ข่าว:

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - support-1

#1
ColorLine คือ อินดิเคเตอร์ (Indicator) ที่ถูกออกแบบมาให้ช่วยในการวิเคราะห์กราฟใน MT-5 ที่มีสีสันสวยงาม แต่แฝงมาด้วยมุมมองที่ช่วยให้การมองกราฟเป็นเรื่องง่าย

714.jpg

                                                          ภาพแสดงถึงอินดิคเตอร์ พร้อมทั้งหัวข้อ ColorLine คืออะไร

ColorLine คือ เส้นสีค่าเฉลี่ย ที่มาจากเส้น Moving Average ที่หลาย ๆ คนรู้จักกันดี แต่ที่แตกต่างจากนั้นคือ จะมีการเปลี่ยนสีทุก ๆ 100 แท่ง โดยสีที่มีทั้งหมดนั่นก็คือ สีเขียว น้ำเงิน และแดง โดยจะสลับหมุนเวียนกันไปในทุก ๆ 100 แท่ง ในทุก ๆ ไทม์เฟรมที่เลือกใช้ เพื่อให้ง่ายสำหรับการดูแนวโน้มในแบบที่เป็นค่าเฉลี่ย

ทำไมจะต้องใช้ ColorLine

- เมื่อเทรดเดอร์ต้องการดูแนวโน้ม เทรดเดอร์ส่วนใหญ่อาจจะมองตามทฤษฎี เส้นค่าเฉลี่ย หรือเทคนิคใด ๆ ก็ตาม แต่ไม่พิจารณาตามความเป็นจริงเลยว่า ภายใน 100 แท่ง หรือ 100 วันที่ผ่านมา กราฟเกิดแนวโน้มอะไร หรือกำลังสร้างอะไรอยู่
- การมองแนวโน้ม อาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องมองให้ไกลจนเกินไป หรือมองเพียงแนวโน้มระยะสั้นจนเกินไป การมองในระยะที่พอดี จะเหมาะสมต่อเหตุการณ์หรือพฤติกรรมของผู้คน ที่ตอบสนองต่อตลาดอยู่ในชั่วเวลาขณะนั้น
- แนวโน้มใน 100 วัน อาจจะมีนัยสำคัญกว่าแนวโน้มระยะยาว
- แนวโน้มที่น้อยกว่า 100 วัน ไม่อาจที่จะบ่งบอกถึงสถานการณ์ในภาพรวมได้ในขณะนั้น
- การแบ่งสีของแนวโน้ม ทำให้เทรดเดอร์มองปั๊บ รู้ได้ชัดเลยว่าระยะในการมอง โดยประมาณ 100 แท่ง หรือ 100 วันขึ้นอยู่กับไทม์เฟรมที่เทรดเดอร์เลือกใช้
- เส้นค่าเฉลี่ยเสมือนเส้นแนวโน้ม แนวรับ-แนวต้านเคลื่อนที่ โดยมีสีและตามระยะเวลา

ทั้งนี้ เทคนิคในการเทรดหรือการวิเคราะห์กราฟ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความสามารถของเทรดเดอร์แต่ละคน เครื่องมือหรืออินดิเคเตอร์เป็นเพียงส่วนช่วยในการวิเคราะห์ เพื่อให้สามารถมองกราฟเข้าใจบริบทได้โดยง่าย

การมองแนวโน้มใน 100 วันหรือ 100 แท่ง ก็เป็นเพียงมุมมองหนึ่ง ที่เทรดเดอร์สามารถนำไปปรับใช้ เพื่อให้การเทรดมีประสิทธิภาพสูงสุด ขึ้นอยู่กับเทรดเดอร์เองว่าจะเลือกใช้ตามทฤษฎีใด เพราะเทคนิคในการมองกราฟ วิเคราะห์กราฟ เป็นเรื่องของบุคคลจะมีมุมมองที่แตกต่างกัน การใช้ ColorLine ก็เช่นเดียวกัน

ประโยชน์ของ ColorLine ช่วยให้ง่ายในการวิเคราะห์กราฟ

- มองทันที รู้เลยว่า แนวโน้มก่อนหน้า 100 หรือ 200 หรือ 300 มีแนวโน้มหรือทิศทางอย่างไร
- ไม่ต้องมานับแท่งเทียน หรือใช้เวลาในการวิเคราะห์ย้อนหลังมากนัก
- มีสีสันที่สวยงามน่าใช้ แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร
- สามารถนำไปใช้กับทฤษฎีย์หรือเทคนิคอื่น ๆ ได้ดี

