Coin vs Token ต่างกันอย่างไร?(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=10151;image)
ในโลกของการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล ปัญหาแรกที่นักลงทุนหน้าใหม่เกือบทุกคนต้องเจอคือ
"ความสับสนในคำศัพท์" โดยเฉพาะคำว่า Coin (เหรียญ) และ Token (โทเคน) ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเรียกเหมารวมกันว่า
"เหรียญ" แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในเชิงโครงสร้างเทคโนโลยี มูลค่า และวัตถุประสงค์การใช้งาน
เจาะลึกความแตกต่าง Coin vs Tokenแม้ว่าปลายทางของทั้งคู่จะสามารถใช้เทรด โอน หรือเก็งกำไรได้เหมือนกัน แต่จุดกำเนิดและ "ที่อยู่" ของมันนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิงCoin (เหรียญ) คืออะไร?Coin หรือ Native Coin คือสกุลเงินดิจิทัลที่มี "บล็อกเชนเป็นของตัวเอง" (Own Blockchain) ไม่ได้พึ่งพาบ้านของใคร สกุลเงินเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นรากฐานของระบบเครือข่ายนั้นๆหน้าที่หลักของ Coin● ใช้จ่ายค่าธรรมเนียม (Gas Fee) หน้าที่สำคัญที่สุดคือใช้เป็น "ค่าผ่านทาง" หรือค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมบนเครือข่ายนั้นๆ เพื่อจ่ายให้กับนักขุด (Miner) หรือผู้ตรวจสอบธุรกรรม (Validator)
● Store of Value ใช้เป็นแหล่งเก็บรักษามูลค่า เปรียบเสมือนทองคำดิจิทัล
● Medium of Exchange ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ
ตัวอย่างของ Coin● Bitcoin (BTC) รันอยู่บน Bitcoin Blockchain
● Ethereum (ETH) รันอยู่บน Ethereum Blockchain
● Solana (SOL) รันอยู่บน Solana Blockchain
● Dogecoin (DOGE) รันอยู่บน Dogecoin Blockchain (Fork มาจาก Litecoin อีกที)
Token (โทเคน) คืออะไร? Token คือ สินทรัพย์ดิจิทัลที่ "ไม่มีบล็อกเชนเป็นของตัวเอง" แต่ถูกสร้างขึ้นโดยการเขียนโปรแกรม (Smart Contract) ฝากไว้บนบล็อกเชนของคนอื่น (ส่วนใหญ่มักสร้างบน Ethereum) เปรียบเทียบง่ายๆ
Coin เปรียบเสมือน "เจ้าของที่ดิน" หรือ "เจ้าของห้างสรรพสินค้า" ที่สร้างโครงสร้างพื้นฐาน ระบบไฟ ระบบน้ำ ไว้เอง Token เปรียบเสมือน "ร้านค้า" หรือ "คูปองศูนย์อาหาร" ที่มาเช่าพื้นที่ในห้างนั้นเปิดร้าน โดยต้องจ่ายค่าเช่า (ค่า Gas) ให้กับเจ้าของห้าง (Coin) เพื่อให้ร้านดำเนินต่อไปได้
ประเภทของ Token ที่ควรรู้จัก(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=10147;image)
1. Utility Token สร้างมาเพื่อใช้ประโยชน์ในระบบนิเวศนั้นๆ เช่น ใช้แลกของรางวัล, ใช้ลดค่าธรรมเนียมเทรด, หรือใช้โหวตทิศทางโปรเจกต์ (Governance) ตัวอย่างเช่น เหรียญ UNI (Uniswap) หรือ BNB (ในอดีตก่อนมี Chain ของตัวเอง)
