ปลดล็อกศักยภาพการกู้ยืม โดยไม่ต้องมีหลักประกันเต็มจำนวน
(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=10141;image)
ในโลกของ Decentralized Finance (DeFi) ยุคเริ่มต้น กลไกหลักที่ขับเคลื่อนระบบคือการกู้ยืมแบบ Over-collateralized หรือการวางสินทรัพย์ค้ำประกันที่มีมูลค่าสูงกว่ายอดกู้ (เช่น วาง ETH มูลค่า 150 บาท เพื่อกู้ USDC 100 บาท) วิธีนี้แม้จะปลอดภัยและไม่ต้องอาศัยความเชื่อใจ (Trustless) แต่กลับสร้างปัญหาเรื่อง "ประสิทธิภาพการใช้เงินทุน" (Capital Inefficiency) อย่างมหาศาล
นิยามและแนวคิด จาก Trustless สู่ Trust-Minimized
Over-collateralized vs. Under-collateralized
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เราต้องเปรียบเทียบสองโมเดลนี้
● Over-collateralized (แบบดั้งเดิมใน DeFi) เน้นความปลอดภัยสูงสุด หากมูลค่าสินทรัพย์ค้ำประกันลดลง Smart Contract จะทำการขาย (Liquidate) ทันที ไม่สนว่าผู้กู้จะเป็นใคร ระบบนี้ "Code is Law" อย่างสมบูรณ์
- ข้อดี: ไม่ต้องทำ KYC, ใครก็กู้ได้, ความเสี่ยงหนี้สูญต่ำมาก
- ข้อเสีย: เงินทุนจม (Dead Capital) ไม่สามารถนำไปต่อยอดธุรกิจจริงได้ เพราะต้องมีเงินมากกว่าถึงจะกู้ได้
● Under-collateralized (แนวคิดใหม่) ยอมให้ผู้กู้ได้รับเงินมากกว่าสินทรัพย์ที่วางไว้ หรือกู้โดยใช้เพียง "เครดิต" และ "ชื่อเสียง"
- ข้อดี: ประสิทธิภาพเงินทุนสูง (Capital Efficiency), ใกล้เคียงกับการกู้ยืมในโลกธุรกิจจริง (TradFi)
- ข้อเสีย: มีความเสี่ยงเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk), ต้องมีการตรวจสอบตัวตนหรือเครดิต (KYC/Credit Scoring)
การเปลี่ยนผ่านของความเชื่อใจ
Undercollateralized Loans ไม่ได้ทำงานแบบ Trustless (ไร้ความเชื่อใจ) 100% แต่เป็นระบบ Trust-Minimized คือลดการพึ่งพาตัวกลางให้เหลือน้อยที่สุด แต่ยังต้องมีกระบวนการตรวจสอบความน่าเชื่อถือผ่าน Reputation (ชื่อเสียง) หรือ Credit Scoring บนบล็อกเชน
ทำไม Undercollateralized Loans ถึงเป็นกุญแจสำคัญของ DeFi?
(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=10139;image)
หาก DeFi ต้องการเติบโตเกินกว่ามูลค่าตลาดคริปโตฯ (Crypto Market Cap) และกลืนกินระบบการเงินโลก มันจำเป็นต้องมี Undercollateralized Loans ด้วยเหตุผลดังนี้
1. ปลดล็อก Capital Efficiency
ในโลกธุรกิจจริง บริษัทกู้เงินเพื่อขยายกิจการโดยใช้ "กระแสเงินสดในอนาคต" เป็นเครื่องการันตี ไม่ใช่การนำเงินสดไปวางค้ำประกัน หากบริษัทต้องวางเงิน 150% เพื่อกู้มาหมุนเวียน ธุรกิจนั้นคงไม่สามารถเติบโตได้ การมี Undercollateralized Loans จะช่วยให้สถาบันการเงินและบริษัทต่างๆ เข้ามาใช้สภาพคล่องจาก DeFi ได้จริง
2. การเชื่อมต่อกับ Real World Assets (RWA)
นี่คือสะพานเชื่อมระหว่างโลก Crypto และโลกความจริง การกู้ยืมแบบนี้เปิดโอกาสให้ธุรกิจในโลกจริง (เช่น ธุรกิจปล่อยสินเชื่อในตลาดเกิดใหม่, บริษัท Fintech) สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน Global Liquidity Pool ของ DeFi ได้
3. สร้างระบบเครดิตบนบล็อกเชน (On-Chain Identity & Credit)
การเกิดขึ้นของธุรกรรมแบบนี้จะสร้าง Transaction History ที่มีความหมาย นำไปสู่การคำนวณ Credit Score ของกระเป๋าเงินดิจิทัลแต่ละใบ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต
กลไกการทำงาน (Mechanisms) กู้ได้อย่างไรถ้าไม่มีของค้ำ?