ข้อควรระวัง

- เครื่องมือไม่ได้ออกแบบมาให้ส่งสัญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นเพียงส่วนช่วยในการมองกราฟเท่านั้น
- สีไม่ได้มีนัยสำคัญใด ๆ เพียงแบ่งช่วงเวลาตามระยะหรือปริมาณของแท่งเทียน
- ค่าเฉลี่ยไม่ได้มีค่าที่ชัดเจน ไม่สามารถให้จุดเข้าจุดออกได้ชัดเจน
- เทรดเดอร์ควรนำไปใช้ควบคู่กับเทคนิคอื่น ๆ

ตัวอย่าง ColorLine ใน MT-5

ตัวอย่างที่ 1

715.jpg

                                                      ภาพตัวอย่างที่ 1 แสดงถึงการแบ่งสีของเส้น ColorLine ในแต่ละ 100 แท่ง

จากในภาพ ตัวอย่างที่ 1 เมื่อเปิดใช้อินดิเคเตอร์จะเห็นได้ว่ามีเส้นที่มีสีแตกต่างกัน โดยสีจะหมุนวนกันเพียง 3 สี มีสีเขียว สีแดง และสีน้ำเงิน หรือสีที่เทรดเดอร์พอใจสามารถเลือกปรับตั้งค่าสีได้ และในแต่ล่ะสีจะมีกำหนดเพียง 100 แท่ง ไทม์เฟรม Day ก็เท่ากับ 100 วัน

ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อการมองกราฟ หรือวิเคราะห์แนวโน้มก่อนหน้า เพราะการวิเคราะห์แนวโน้ม ไม่อาจจะใช้เพียงเส้นเทรนไลน์ได้เพียงอย่างเดียว ในการวิเคราะห์เชิงปัจจัยพื้นฐาน ส่วนใหญ่แล้วจะเอาเรื่องของระยะเวลา เศรษฐกิจรายไตรมาสมาประกอบการพิจารณา ดังนั้นการใช้เครื่องมือนี้ เท่ากับว่าได้มองกราฟในมุมมองใหม่ ๆ ตามสี หรือกำหนด 100 แท่ง

ตัวอย่างที่ 2

716.jpg

                                         ภาพ ตัวอย่างที่ 2 ภาพการปรับตั้งค่าสีของเส้น เป็นแนวทางให้เทรดเดอร์ปรับได้ตามพอใจ

จากในภาพ ตัวอย่างที่ 2 จะเห็นได้ว่าสีของเครื่องมือ สามารถปรับแต่งได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถปรับแต่งได้นั่นก็คือ เส้นค่าเฉลี่ย โดยเส้นจะถูกกำหนดไปตามค่าพื้นฐานที่ได้สร้างไว้ แต่เมื่อลองเปรียบเทียบกับเส้นค่าเฉลี่ยทั่ว ๆ ไป ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกัน

ถึงอย่างไรก็ตาม ถ้านำไปปรับใช้กับเทคนิคอื่น ๆ ในเรื่องของสัญญาณการเทรดอาจจะใช้ตามเครื่องมือนั้น ๆ แต่ในเรื่องของมุมมองเพื่อประกอบการวิเคราะห์ ก็สามารถใช้ ColorLine ได้ดีเช่นกัน

วิธีเปิดใช้ ColorLine ใน MT-5
ColorLine มีให้ใช้ฟรี ๆ ในโปรแกรม MT-5 เท่านั้น สำหรับผู้ที่สนใจที่จะนำไปใช้เทรด ควรเปิดบัญชีสำหรับ MT-5 และมีวิธีในการเปิดใช้ดังต่อไปนี้

717.jpg

                                                                       ภาพแสดงถึงขั้นตอนในการเปิดใช้งานอินดิเคเตอร์ใน MT-5

1.มองไปทางซ้าย หาคำว่า Indicator แล้วกด + ด้านหน้าเพื่อขยายตัวเลือก
2.มองหาคำว่า Examples กด + ด้านหน้าเพื่อขายตัวเลือก
3.มองหาคำว่า ColorLine ทำการแดรกเมาส์มาวางไว้ในกราฟ
4.จะมีหน้าต่างให้ปรับตั้งค่า เทรดเดอร์สามารถเลือกสี และขนาดของเส้นได้ตามต้องการ
5.เครื่องมือพร้อมใช้งานในทันที

