ThailandTraderClub.com

Crypto Trading and Defi => พื้นฐาน Defi => หัวข้อที่ตั้งโดย: Support-3 เมื่อ พฤศจิกายน 15, 2025, 01:08:36 หลังเที่ยง

ชื่อ: Decentralized Derivatives สัญญาอนุพันธ์แบบไร้ตัวกลาง
โดย: Support-3 เมื่อ พฤศจิกายน 15, 2025, 01:08:36 หลังเที่ยง
Decentralized Derivatives สัญญาอนุพันธ์แบบไร้ตัวกลาง

(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=9913;image)

       Decentralized Derivatives (DeDs) หรือ สัญญาอนุพันธ์แบบไร้ตัวกลาง คือ เครื่องมือทางการเงินที่ทำงานอยู่บนเทคโนโลยีบล็อกเชน โดยมีมูลค่าอ้างอิง (Derive) มาจากสินทรัพย์อื่น (Underlying Asset) เช่น สกุลเงินดิจิทัล, หุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์, หรือดัชนีต่างๆ
      จุดเด่นที่สำคัญที่สุดคือการ "ตัดตัวกลาง" ออกไป โดยอาศัย Smart Contracts (สัญญาอัจฉริยะ) ในการดำเนินการทุกอย่าง ตั้งแต่การสร้างสัญญา, การวางหลักประกัน, การซื้อขาย, ไปจนถึงการชำระบัญชี (Settlement) โดยอัตโนมัติ โดยที่ผู้ใช้งานยังคงถือครองสินทรัพย์ของตนเอง (Self-Custody) ตลอดเวลา

กลไกการทำงานหลัก (Core Mechanisms)

(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=9911;image)

การที่ DeDs สามารถทำงานได้โดยไม่มีสถาบันการเงินมาควบคุม เกิดจากองค์ประกอบเทคโนโลยีหลักดังนี้
Smart Contracts (สัญญาอัจฉริยะ)
○    ทำหน้าที่เป็น "ข้อตกลง" หรือ "กฎ" ของสัญญาอนุพันธ์ที่ถูกเขียนเป็นโค้ดคอมพิวเตอร์
○    โค้ดเหล่านี้จะทำงานอัตโนมัติ (Enforce) เมื่อเงื่อนไขที่กำหนดไว้เป็นจริง
○    จัดการเรื่องการล็อกหลักประกัน (Collateral), การคำนวณกำไร/ขาดทุน (PnL), และการบังคับชำระบัญชี (Liquidation)
○    เป็นตัวกลางที่โปร่งใสและไม่สามารถแก้ไขได้หลังจากการนำไปใช้ (Immutable)

Oracles (ออราเคิล)
○    เนื่องจากบล็อกเชนไม่สามารถดึงข้อมูลจากโลกภายนอก (Off-Chain) ได้เอง (เช่น ราคา BTC/USD ปัจจุบัน)
○    Oracles (เช่น Chainlink, Pyth) จึงทำหน้าที่เป็น "ผู้ส่งสาร" ที่ป้อนข้อมูลราคา (Price Feeds) ที่เชื่อถือได้จากโลกภายนอกเข้ามายัง Smart Contract
○    ข้อมูลนี้สำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะใช้ในการคำนวณมูลค่าของ Position และตัดสินใจว่าจะต้องเกิดการ Liquidation หรือไม่

Collateralization (การวางหลักประกัน)
○    ผู้ใช้ต้อง "ล็อก" สินทรัพย์ดิจิทัล (เช่น USDC, ETH, wBTC) ไว้ใน Smart Contract เพื่อเป็นหลักประกันในการเปิดสถานะ (Position)
○    DeDs ส่วนใหญ่มักใช้ระบบ Over-Collateralization (วางหลักประกันเกินมูลค่า) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
○    หากมูลค่าของ Position ลดลงจนหลักประกันไม่เพียงพอ (ต่ำกว่า Maintenance Margin) ระบบจะเริ่มกระบวนการ Liquidation