2. Security Token มีลักษณะคล้ายหลักทรัพย์ (หุ้น/พันธบัตร) ที่ถูกแปลงมาอยู่ในรูปแบบดิจิทัล มักมีสินทรัพย์จริงหนุนหลังและให้สิทธิ์ความเป็นเจ้าของหรือเงินปันผล
3. Stablecoin โทเคนที่ตรึงมูลค่าไว้กับสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ เช่น เงินดอลลาร์ (USDT, USDC) ซึ่งพวกนี้ถือเป็น Token เพราะไม่มีเชนเป็นของตัวเอง แต่วิ่งอยู่บนเชนอย่าง Ethereum หรือ Tron
ศัพท์พื้นฐานอื่นๆ ที่มือใหม่มักเข้าใจผิด (Misconceptions)(https://www.thailandtraderclub.com/index.php?action=dlattach;attach=10149;image)
นอกจากเรื่อง Coin และ Token แล้ว ยังมีคำศัพท์อีกหลายคำที่นักลงทุนหน้าใหม่มักสับสน ซึ่งความเข้าใจผิดเหล่านี้อาจนำไปสู่ความผิดพลาดในการลงทุนได้
1.Bitcoin vs Blockchainหลายคนคิดว่าสองคำนี้คือสิ่งเดียวกัน แต่ความจริงแล้ว
Blockchain คือ "เทคโนโลยี" (ระบบบันทึกข้อมูลแบบกระจายศูนย์) เปรียบเหมือน "สมุดบัญชีธนาคาร"
Bitcoin คือ "สินทรัพย์" หรือสกุลเงินแรกที่นำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ เปรียบเหมือน "ตัวเลขเงิน" ในสมุดบัญชีนั้น
สรุป Blockchain เป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเรื่องอื่นที่ไม่ใช่การเงินก็ได้ (เช่น การขนส่ง, การแพทย์) ส่วน Bitcoin เป็นเพียงแอปพลิเคชันหนึ่งของ Blockchain เท่านั้น
2.Altcoin (อัลทคอยน์)คำนี้ย่อมาจาก
"Alternative Coin" แปลตรงตัวคือ
"เหรียญทางเลือก"● ความหมายดั้งเดิม เหรียญอะไรก็ตามที่
"ไม่ใช่ Bitcoin" ถือเป็น Altcoin ทั้งหมด (รวมถึง Ethereum ด้วยในบางนิยาม)
● ความเข้าใจผิด มือใหม่มักคิดว่า Altcoin คือเหรียญขยะหรือเหรียญซิ่ง แต่จริงๆ แล้ว Altcoin รวมถึงเหรียญเทคโนโลยีดีๆ อย่าง ETH, SOL, หรือ ADA ด้วย
3.Market Cap vs Price (มูลค่าตลาด vs ราคาเหรียญ)นี่คือกับดักที่ใหญ่ที่สุดของมือใหม่ หลายคนชอบซื้อเหรียญที่ "ราคาถูก" (เช่น 0.0001 บาท) เพราะคิดว่าจะไปถึง 1 บาทได้ง่ายกว่าเหรียญราคาแพง
Price (ราคา) คือมูลค่าต่อ 1 เหรียญMarket Cap (มูลค่าตามราคาตลาด) คำนวณจาก ราคาเหรียญ x จำนวนเหรียญทั้งหมดที่มี (Circulating Supply)
ตัวอย่าง● เหรียญ A ราคา 10 บาท มี 1,000,000 เหรียญ -> Market Cap = 10 ล้านบาท
● เหรียญ B ราคา 1 บาท มี 100,000,000 เหรียญ -> Market Cap = 100 ล้านบาท
ข้อควรระวัง เหรียญ B แม้ราคาจะถูกกว่า A ถึง 10 เท่า แต่การจะทำให้ราคาขึ้นเป็น 2 บาท ต้องใช้เงินมหาศาลมาดันมูลค่าตลาดให้เป็น 200 ล้านบาท ดังนั้น อย่าดูแค่ราคาถูก ให้ดู Market Cap และจำนวนเหรียญ (Supply) ประกอบเสมอ