สรุป

การวิเคราะห์กราฟ มันคือการแกะรอยผู้คนส่วนใหญ่ในตลาด ร่องรอยที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะส่งผลต่อปัจจุบันและอนาคต ColorLine คือ เครื่องมือที่จะช่วยให้เข้าใจอดีตว่า ในร้อยวันหรือมากกว่านั้นที่ผ่านมา ผู้คนส่วนใหญ่ตอบสนองอย่างไร

Buy หรือ Sell มากกว่ากัน หรือแรงฝั่งใดที่เป็นตัวกำหนดทิศทาง หน้าที่ของเทรดเดอร์คือ เทรดข้างเดียวกับเทรน หรือข้างเดียวกับคนส่วนใหญ่นั่นเอง

และถ้าจะมีเครื่องมือใดที่ทำให้เข้าใจได้แบบง่าย ๆ ในตอนนี้ ColorLine คือ คำตอบ ที่เทรดเดอร์จะต้องลองนำไปปรับใช้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเทรดและทำกำไรในตลาด Forex
#2
การวิเคราะห์ทางเทคนิค / เทคนิคการใช้ Arbitrage
เมื่อวานนี้ เวลา 02:34:59 ก่อนเที่ยง
ตอนนี้ขอ นำเสนอ triangular arbitrage ชื่อนี้ กำลังมาแรงในวงการ forex ใครที่เทรด forex ต้องเคยได้ยินคำๆนี้ ว่ากันว่า มันเป็นระบบเทรดที่ทำกำไรแบบไร้ความเสี่ยง ไม่มีโอกาสขาดทุน ได้กำไรแบบ100% แต่ในความเป็นจริง ตลาด forex คือตลาดการเงิน ที่โหดหินที่สุด สำหรับเทรดเดอร์ ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ และไม่มีคำว่า100%

 ความรู้เรื่อง arbitrage ที่เจอมากับตัวเอง อาจจะยาวสักหน่อย แต่มันก็มีประโยชน์มาก สำหรับคนที่อยากรู้ความจริง เมื่อหลายปีก่อนเป็นคนหนึ่ง ที่เคยคิดว่าระบบ triangular arbitrage มันใช้กับตลาด forex ได้จริงๆ

703.jpeg

ระบบที่ใช้ตอนนั้น เลือกคู่เงิน USD-EUR-CHF หลักการของมันคือ ใช้สกุลเงิน3คู่มาคานกัน โดยเงินทุกสกุล ต้องมีออร์เดอร์ ทั้ง Buy และ sell ในสกุลเงินเดียวกัน

 

ยกตัวอย่างเช่น Buy EURUSD / Sell EURCHF / Buy USDCHF ใน lot ที่เท่ากัน นั่ก็หมายความว่า เงินสกุล EUR มี ออร์เดอร์ ทั้ง buy และ sell เพราะเมื่อ Buy EURUSD ก็หมายความว่า ซื้อเงินยูโร แต่ขายเงินดอลล่า และเมื่อ Sell EURCHF นั้นก็หมายความว่า เราขายยูโร แต่ซื้อเงินฟรัง จะเห็นได้ว่าเงินสกุลยูโร ตอนนี้ มีทั้ง BUY และ Sell และเมื่อคุณ Buy USDCHF นั่นก็หมายความว่า ซื้อดอลล่าแต่ขายเงินฟรัง ตอนนี้ก็เท่ากับว่า ทุกสกุลเงิน มีออร์เดอร์ ทั้งbuyและsell เหมือนๆกัน ในตอนนั้นผมคิดว่าเมื่อเปิด ออร์เดอร์ค้ำกันแบบนี้ ยังไงซะ มันก็จะไม่มีวันเสีย เพราะถ้าฝั่งที่Buyเสีย แต่ฝั่งที่sellจะต้องบวก เงินใน Balance ต้องไม่มีวันลดลง ตอนนั้น เริ่มทดลองด้วยทุน1000 ใส่ lot 0.1 เข้าออร์เดอร์พร้อมกันทั้ง3คู่ จากการเทรดจริง และBacktest กราฟย้อนหลังสิ่งที่เห็นคือ พอร์ตมันค่อยๆติดลบลงอย่างช้าๆ ก็เลยคิดวิธีแก้พอร์ตติดลบ โดยการเปิดระบบarbitrageเป็น2ชุดเพื่อให้มันเฮดกันอีกทียกตัวอย่างเช่น

 

ชุดที่ (1)...Buy EURUSD...Sell EURCHF...Buy USDCHF...ใน lot ที่เท่ากัน...