เนื่องจากไม่มีสินทรัพย์ค้ำประกันเต็มจำนวน โปรโตคอลจึงต้องสร้างกลไกอื่นมาทดแทนเพื่อบริหารความเสี่ยง
(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=10137;image)
1. การตรวจสอบและอนุมัติ (Due Diligence & Whitelisting)
โปรโตคอลส่วนใหญ่จะไม่อนุญาตให้ "ใครก็ได้" มากู้ แต่จะเน้นกลุ่มลูกค้าสถาบัน (Institutional Borrowers)
● KYC/KYB ผู้กู้ต้องยืนยันตัวตนระดับองค์กร
● Credit Assessment มีผู้เชี่ยวชาญ (Delegates หรือ Auditors) ทำการตรวจสอบงบการเงิน สถานะทางกฎหมาย และความสามารถในการชำระหนี้แบบ Off-chain ก่อนจะอนุมัติให้กู้ On-chain
2. ระบบ First-Loss Capital (เงินประกันความเสี่ยง)
เพื่อให้นักลงทุนรายย่อย (Lenders) กล้าฝากเงิน โปรโตคอลมักจะมีระบบ Tranche หรือลำดับชั้นของเงินลงทุน
● Junior Tranche (Backers) กลุ่มคนที่ยอมรับความเสี่ยงสูง ยอมให้ตรวจสอบผู้กู้ หากมีการผิดนัดชำระหนี้ เงินส่วนนี้จะหายไปก่อน (First-loss) แต่แลกมาด้วยผลตอบแทน (APY) ที่สูงกว่า
● Senior Tranche (Liquidity Providers) นักลงทุนทั่วไปที่ต้องการความปลอดภัย หากเกิดหนี้เสีย จะได้รับการคุ้มครองจากเงินของ Junior Tranche ก่อน
3. สัญญาทางกฎหมาย (Off-Chain Legal Agreements)
แม้ธุรกรรมจะเกิดบนบล็อกเชน แต่การบังคับคดีต้องทำในโลกจริง ผู้กู้ต้องเซ็นสัญญาเงินกู้ที่มีผลทางกฎหมาย (Master Loan Agreement) หากไม่คืนเงิน โปรโตคอลหรือตัวแทนสามารถฟ้องร้องยึดทรัพย์สินในโลกจริงได้
กรณีศึกษา โปรโตคอลชั้นนำ (Key Players)
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ต้องดูตัวอย่างจากผู้เล่นหลักในตลาด:
Maple Finance
● รูปแบบ ตลาดสินเชื่อสำหรับสถาบัน (Corporate Credit Market)
● กลไก ใช้ระบบ Pool Delegates ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อ ทำหน้าที่ตรวจสอบผู้กู้ (เช่น กองทุน Hedge Fund, ผู้ทำตลาด Market Makers) และเจรจาดอกเบี้ย ผู้กู้ต้องผ่าน KYC เต็มรูปแบบ
● จุดเด่น เน้นลูกค้าเกรด A ในวงการคริปโต และเริ่มขยายไปยังธุรกิจนอกโลกคริปโต
Goldfinch
● รูปแบบ สินเชื่อสำหรับธุรกิจในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ที่อาจเข้าถึงธนาคารได้ยาก
● กลไก ใช้หลักการ "Trust through Consensus" ผู้กู้ (Borrowers) เสนอวงเงิน -> Backers ตรวจสอบและลงเงิน (Junior Tranche) -> เมื่อ Backers มั่นใจ ระบบจะดึงเงินจาก Liquidity Providers (Senior Tranche) มาสมทบ
● จุดเด่น เชื่อมโยงเงินจาก DeFi ไปสู่ธุรกิจจริง เช่น สินเชื่อรถมอเตอร์ไซค์ในแอฟริกา หรือสินเชื่อ SME ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
TrueFi
● รูปแบบ ตลาดสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกันที่ขับเคลื่อนด้วย DAO
● กลไก ผู้ถือเหรียญ TRU มีสิทธิ์โหวตว่าจะอนุมัติเงินกู้ให้ผู้ยื่นคำขอหรือไม่ โดยดูจากคะแนน TrueFi Credit Score
