่วยรักษามูลค่าของ Stablecoin ให้คงที่ (Peg) อยู่ที่ $1

กลไกการทำงานของ CDP (ทีละขั้นตอน)

(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=9905;image)

กระบวนการใช้ CDP สามารถสรุปเป็นขั้นตอนง่ายๆ ได้ดังนี้:
1.    การเปิด CDP (Open Vault/Trove)
○    ผู้ใช้เชื่อมต่อกระเป๋าเงินดิจิทัล (เช่น MetaMask) เข้ากับแพลตฟอร์ม DeFi (เช่น MakerDAO, Liquity)
○    ผู้ใช้เลือกประเภทสินทรัพย์ที่จะใช้เป็นหลักประกัน (เช่น ETH)
○    ผู้ใช้ "ฝาก" (Deposit) หลักประกันจำนวนหนึ่งเข้าไปใน Smart Contract
2.    การกู้ยืม (Borrow/Mint Debt)
○    ผู้ใช้ระบุจำนวน Stablecoin ที่ต้องการกู้ยืม (เช่น DAI)
○    ระบบจะตรวจสอบทันทีว่าการกู้ยืมนี้ทำให้ C-Ratio อยู่เหนือเกณฑ์ขั้นต่ำหรือไม่
○    ตัวอย่าง: หากขั้นต่ำคือ 150% และฝาก ETH มูลค่า $3,000 ผู้ใช้จะสามารถกู้ DAI ได้สูงสุด $2,000 (เพราะ $3,000 / $2,000 = 150%) แต่ในทางปฏิบัติ ผู้ใช้ควรกู้เพียง $1,000 (C-Ratio 300%) เพื่อสร้าง "กันชน" (Buffer) ป้องกันความผันผวน
○    เมื่อยืนยันการกู้ยืม Stablecoin จะถูก "สร้าง" (Minted) ขึ้นมาใหม่และโอนเข้ากระเป๋าเงินของผู้ใช้
3.    การรักษาสถานะ (Maintaining the Position)

○    ตลอดเวลาที่ CDP เปิดอยู่ ผู้ใช้มีหนี้สินที่ต้องชำระ และมีหน้าที่ต้อง เฝ้าระวัง C-Ratio ของตนเอง
○    หากราคาหลักประกัน (ETH) ลดลง C-Ratio จะลดลงตามไปด้วย ผู้ใช้ต้องรีบดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง
       - ชำระหนี้คืน (Repay Debt) นำ Stablecoin (DAI) ที่กู้ไป (หรือซื้อจากตลาด) มาชำระคืนเข้าระบบ เพื่อลดมูลค่าหนี้สิน
       - เติมหลักประกัน (Add Collateral) ฝาก ETH (หรือหลักประกันประเภทเดียวกัน) เพิ่มเข้าไปใน CDP เพื่อเพิ่มมูลค่าหลักประกัน
○    หากราคาหลักประกัน (ETH) เพิ่มขึ้น C-Ratio จะสูงขึ้น ผู้ใช้สามารถ
       - กู้ยืม Stablecoin เพิ่มได้ (หากต้องการ)
       - ถอนหลักประกันบางส่วนออกมาได้ (ตราบเท่าที่ C-Ratio ยังสูงกว่าขั้นต่ำ)
4.    การปิด CDP (Closing the Position)
○    เมื่อผู้ใช้ไม่ต้องการหนี้สินนี้แล้ว หรือต้องการหลักประกันคืน
○    ผู้ใช้จะต้อง ชำระคืนหนี้สินทั้งหมด (Stablecoin ที่กู้ไป)
○    ผู้ใช้จะต้อง ชำระค่าธรรมเนียม/ดอกเบี้ย (Stability Fee) ทั้งหมดที่สะสมมา
○    เมื่อชำระครบถ้วน Smart Contract จะปลดล็อกและอนุญาตให้ผู้ใช้ "ถอน" (Withdraw) หลักประกันทั้งหมดของตนกลับคืนสู่กระเป๋าเงิน