4.Hot Wallet vs Cold Walletกระเป๋าเก็บเงินดิจิทัลไม่ได้มีแค่แบบเดียวHot Wallet กระเป๋าที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา (เช่น แอปในมือถือ, กระเป๋าบนเว็บเทรด, MetaMask)●
ข้อดี: สะดวก โอนไว เทรดง่าย
●
ข้อเสีย: เสี่ยงต่อการถูกแฮ็กมากกว่า
Cold Wallet กระเป๋าที่ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (Hardware Wallet หน้าตาเหมือน USB Drive)●
ข้อดี: ปลอดภัยสูงสุด แฮ็กไม่ได้ถ้าไม่เข้าถึงตัวอุปกรณ์
●
ข้อเสีย: ใช้งานยากกว่า ต้องเสียบอุปกรณ์เมื่อจะโอนออก
5.CEX vs DEX (กระดานเทรด)CEX (Centralized Exchange) กระดานเทรดที่มีตัวกลางคอยดูแล (เช่น Binance, Bitkub)
● เราฝากเงินไว้กับเขา ถ้าเขาปิดหนี เราอาจสูญเงิน (Not your keys, not your coins)
● เหมาะสำหรับมือใหม่ ใช้งานง่าย มี Call Center
DEX (Decentralized Exchange) กระดานเทรดที่ไม่มีตัวกลาง ทำงานด้วย Smart Contract (เช่น Uniswap, PancakeSwap)
● เราถือครองเหรียญเองในกระเป๋าส่วนตัว (Wallet) เชื่อมต่อแล้วแลกเปลี่ยนเลย
● ปลอดภัยในแง่การเป็นเจ้าของ แต่มีความเสี่ยงเรื่อง Smart Contract Bug หรือการกดลิงก์ปลอม
6.Public Address vs Private Key (เลขบัญชี vs รหัสลับ)นี่คือความเข้าใจผิดที่
"อันตรายที่สุด" เพราะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเงินโดยตรง
Public Address (หรือ Wallet Address) ○ เปรียบเสมือน "เลขที่บัญชีธนาคาร"
○ สิ่งที่ควรทำ: แจกให้คนอื่นได้ เพื่อให้เขาโอนเงินมาให้เรา
○ หน้าตา: มักเป็นรหัสยาวๆ เช่น 0x123abc...
Private Key ○ เปรียบเสมือน "ลายเซ็น" หรือ "รหัส PIN ATM"
○ สิ่งที่ควรทำ: ห้ามให้ใครเห็นเด็ดขาด เก็บไว้เป็นความลับสุดยอด เพราะใครมี Private Key คนนั้นมีสิทธิ์ถอนเงินออกจากกระเป๋า
○ ความเข้าใจผิด: มือใหม่บางคนเผลอส่ง Private Key ให้คนอื่นเพราะคิดว่าเป็นเลขบัญชีสำหรับการโอนเงินเข้า ทำให้ถูกขโมยเงินจนหมด
7.CBDC vs Cryptocurrency (เงินดิจิทัลภาครัฐ vs คริปโทฯ)คนไทยมักสับสนคำว่า "เงินดิจิทัล" (เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต) กับ "คริปโทเคอร์เรนซี" Cryptocurrency (เช่น Bitcoin) เป็นระบบ Decentralized (กระจายศูนย์) ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งคุม รัฐบาลสั่งอายัดไม่ได้ แบงก์ชาติพิมพ์เพิ่มตามใจชอบไม่ได้
CBDC (Central Bank Digital Currency - เช่น เงินบาทดิจิทัล) เป็นระบบ Centralized (รวมศูนย์) ออกโดยธนาคารกลาง มีมูลค่าเท่าเงินสดเป๊ะๆ รัฐบาลควบคุมได้ 100% ตรวจสอบได้ว่าใครโอนให้ใคร
สรุป: ทั้งคู่เป็น Digital Currency เหมือนกัน แต่ "อุดมการณ์" และ "คนคุม" ต่างกันคนละขั้ว