● จุดเด่น พยายามใช้ความเป็น Decentralized มากกว่าในการตัดสินใจอนุมัติสินเชื่อ
ความเสี่ยงและความท้าทาย (Risks & Challenges)
แม้จะดูสวยหรู แต่ Undercollateralized Loans มีความเสี่ยงสูงกว่า DeFi ปกติมาก
● Credit Risk (ความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้) นี่คือความเสี่ยงสูงสุด หากผู้กู้เจ๊ง (เช่น กรณี FTX หรือ Three Arrows Capital ล้มละลาย) เงินที่กู้ไปอาจสูญทั้งหมด แม้จะมีสัญญาทางกฎหมาย แต่กระบวนการฟ้องร้องอาจกินเวลานานหลายปีและอาจไม่ได้เงินคืน
● Centralization Risk กระบวนการตรวจสอบเครดิตยังต้องพึ่งพา "มนุษย์" หรือ "ตัวกลาง" (Delegates/Auditors) ซึ่งขัดแย้งกับปรัชญาดั้งเดิมของ DeFi ที่ไม่ต้องการตัวกลาง
● Liquidity Risk หากผู้ให้กู้ถอนเงินออกพร้อมกัน (Bank Run) โปรโตคอลอาจขาดสภาพคล่อง เพราะเงินส่วนใหญ่ถูกปล่อยกู้ไปในระยะยาว (Term Loans) ไม่สามารถเรียกคืนได้ทันที
กรณีศึกษาความล้มเหลว ในช่วงวิกฤต FTX ปี 2022 โปรโตคอลอย่าง Maple Finance ประสบปัญหาหนี้เสียจำนวนมากจากการที่ผู้กู้รายใหญ่ (เช่น Orthogonal Trading) ล้มละลายจากการฉ้อโกงและการบริหารที่ผิดพลาด ทำให้เห็นว่าการตรวจสอบ Off-chain ก็ยังมีช่องโหว่
อนาคตและเทรนด์ที่น่าจับตามอง (Future Trends)
1. Soulbound Tokens (SBTs) & DID
การใช้ Soulbound Tokens (โทเค็นที่โอนย้ายไม่ได้) เพื่อเป็นตัวแทนของ "อัตลักษณ์" และ "ประวัติเครดิต" บนเชน จะช่วยให้การประเมินเครดิตทำได้โดยอัตโนมัติและโปร่งใสมากขึ้น ไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางมนุษย์ในระยะยาว
2. Zero-Knowledge Proofs (ZKPs)
เทคโนโลยี ZKPs จะเข้ามาช่วยให้ผู้กู้สามารถ "พิสูจน์" ว่าตนเองมีเครดิตดี หรือมีสถานะทางการเงินที่มั่นคงได้ โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลความลับทางธุรกิจ หรือตัวตนที่แท้จริงทั้งหมดต่อสาธารณะ
3. การเติบโตของ RWA (Real World Assets)
แนวโน้มที่ชัดเจนที่สุดคือ Undercollateralized Loans จะกลายเป็นท่อส่งสภาพคล่องหลักให้กับพันธบัตรรัฐบาล, อสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่อภาคเอกชน ทำให้เส้นแบ่งระหว่าง DeFi และ TradFi จางลงเรื่อยๆ
บทสรุป
Undercollateralized Loans คือวิวัฒนาการขั้นต่อไปที่จำเป็นอย่างยิ่งของ DeFi มันคือการเปลี่ยนจากระบบที่ "ปลอดภัยแต่โตยาก" (Over-collateralized) ไปสู่ระบบที่ "มีประสิทธิภาพและเชื่อมโยงโลกจริง" แม้ในปัจจุบันจะยังมีความเสี่ยงและต้องพึ่งพากลไกแบบกึ่งรวมศูนย์ (Semi-Centralized) อยู่บ้าง แต่ด้วยพัฒนาการของเทคโนโลยี Identity และ Credit Scoring บนบล็อกเชน เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่เครดิตของมนุษย์สามารถแปลงเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์