Liquidation (การบังคับชำระบัญชี)
○    เป็นกลไกอัตโนมัติเพื่อป้องกันไม่ให้แพลตฟอร์มเกิดหนี้เสีย (Bad Debt)
○    เมื่อ Position ของผู้ใช้ขาดทุนจนถึงจุดที่กำหนด (Liquidation Price) Smart Contract จะยึดหลักประกันและปิด Position นั้นทันที
○    ผู้ที่ทำการ "Liquidate" (เรียกว่า Liquidators) มักจะเป็นบอทที่คอยสอดส่องระบบ และจะได้รับ "ค่าธรรมเนียม" หรือ "ส่วนลด" จากหลักประกันนั้นเป็นรางวัล

Liquidity Models (โมเดลสภาพคล่อง)
○    Order Book (กระดานเทรด) คล้ายกับตลาดหุ้นหรือ CEX (เช่น dYdX) ที่มีการจับคู่คำสั่งซื้อ (Bid) และขาย (Ask)
○    Peer-to-Pool (AMM/Synthetic) ผู้ใช้เทรดกับ "Pool สภาพคล่อง" (Liquidity Pool) โดยตรง (เช่น GMX, Synthetix) ราคาจะถูกกำหนดโดยสูตรคณิตศาสตร์ หรือ ราคาจาก Oracle โดยตรง

ประเภทของ DeDs ที่ได้รับความนิยม

(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=9909;image)

Perpetual Swaps (สัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบไม่หมดอายุ)
○    เป็นประเภทที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก DeFi
○    เป็นสัญญาที่เลียนแบบการเทรด Futures (ซื้อ/ขาย สินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต) แต่ ไม่มีวันหมดอายุ
○    ใช้กลไกที่เรียกว่า Funding Rate (อัตราดอกเบี้ย Funding) เพื่อบังคับให้ราคาของสัญญา (Mark Price) วิ่งเข้าใกล้ราคาจริงของสินทรัพย์ (Spot Price)
○    หาก Long (ซื้อ) มีมาก -> Funding Rate เป็นบวก -> คนที่ Long ต้องจ่ายเงินให้คนที่ Short
○    หาก Short (ขาย) มีมาก -> Funding Rate เป็นลบ -> คนที่ Short ต้องจ่ายเงินให้คนที่ Long

Options (ออปชัน)
○    สัญญาที่ให้ "สิทธิ์" (แต่ไม่บังคับ) ในการซื้อ (Call Option) หรือ ขาย (Put Option) สินทรัพย์อ้างอิง ณ ราคาที่กำหนด (Strike Price) ภายในวันที่กำหนด (Expiry Date)
○    แพลตฟอร์ม DeDs สำหรับ Options มักใช้โมเดล AMM (เช่น Lyra) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถซื้อ/ขาย Options ได้ตลอดเวลา โดยมี Liquidity Providers เป็นคู่สัญญา

Synthetic Assets (สินทรัพย์สังเคราะห์)
○    เป็นโทเค็นที่ถูกสร้างขึ้นบนบล็อกเชนเพื่อ "เลียนแบบ" มูลค่าของสินทรัพย์อื่นในโลกจริง
○    ตัวอย่าง: ผู้ใช้สามารถสร้าง "sTSLA" (Synthetic Tesla Stock) หรือ "sXAU" (Synthetic Gold)
○    แพลตฟอร์ม (เช่น Synthetix) มักจะกำหนดให้ผู้ใช้ต้องล็อกหลักประกัน (เช่น โทเค็น SNX) เพื่อ "Mint" (สร้าง) สินทรัพย์สังเคราะห์เหล่านี้
○    ช่วยให้สามารถเทรดสินทรัพย์จากตลาดดั้งเดิม (TradFi) ได้บนโลก DeFi

Futures (สัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบมีวันหมดอายุ)
○    คล้ายกับ Perpetual Swaps แต่มีวันหมดอายุที่ชัดเจน
○    เมื่อถึงวันหมดอายุ สัญญาจะถูกชำระบัญชี (Settled) ตามราคาของสินทรัพย์อ้างอิง ณ เวลานั้น
○    ยังไม่ได้รับความนิยมเท่า Perpetual ใน DeFi