8.APR vs APY (ดอกเบี้ยทบต้นหรือไม่?)เวลาคุณนำเหรียญไปฝาก (Staking) หรือปล่อยกู้ (Lending) จะเห็นตัวเลขผลตอบแทน 2 ตัวนี้ ซึ่งมือใหม่มักดูแค่ตัวเลขที่สูงกว่าโดยไม่เข้าใจความหมาย
APR (Annual Percentage Rate) อัตราดอกเบี้ยแบบ "ไม่ทบต้น" ○ เช่น ฝาก 100 ได้ดอกเบี้ย 10% ต่อปี = สิ้นปีได้ 110
APY (Annual Percentage Yield) อัตราผลตอบแทนแบบ "ทบต้น" (Compound Interest)
○ คือการเอากำไรที่ได้ในแต่ละวัน/เดือน มาฝากกลับเข้าไปใหม่เรื่อยๆ (Snowball effect)
○ ความเข้าใจผิด: เว็บไซต์มักโชว์เลข APY ที่สูงเวอร์ (เช่น 1,000%) เพื่อดึงดูดใจ แต่ในความเป็นจริงคุณต้องขยันกด Re-invest (ฝากทบ) เองบ่อยๆ ถึงจะได้ตัวเลขนั้น ถ้าฝากทิ้งไว้เฉยๆ ผลตอบแทนจริงจะต่ำกว่าที่เห็นมาก
9.NFT vs JPEG (ความเป็นเจ้าของ vs รูปภาพ)หลายคนยังแซวว่า NFT คือการซื้อรูป JPEG แพงๆ ทั้งที่กดคลิกขวา Save Image ก็ได้
○ รูปภาพ (Image) คือสิ่งที่ตาเห็น ใครก็ Save ไปดูได้
○ NFT (Non-Fungible Token) คือ "โฉนด" ดิจิทัลที่อยู่บนบล็อกเชน ที่ระบุว่า "ใครคือเจ้าของรูปต้นฉบับที่แท้จริง"
○ เปรียบเทียบ: ใครๆ ก็ถ่ายรูปภาพ "โฉนดที่ดิน" หรือถ่ายรูป "ภาพวาดโมนาลิซ่า" มาเก็บไว้ในมือถือได้ แต่ไม่ได้แปลว่าคุณมีสิทธิ์ในที่ดินผืนนั้นหรือเป็นเจ้าของภาพวาดนั้นจริงๆ ... NFT คือตัวยืนยันสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ ไม่ใช่ตัวรูปภาพ
10.Coin Burning (การเผาเหรียญ) ○ เมื่อได้ยินข่าวว่าเหรียญ BNB หรือ SHIB มีการ
"Burn" หลายคนนึกถึงการเอาแบงก์ไปจุดไฟเผาจริงๆ
○ ความหมาย
การโอนเหรียญไปยัง "Dead Wallet" (กระเป๋าที่ไม่มีใครในโลกมี Private Key หรือกุญแจไข) ○ ผลลัพธ์ เหรียญเหล่านั้นจะออกจากระบบหมุนเวียนถาวร (เอาออกมาใช้ไม่ได้อีกแล้ว)
○
เพื่ออะไร? เมื่อ Supply (จำนวนของ) ลดลง แต่ Demand (ความต้องการ) เท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น ตามหลักเศรษฐศาสตร์ ราคาของเหรียญ
"ควรจะ" เพิ่มขึ้น (Deflationary Mechanism)
บทสรุป การแยกแยะระหว่าง Coin และ Token ช่วยให้คุณประเมินมูลค่าของเหรียญได้แม่นยำขึ้น หากคุณลงทุนใน Coin คุณกำลังลงทุนใน "โครงสร้างพื้นฐาน" (Infrastructure) แต่หากคุณลงทุนใน Token คุณกำลังลงทุนใน "ธุรกิจหรือแอปพลิเคชัน" (DApps) บนระบบนั้น
ความรู้ความเข้าใจในศัพท์พื้นฐานเหล่านี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของการเรียกชื่อให้ถูก แต่เป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงด่านแรกที่จะช่วยให้คุณไม่หลงกลไปกับการปั่นราคาหรือโปรเจกต์ที่ไม่มีพื้นฐานรองรับ