ชุดที่ (2)...Sell EURUSD...Buy EURCHF...Sell USDCHF...ใน lot ที่เท่ากันเหมือนชุดที่1...

...จะเห็นได้ว่าการ arbitrage 2ชุดแบบนี้ ไม่ว่ากราฟจะไปทางไหน เงินก็จะไม่หายไปไหนเช่นกัน เพราะถ้า

 

ชุดที่ 1 ดลบ ชุดที่ 2 ก็บวก ปัญหาก็คือ...แล้วเราจะทำกำไรจากการ arbitrage ได้อย่างไร ในเมื่อมันคานกัน ไม่บวกไม่ลบ...เพราะการ arbitrage 2ชุด จะทำให้เงินไหลไปมาระหว่างกัน พอร์ตหนึ่งบวกอีกพอร์ตก็ลบ จากที่ดูโฆษณาในเพจต่างๆ ที่อ้างว่าสามารถ ทำกำไรจากตลาด Forex ด้วยการ arbitrage ซึ่งมีเยอะแยะอยู่เต็มเฟสบุ๊ค ระบบที่ใช้ทำกำไร มีอยู่3แบบหลักๆดังนี้

 

แบบที่ (1) การ arbitrage แบบ2ชุด วิธีทำกำไรก็คือ สมมุติว่ามีทุน 1000 เหรียญ 2พอร์ต ใส่ lot 0.1 เท่ากันหมดทั้ง2พอร์ต เมื่อกราฟวิ่งไปทางฝั่งBuy ฝั่งSell ก็จะติดลบเป็นเรื่องธรรมดา วิธีทำกำไรก็คือ เมื่อกราฟฝั่งที่บวกวิ่งไป เงินในพอร์ตก็จะบวกเพิ่มไปเรื่อยๆ เมื่อพอร์ตฝั่งบวก บวกซัก10%ของพอร์ต คือ100 เหรียญ ก็คัทพอร์ตฝั่งบวก เอาเงินเข้าพอร์ต เงินในพอร์ตที่บวกก็จะมี 1100 เหรียญ...แต่พอร์ตฝั่งที่ลบก็ยังคาอยู่ และก็จะติดลบประมาณ -1120 เหรียญ ที่เพิ่มมา20เหรียญก็คือ ค่า spread และค่า Commissions ที่ต้องจ่ายให้กับโบรคเกอร์นั่นเอง สรุปก็คือ ได้อีกฝั่งก็จะเสียอีกฝั่งเสมอ

วิธีแก้พอร์ตต่อไปก็คือ เปิด arbitrage อีก2ชุด เข้าไปตรงที่ เราคัทพอร์ตที่บวกนั่นแหละ ทำเป็นขั้นบันได ทุกการคัทพอร์ตที่บวก100เหรียญ ก็เปิด arbitrage อีก2ชุด ไปเรื่อยๆ ถ้ากราฟไหลย้อนกลับมา เราก็คัทออร์เดอร์ชุดที่บวก ทีละ100เหรียญ แล้วเข้าชุดใหม่ไปเรื่อยๆ...ก็เท่ากับว่า เมื่อไหร่ที่เราคัทกำไรเข้าพอร์ตก็จะมีอีกพอร์ตติดลบคาใว้เสมอ

 