1. DeDs vs. CeFi Derivatives การปะทะกันของสองโลก
นี่คือการเปรียบเทียบโดยตรงระหว่างการเทรดอนุพันธ์บนแพลตฟอร์มแบบกระจายศูนย์ (เช่น dYdX, GMX) กับแพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์ (เช่น Binance Futures, Bybit, หรือตลาดดั้งเดิมอย่าง CME)
●    ความเสี่ยงของคู่สัญญา (Counterparty Risk)
○    CeFi สูงมาก ผู้ใช้ต้องฝากเงินไว้กับบริษัทตัวกลาง หากตัวกลางล้มละลาย (เช่น FTX, Mt. Gox) ผู้ใช้อาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมด
○    DeDs ต่ำ (ในทางทฤษฎี) เงินทุนถูกล็อกใน Smart Contract ผู้ใช้ถือครองสินทรัพย์เอง (Self-Custody) ความเสี่ยงย้ายจาก "บริษัท" ไปอยู่ที่ "โค้ด" (Smart Contract Risk)
●    ประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience - UX)
○    CeFi มักจะดีกว่ามาก รวดเร็ว, ใช้งานง่าย, ไม่ต้องกังวลเรื่อง Gas Fees, มีฝ่ายสนับสนุนลูกค้า
○    DeDs ซับซ้อนกว่า ผู้ใช้ต้องจัดการ Wallet เอง, เข้าใจเรื่อง Gas Fees, และทำธุรกรรมช้ากว่า (แม้บน Layer 2)
●    การเข้าถึงและกฎระเบียบ (Access & Regulation)
○    CeFi ถูกกำกับดูแลเข้มงวด ต้องใช้ KYC (การยืนยันตัวตน) และอาจจำกัดการให้บริการในบางประเทศ
○    DeDs เปิดกว้าง (Permissionless) ใครก็สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องขออนุญาต ทำให้เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว หรืออยู่ในประเทศที่ถูกจำกัด
●    สภาพคล่องและผลิตภัณฑ์ (Liquidity & Products)
○    CeFi มักมีสภาพคล่องที่สูงกว่ามาก และมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายกว่า (โดยเฉพาะสินทรัพย์นอกโลกคริปโต)
○    DeDs สภาพคล่องกำลังเติบโต แต่ยังน้อยกว่า และผลิตภัณฑ์มักจะเน้นไปที่สินทรัพย์คริปโตเป็นหลัก

2. "App-Chain Thesis": เมื่อ DeDs ต้องการบล็อกเชนของตัวเอง
หนึ่งในเทรนด์สำคัญคือแพลตฟอร์ม DeDs ขนาดใหญ่เริ่ม "แยกตัว" ออกจาก Layer 1 (เช่น Ethereum) หรือ Layer 2 (เช่น Arbitrum) ไปสร้างบล็อกเชนของตัวเอง (Application-Specific Blockchain หรือ App-Chain)
●    เหตุผลที่ต้องย้าย
○    ประสิทธิภาพสูงสุด (Performance) แพลตฟอร์มสามารถปรับแต่งทุกส่วนของบล็อกเชนให้เหมาะกับการเทรดอนุพันธ์โดยเฉพาะ เช่น การสร้าง Order Book ที่ทำงานในระดับ Node (ไม่ต้องรอการยืนยันบล็อก)
○    หนีปัญหาคอขวด ไม่ต้อง "แย่ง" พื้นที่บล็อก (Blockspace) กับแอปพลิเคชันอื่นๆ (เช่น เกม NFT หรือ DeFi อื่นๆ) ทำให้ธุรกรรมรวดเร็วและค่าธรรมเนียมคงที่
○    MEV Mitigation สามารถออกแบบกลไกของเชนเพื่อป้องกันหรือลดปัญหา MEV (เช่น การใช้ระบบ FBA - Frequent Batch Auctions)
○    การจับมูลค่า (Value Capture) แพลตฟอร์มสามารถใช้โทเค็นของตนเองเป็นค่า Gas ได้ (ไม่ใช่ ETH) ทำให้โทเค็นมีประโยชน์ใช้สอย (Utility) มากขึ้น
●    ข้อเสีย
○    สูญเสีย Composability การย้ายออกไปทำให้ "ตัดขาด" จากการเชื่อมต่อกับระบบนิเวศ DeFi อื่นๆ บน Ethereum (Money Legos)
○    ความซับซ้อนด้านความปลอดภัย ต้องพึ่งพาชุด Validators ของตัวเอง ซึ่งอาจปลอดภัยน้อยกว่าการอยู่บน Ethereum