กลไกการชำระบัญชี (Liquidation) เชิงลึก
การทำความเข้าใจ "การบังคับชำระบัญชี" (Liquidation) คือ สิ่งสำคัญที่สุดในการบริหารความเสี่ยง CDP นี่คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลัง
ใครคือผู้ชำระบัญชี (Liquidators)?
○    Liquidators ไม่ใช่ทีมงานของแพลตฟอร์ม แต่คือ ใครก็ได้ ในระบบนิเวศ
○    ส่วนใหญ่คือ "บอท" (Bots) ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเฝ้าติดตาม C-Ratio ของทุก CDP บนแพลตฟอร์มแบบเรียลไทม์
○    แรงจูงใจของพวกเขาคือ "ผลกำไร"
กระบวนการ Liquidation เกิดขึ้นอย่างไร?
○    ตรวจจับ (Monitor) บอทตรวจพบว่า CDP ของนาย A มี C-Ratio ลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ (เช่น ต่ำกว่า 150%)
○    ชำระหนี้แทน (Repay): บอทจะ จ่ายหนี้ Stablecoin (DAI) ทั้งหมด คืนเข้าระบบแทนที่นาย A
○    รับหลักประกัน (Seize Collateral) เพื่อเป็นรางวัลตอบแทน Smart Contract จะอนุญาตให้บอท ยึดหลักประกัน (ETH) ของนาย A
○    รับส่วนลด (Get Discount) บอทจะไม่ได้รับ ETH เท่ากับมูลค่าหนี้ที่จ่ายไป แต่จะได้รับใน "ราคาที่มีส่วนลด" (Discount) ส่วนลดนี้ก็คือ "ค่าปรับการชำระบัญชี" (Liquidation Penalty) ที่นาย A ต้องจ่ายนั่นเอง
○    ทำกำไร (Profit) บอทจะนำ ETH ที่ได้มาไปขายในตลาดทันทีเพื่อทำกำไร (Arbitrage) จากส่วนต่างของราคา
รูปแบบการจัดการหลักประกันที่ถูกยึด
○    แพลตฟอร์มต่าง ๆ มีวิธีจัดการหลักประกันที่ถูกยึดแตกต่างกัน:
○    การประมูล (Auction) (เช่น MakerDAO) ระบบจะนำหลักประกัน (ETH) ที่ยึดมา ออกประมูล (มักจะเป็น Dutch Auction) เพื่อให้ได้ราคากลับมาเป็น Stablecoin (DAI) ที่ดีที่สุดเพื่อปิดหนี้
○    Stability Pool (เช่น Liquity) แพลตฟอร์มนี้มี "สระรวม" ที่ผู้ใช้อื่นๆ สามารถฝาก Stablecoin (LUSD) ไว้ล่วงหน้า เมื่อเกิด Liquidation ระบบจะนำ LUSD จากสระนี้ไปลบหนี้ทันที และโอนหลักประกัน (ETH) ที่ถูกยึดไปให้คนที่ฝาก LUSD ในสระเป็นการตอบแทน

ประโยชน์และความสำคัญของ CDP ใน DeFi

(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=9903;image)

CDP ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือในการกู้ยืม แต่ยังเป็นนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนระบบ DeFi ในหลายมิติ:
การสร้างสภาพคล่อง (Liquidity Generation)
○    CDP ช่วย "ปลดล็อก" มูลค่าของสินทรัพย์ที่ถูกเก็บไว้เฉยๆ (HODL)
○    ผู้ที่เชื่อมั่นในอนาคตของ ETH และไม่ต้องการขายมัน สามารถนำ ETH มาค้ำประกันเพื่อกู้ Stablecoin ไปใช้จ่าย หรือนำไปลงทุนต่อยอดใน DeFi (เช่น ฟาร์มผลตอบแทน - Yield Farming)
การสร้าง Stablecoin แบบกระจายอำนาจ (Decentralized Stablecoins)
○    CDP คือกลไกหลักในการสร้าง Stablecoin ที่ค้ำประกันด้วย Crypto (Crypto-backed Stablecoins) เช่น DAI, LUSD
○    เหรียญเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเงินดอลลาร์ในบัญชีธนาคาร (เหมือน USDC หรือ USDT) ทำให้มีความเป็นกลางและทนทานต่อการเซ็นเซอร์ (Censorship Resistant) มากกว่า
การสร้าง Leverage (การเพิ่มอัตราทด)
○    ผู้ใช้สามารถใช้ CDP เพื่อสร้าง Leverage ได้ (ซึ่งมีความเสี่ยงสูงมาก)
○    ตัวอย่าง: ฝาก ETH -> กู้ DAI -> นำ DAI ไปซื้อ ETH เพิ่ม -> นำ ETH ที่ซื้อใหม่มาฝากเพิ่ม -> กู้ DAI เพิ่ม... ทำซ้ำไปเรื่อยๆ
○    วิธีนี้จะช่วยเพิ่มผลกำไรมหาศาลหากราคา ETH ปรับตัวขึ้น แต่ก็จะถูก Liquidation เร็วและรุนแรงมากหากราคา ETH ปรับตัวลง
การเข้าถึงบริการทางการเงินแบบไร้ตัวกลาง
○    ไม่จำเป็นต้องมีการตรวจสอบเครดิต (Credit Check) ไม่ต้องขออนุมัติจากธนาคาร
○    ตราบใดที่คุณมีหลักประกัน คุณก็สามารถเข้าถึงการกู้ยืมได้ทันที 24/7