จากการ Backtest ระบบเทรด arbitrage แบบ2ชุด ย้อนหลัง20ปี ในกรณีที่กราฟ sideway เป็นวงกว้าง ไม่เกิน 1000pip ระบบนี้ก็จะทำกำไรไปได้เรื่อยๆ บางครั้งพอร์ตอาจอยู่ได้นานถึง 4-5 ปี โดยไม่ล้าง แต่ขอเสียของมันคือ ในเมื่อเราคัทฝั่งที่บวก ฝั่งติดลบจะก็ยังคาอยู่เสมอ และก็ไม่สามารถคัทออกได้ เพราะถ้าคัทออก พอร์ตก็จะเสียหายหนัก ที่กำไรมาก็อาจจะเหลือไม่ถึงครึ่ง หรืออาจจะไม่เหลือเลย แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือ ในกรณีที่เราเข้าออร์เดอร์ แล้วเกิดการกระชากของกราฟ แรงๆ อย่างกรณีของคู่ USDCHF เมื่อปี 2010-2011 ก็อาจจะทำให้พอร์ตเสียหาย ถึงขั้นล้างพอร์ตได้

 

แบบที่ (2) การทำกำไรจากค่า rebate จากโบรคเกอร์ โดยปกติแล้ว คนที่เป็น พาร์ทเนอร์กับโบรคเกอร์อยู่แล้ว ก็จะมีค่า Commissions หรือที่เรียกกันว่า ค่า IB การ arbitrage กินค่า IB มีหลักการง่ายๆก็คือ เลือกคู่เงินมา3คู่ แล้วทำการ arbitrage กัน แน่นอนการเปิดออร์เดอร์ครั้งแรก พอร์ตก็จะติดลบทันที่ เพราะจะมีค่า spread หลังจากนั้นก็รอจนกว่า กราฟมันสวิงกับมาบวก หรือพอร์ตไม่ติดลบอีกแล้วค่อยคัทเอาค่า rebate แล้วเริ่มต้นใหม่ แต่การเทรดแบบนี้ เราต้องอ่านกราฟให้ออก ว่ามันจะวิ่งไปในทิศทางไหน เพราะถ้าผิดทิศ พอร์ตก็จะติดลบไปเรื่อยๆจนกู่ไม่กลับได้เหมือนกัน

 

แบบที่ (3) การ arbitrage แบบมีการ martingale หรือการเบิ้ลลอตนั่นเอง...การ arbitrage แบบนี้เมื่อพอร์ตติดลบ ก็ใช้การเบิ้ลลอต เข้าไปช่วยในการแก้พอร์ต เมื่อกราฟสวิงกลับมาบวกก็คัท...ยกตัวอย่างเช่น ทุน 1000 เหรียญ Buy EURUSD / Sell EURCHF / Buy USDCHF ใน lot 0.1 เมื่อพอร์ตติดลบ 100 เหรียญ ก็เบิ้ลลอต โดยการ Buy EURUSD / Sell EURCHF / Buy USDCHFซ้ำอีกครั้ง ใน lot 0.2 และถ้าพอร์ตติดลบต่อไปอีก 300-400 เหรียญ ก็เบิ้ลลอต เป็น 0.4 การ arbitrage แบบนี้จะมีกรอบให้มันสวิงได้ถึง 1000pip รอให้กราฟมันย่อมา1ใน3 ก็สามารถคัทกำไรเข้าพอร์ตได้ ซึ่งความจริงแล้ว ก็ไม่ต่างจากการเทรดแบบ เบิ้ลลอตธรรมดาเท่าไหร่ สิ่งที่ต่างกัน คือlotที่เทรดเท่านั้นแต่ความเสี่ยงและผลตอบแทนพอๆกัน

 

แต่มีความลับอยู่อย่างหนึ่ง ที่คนขายระบบ arbitrageใน Forex เขาไม่ยอมบอกคุณ นั่นคืออัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน ในตลาด Forex ที่ไม่เท่ากัน...ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณ Buy EURUSD ก็หมายความว่า คุณซื้อเงินยูโร แต่คุณขายเงินดอลล่า แต่ด้วยค่าของเงิน ที่มันไม่เท่ากัน ก็เท่ากับว่า คุณใช้เงิน1ดอลล่าไปซื้อเงินยูโรที่มีค่ามากกว่า คุณก็จะได้เงินยูโรมาเพียง 0.85 ยูโร พอเห็นภาพหรือยัง มันมีส่วนต่างกันอยู่ 0.15 ยูโรต่อ1ดอลล่า เพราะฉนั้น การ arbitrage 3 คู่เงิน แล้วใส่ lot 0.1 เท่ากันทั้ง3คู่เงิน มันจึงไม่ได้คานกัน100% เพราะมันมีส่วนต่างของเงินยูโร ที่ใหญ่กว่าเพื่อนอยู่ 0.15 ยูโร นั่นคือสาเหตุว่าทำไมการ arbitrage 3คู่เงิน ถึงมีการติดลบได้...เพราะฉนั้นการทำ arbitrage ใน Forex จึงไม่ต่างอะไรกับการเทรด แบบธรรมดาๆนั้นเอง...ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณใช้พอร์ต 10000 เหรียญ ใส่ lot 1.0 ทั้ง3คู่ เช่น Buy EURUSD lot 1.0 / Sell EURCHF lot 1.0 / Buy USDCHF lot 1.0 พอร์ตของคุณก็อาจจะสวิงบวกลบได้เป็นธรรมดา เพราะมันมีส่วนต่างของค่าเงินอยู่ 0.15 ต่อยูโร ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่มีทุน 10000 เหรียญแล้วเทรดด้วย lot 0.15