3. Exotic Derivatives สัญญาอนุพันธ์ "แปลกใหม่" นอกกรอบ
ในขณะที่ Perpetual Swaps คือ "ขนมปัง" ของ DeDs แต่นักพัฒนาก็เริ่มสร้างผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนและเฉพาะทางมากขึ้น
●    Volatility Tokens (โทเค็นความผันผวน)
○    โทเค็นที่ให้ผู้ใช้สามารถ "เทรดความผันผวน" ของสินทรัพย์ได้
○    เช่น "BTC Volatility Index" ผู้ใช้สามารถ Long (ถ้าคิดว่าตลาดจะผันผวนมาก) หรือ Short (ถ้าคิดว่าตลาดจะนิ่ง)
●    Power Perpetuals (Perpetuals ยกกำลัง)
○    สัญญาอนุพันธ์ที่ให้ผลตอบแทนแบบ "ยกกำลัง" (เช่น $SQUEETH$ ของ Opyn ที่ให้ผลตอบแทน $ETH^2$)
○    เป็นเครื่องมือที่มี Leverage สูงมากโดยธรรมชาติ และมีความเสี่ยงสูงมาก
●    Insurance Derivatives (อนุพันธ์ประกันภัย)
○    การสร้างตลาดสำหรับ "ประกันความเสี่ยง" ใน DeFi
○    เช่น การซื้อ "Put Option" ที่จะจ่ายผลตอบแทนหาก Smart Contract ของแพลตฟอร์ม A ถูกแฮก
●    Hashrate Derivatives (อนุพันธ์แรงขุด)
○    ให้นักขุด (Miners) สามารถ "ล็อก" รายได้ในอนาคต โดยการ Short สัญญา Hashrate
○    หรือให้นักลงทุนเก็งกำไรกับความยากง่ายในการขุดในอนาคต
ข้อดี (Pros)
●    Permissionless Access (การเข้าถึงแบบไร้พรมแดน)
     - ทุกคนที่มีกระเป๋าเงินดิจิทัล (Wallet) และอินเทอร์เน็ต สามารถเข้าใช้งานได้ทันที
     - ไม่ต้องผ่านกระบวนการรู้จักลูกค้า (KYC) หรือขออนุญาตจากสถาบันการเงิน
     - ตลาดเปิดให้บริการ 24/7/365
●    Self-Custody (การถือครองสินทรัพย์ด้วยตนเอง)
     - ผู้ใช้ควบคุม Private Key และสินทรัพย์ในกระเป๋าของตนเอง 100%
     - เงินทุนถูกฝากไว้ใน Smart Contract ไม่ใช่ในบัญชีของบริษัทตัวกลาง
     - ช่วยลดความเสี่ยงที่เรียกว่า Counterparty Risk (ความเสี่ยงที่คู่สัญญาหรือตัวกลางล้มละลาย เช่น กรณีของ FTX)
●    Transparency (ความโปร่งใส)
     - ทุกธุรกรรม, สถานะของหลักประกัน, และการชำระบัญชี สามารถตรวจสอบได้บน Public Blockchain
     - ผู้ใช้สามารถตรวจสอบ "Proof of Reserves" (หลักฐานเงินสำรอง) ของแพลตฟอร์มได้แบบเรียลไทม์
●    Censorship Resistance (การต้านทานการเซ็นเซอร์)
     - ไม่มีหน่วยงานกลางใดสามารถสั่งอายัดบัญชี, หยุดการเทรด, หรือยึดเงินทุนของผู้ใช้ได้ (ตราบใดที่โปรโตคอลยังทำงานอยู่)
●    Composability (การประกอบร่าง)
     - DeDs สามารถถูกนำไป "ต่อยอด" หรือ "ประกอบร่าง" กับโปรโตคอล DeFi อื่นๆ ได้อย่างอิสระ (ที่เรียกว่า Money Legos) เช่น การนำสินทรัพย์ที่ได้จากการเทรดไปใช้ค้ำประกันในแพลตฟอร์มกู้ยืมอื่นต่อ