กลยุทธ์การใช้งาน CDP ขั้นสูง (Advanced Strategies)
นอกจากการกู้ยืมเพื่อใช้จ่ายทั่วไป ผู้ใช้ DeFi ยังประยุกต์ใช้ CDP ในกลยุทธ์ที่ซับซ้อนขึ้น:
Leveraged Long (การ Long แบบมีอัตราทด)
○    ตามที่กล่าวไว้ในหัวข้อ "ประโยชน์" นี่คือกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด
○    ผู้ใช้เดิมพันว่าราคาหลักประกัน (เช่น ETH) จะเพิ่มขึ้น
○    พวกเขาจะกู้ยืม Stablecoin และนำไปซื้อ ETH เพิ่มทันทีเพื่อเพิ่มขนาดของหลักประกัน ซึ่งช่วยให้กู้ได้มากขึ้นอีก (วนลูป)
○    ความเสี่ยง จุด Liquidation จะ "สูงขึ้น" มาก (ใกล้กับราคาตลาดปัจจุบันมากขึ้น) ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียทุกอย่างหากราคาลดลงเล็กน้อย
สินเชื่อที่ชำระคืนตัวเอง (Self-Repaying Loans)
○    เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทน (Yield-Bearing Assets)
○    ขั้นตอน
          1.    ผู้ใช้ฝากสินทรัพย์ เช่น Lido Staked ETH (stETH) ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทน (ดอกเบี้ย) จากการ Staking
          2.    ผู้ใช้กู้ยืม Stablecoin (เช่น DAI) ออกมา
          3.    ผู้ใช้ ไม่ ชำระคืนหนี้
          4.    แต่จะปล่อยให้ "ผลตอบแทน" (Staking Yield) ที่เกิดขึ้นจาก stETH สะสมและค่อยๆ ถูกนำไปชำระหนี้ (DAI) โดยอัตโนมัติ (ขึ้นอยู่กับการออกแบบของแพลตฟอร์ม)

○    ผลลัพธ์คือการ "กู้ยืมเงินในวันนี้ โดยใช้ผลตอบแทนในอนาคตเป็นผู้ชำระคืน"
การเพิ่มประสิทธิภาพทางภาษี (Tax-Efficient Spending)
○    (ข้อจำกัดความรับผิด นี่ไม่ใช่คำแนะนำด้านภาษี)
○    ในหลายเขตอำนาจศาล การ "ขาย" สินทรัพย์ (เช่น ETH) เพื่อนำเงินสด (USD) ออกมาใช้ จะถือเป็นเหตุการณ์ที่ต้องเสียภาษีกำไร (Capital Gains Tax)
○    อย่างไรก็ตาม การ "กู้ยืม" โดยทั่วไปไม่ถือเป็นเหตุการณ์ที่ต้องเสียภาษี
○    ผู้ใช้จึงสามารถ "กู้" Stablecoin จาก CDP เพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตจริง แทนการ "ขาย" ETH ของตน ซึ่งอาจช่วยเลื่อนหรือลดภาระภาษีได้

ความเสี่ยงและข้อควรพิจารณา (Risks & Considerations)
แม้ CDP จะมีประโยชน์ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงมากซึ่งผู้ใช้ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ความเสี่ยงจากการถูก Liquidation (Liquidation Risk)
○    นี่คือ ความเสี่ยงอันดับหนึ่งและร้ายแรงที่สุด
○    ตลาด Crypto มีความผันผวนสูงมาก ราคาหลักประกันสามารถร่วงลงอย่างรุนแรงในเวลาอันสั้น (Flash Crash)
○    หากผู้ใช้ตั้งค่า C-Ratio ไว้ต่ำเกินไป หรือไม่ได้เฝ้าระวังสถานะของตนอย่างใกล้ชิด อาจสูญเสียหลักประกันทั้งหมดพร้อมค่าปรับ
ความเสี่ยงจาก Smart Contract (Smart Contract Risk)
○    แพลตฟอร์ม DeFi ทั้งหมดทำงานบน Smart Contract ซึ่งอาจมีช่องโหว่ (Bugs) หรือถูกแฮ็ก (Hacks) ได้
○    หากแพลตฟอร์มที่ใช้ฝาก CDP ถูกโจมตี ผู้ใช้อาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมด
ความเสี่ยงด้านการค้ำประกันเกินมูลค่า (Over-collateralization)
○    การที่ต้องใช้เงิน $150 เพื่อกู้เงิน $100 ถือเป็นความ "ไร้ประสิทธิภาพของเงินทุน" (Capital Inefficiency) เมื่อเทียบกับระบบการเงินดั้งเดิม
○    เงินทุนส่วนเกิน ($50) จะถูกล็อกไว้และไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์อื่นได้
ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk)
○    ค่าธรรมเนียม (Stability Fee) หรือดอกเบี้ย ไม่ได้คงที่เสมอไป
○    ในบางระบบ (เช่น MakerDAO) อัตราดอกเบี้ยสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสภาวะตลาด (ผ่านการโหวต Governance) ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้นโดยไม่คาดคิด
ความเสี่ยงจาก Oracle (Oracle Risk)
○    CDP ต้องอาศัย "Oracle" (บริการส่งข้อมูล) เพื่อบอกราคาสินทรัพย์หลักประกัน (เช่น ราคา ETH/USD)
○    หาก Oracle ทำงานผิดพลาด ถูกโจมตี หรือส่งข้อมูลราคาที่คลาดเคลื่อน อาจทำให้เกิดการ Liquidation ที่ไม่ยุติธรรมได้
อนาคตของ CDP และนวัตกรรม (The Future of CDPs)