ความเสี่ยงและความท้าทาย (Cons & Risks)
●    Smart Contract Risk (ความเสี่ยงจากสัญญาอัจฉริยะ)
     - นี่คือความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุด
     - หากโค้ดของ Smart Contract มีช่องโหว่ (Bug) หรือถูกออกแบบมาไม่ดี อาจถูกแฮกเกอร์โจมตีและขโมยเงินทุนทั้งหมดในแพลตฟอร์มได้
●    Oracle Risk (ความเสี่ยงจากออราเคิล)
     - หาก Oracle ส่งข้อมูลราคาที่ผิดพลาด (ไม่ว่าจะโดยตั้งใจ, ถูกโจมตี, หรือเกิดข้อผิดพลาดทางเทคนิค)
     - อาจนำไปสู่การบังคับชำระบัญชี (Liquidation) ที่ไม่เป็นธรรม และสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อผู้ใช้
●    Liquidation Risk (ความเสี่ยงการถูกบังคับขาย)
     - ความผันผวนสูง (Volatility) ในตลาดคริปโต ประกอบกับการใช้ Leverage ที่สูง
     - อาจทำให้ Position ของผู้ใช้ถูกบังคับขายอย่างรวดเร็ว แม้ในสภาวะตลาดที่เรียกว่า "Flash Crash" (ราคาตกชั่วขณะ)
●    Scalability & Cost (ปัญหาด้านการขยายตัวและต้นทุน)
     - การทำธุรกรรมบนบล็อกเชน Layer 1 (เช่น Ethereum) อาจมีค่าธรรมเนียม (Gas Fees) ที่สูงมากและช้า
     - แม้ว่าปัจจุบันแพลตฟอร์ม DeDs ส่วนใหญ่จะย้ายไปอยู่บน Layer 2 (เช่น Arbitrum, Optimism) เพื่อแก้ปัญหานี้แล้ว แต่ก็ยังมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น
●    Complexity (ความซับซ้อนในการใช้งาน)
     - ผู้ใช้จำเป็นต้องมีความเข้าใจเรื่องการจัดการ Wallet, Private Key, การจ่าย Gas Fees และกลไกของ DeFi ซึ่งเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป
●    Regulatory Uncertainty (ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ)
     - หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกยังคงมีท่าทีที่ไม่ชัดเจน หรือในบางครั้งคือไม่เป็นมิตร ต่อแพลตฟอร์ม DeFi โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่าง Derivatives

บทสรุป

Decentralized Derivatives (DeDs) คือวิวัฒนาการขั้นต่อไปของเครื่องมือทางการเงิน ที่นำเสนอการเข้าถึงบริการทางการเงินที่ซับซ้อน (เช่น การเทรด Leverage, การป้องกันความเสี่ยง, และการเก็งกำไร) มาสู่ทุกคนโดยไม่ต้องผ่านตัวกลางแบบดั้งเดิม
ข้อดีหลัก คือ การเข้าถึงแบบไร้พรมแดน, การที่ผู้ใช้ได้ถือครองสินทรัพย์ของตนเอง (Self-Custody) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากตัวกลางล้มละลาย และความโปร่งใสที่ตรวจสอบได้บนบล็อกเชน
อย่างไรก็ตาม DeDs ก็มาพร้อมกับ ความเสี่ยงชุดใหม่ ที่ร้ายแรงไม่แพ้กัน โดยเฉพาะความเสี่ยงจากความผิดพลาดของ Smart Contract และความแม่นยำของ Oracle ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้สูญเสียเงินทุนทั้งหมดได้ในพริบตา
อนาคตของ DeDs ขึ้นอยู่กับการพัฒนาเทคโนโลยี Layer 2 ให้รวดเร็วและถูกลง, การปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) ให้ง่ายขึ้น และการค้นหาความชัดเจนทางกฎหมาย ซึ่งหากทำได้สำเร็จ DeDs ก็มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของตลาดอนุพันธ์ทั่วโลกได้อย่างมหาศาล