เทคโนโลยี CDP ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวไปในทิศทางใหม่ๆ
สินทรัพย์ในโลกจริง (Real-World Assets - RWA)
○    นี่คือเทรนด์ที่ใหญ่ที่สุดใน DeFi
○    แทนที่จะใช้แค่ Crypto เป็นหลักประกัน แพลตฟอร์ม (เช่น MakerDAO) เริ่มยอมรับ "โทเค็น" ที่อ้างอิงถึงสินทรัพย์ในโลกจริง
○    ตัวอย่าง: พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (T-Bills), อสังหาริมทรัพย์, ใบแจ้งหนี้ทางการค้า
○    ข้อดี นำมูลค่ามหาศาลจากโลกดั้งเดิมเข้ามาใน DeFi, สร้างหลักประกันที่มีเสถียรภาพมากขึ้น, ลดการพึ่งพาสินทรัพย์ Crypto ที่ผันผวน
○    ข้อเสีย เพิ่มความเสี่ยงด้านการรวมศูนย์ (Centralization) และความเสี่ยงทางกฎหมาย (ต้องมีผู้ดูแลสินทรัพย์จริง)
การกู้ยืมแบบค้ำประกันต่ำกว่ามูลค่า (Under-collateralized Lending)
○    "จอกศักดิ์สิทธิ์" ของ DeFi คือการกู้ยืมโดยไม่ต้องใช้หลักประกันเกินมูลค่า (เหมือนบัตรเครดิต)
○    ปัจจุบันยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และมักต้องอาศัย
      - ชื่อเสียง (Reputation) การสร้างระบบคะแนนเครดิตบนบล็อกเชน
       - การมอบหมายเครดิต (Credit Delegation) (เช่นใน Aave) ผู้ที่มีเงินฝากมาก สามารถ "มอบ" วงเงินกู้ยืมของตนให้ผู้อื่นได้ โดยรับความเสี่ยงไว้เอง

การปรับปรุงประสิทธิภาพทุน
○    นวัตกรรมอย่าง Liquity (C-Ratio 110%) แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการลดปริมาณหลักประกันที่ต้อง "ล็อก" ไว้
○    อนาคตจะมีการแข่งขันเพื่อสร้างระบบที่ปลอดภัยแต่ใช้เงินทุนค้ำประกันน้อยที่สุด

บทสรุป
       Collateralized Debt Positions (CDP) คือ เสาหลักของ DeFi ที่ปฏิวัติวิธีการกู้ยืมและการสร้างสินทรัพย์ โดยเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลที่ผันผวนให้กลายเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงสภาพคล่อง (Stablecoin) ได้อย่างทันทีและไร้พรมแดน
       กลไกนี้อาศัย การค้ำประกันเกินมูลค่า (Over-collateralization) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบแทนที่ตัวกลาง และใช้ การบังคับชำระบัญชี (Liquidation) เป็นมาตรการลงโทษอัตโนมัติเพื่อรักษาเสถียรภาพของหนี้สิน
       ในขณะที่ CDP รุ่นแรก (เช่น MakerDAO) ได้พิสูจน์แนวคิดนี้แล้ว นวัตกรรมใหม่ๆ เช่น Liquity และการนำ RWA มาใช้ กำลังผลักดันขอบเขตของสิ่งที่เป็นไปได้ ทำให้ CDP มีประสิทธิภาพมากขึ้น ปลอดภัยขึ้น และเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจในโลกจริงมากขึ้น
       แม้ว่า CDP จะมอบพลังและอิสระทางการเงินอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ก็เป็นเครื่องมือที่ "ซับซ้อน" และ "มีความเสี่ยงสูง" โดยเฉพาะความเสี่ยงจากการถูก Liquidation ในตลาดที่ผันผวน ผู้ใช้จึงจำเป็นต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง บริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และไม่ลงทุนในสิ่งที่ตนเองไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้