 

แต่ถ้าการ arbitrage ของคุณใส่ lot ไม่เท่ากันล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น...ยกตัวอย่างเช่น Buy EURUSD lot 1.0 Sell EURCHF lot 1.0 แต่ Buy USDCHF ใส่ lot 1.15 คราวนี้ล่ะจะเป็นการคานคู่เงินของจริงแต่พอร์ตก็จะติดลบค่าspreadตลอดเวลาไม่สามารถทำกำไรได้

หัวใจสำคัญ ของการ arbitrage ที่เคยทำมาในอดีต คือซื้ออีกตลาดหนึ่ง แล้วไปขายอีกตลาดหนึ่ง เพื่อหากำไรจากส่วนต่างของราคา ที่ไม่เท่ากัน

แต่ในตลาด Forex จะมีการถ่าง spread ในขณะที่กราฟกระชาก ซึ่งแต่ละโบรค เขาก็ป้องกัน ระบบพวกนี้ใว้อยู่แล้ว จึงไม่มีทางที่จะทำกำไร จากการ arbitrage ในตลาด Forex โดยผ่านโบรกเกอร์เหล่านี้ได้เลย โดยเฉพาะ การ arbitrage ในโบรคเดียวกัน จึงแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะมันผิดหลักการ

 

แล้วเขาจะได้อะไรจากการarbitrageแบบปลอมๆนี้ อย่างแรกเลย เขาจะได้ค่า rebate หรือ ค่า IB จากโบรคเกอร์และถ้าเป็นกองทุน ค่า rebate ก็จะเพิ่มขึ้น ตามจำนวนเงินที่เข้าเทรด คงไม่ต้องบอกว่าจะได้มากมายขนาดไหนไปคิดเอาเอง

อย่างที่2 คือค่า Commissions ในการเทรด หรือค่าดูแลระบบ เขาอาจจะหักจากผลกำไร 10-20% แล้วแต่เงื่อนไขของกองทุน ซึ่งความจริงแล้วกำไรที่ว่าก็คือ เงินของผู้ที่เอาไปฝากให้เขาเทรดนั่นเอง เพราะฝั่งกำไรเขาคัทเอามาแบ่งกัน แต่ฝั่งที่ขาดทุนคุณก็ยังต้องถืออยู่ต่อไป เหมือนคำโบราณว่าอัฐยายซื้อขนมยาย

 

อย่างที่ (3) พวกEA ก็ได้ขายระบบเทรด แน่นอนว่าก็เป็นเม็ดเงินจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน

ท้ายที่สุดที่ได้ประโยชน์สูงสุดก็คือโบรกเกอร์ เพราะการ arbitrage ต้องทิ้งเงินจำนวนมากแช่ใว้ในโบรกเกอร์ โบรกก็ชอบ และการเปิด lot ในการ arbitrage ก็เป็น lot ใหญ่ แทนที่จะเปิด lot แค่ 0.15 ก็กลายเป็น lot 3.0 โบรคก็ได้ทั้งค่า spread และค่า Commissions เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว เหล่านักล่าก็เลยวินๆกันทุกฝ่าย
#3
หนึ่งในคำถามที่ยากที่สุดที่นักเทรดจะต้องตอบคือ ฉันควรจะซื้อหรือขายดี การกำหนดความเอนเอียงของทิศทางตลาดเป็นแค่การทำความเข้าใจกราฟระดับสูง แนวรับและแนวต้าน พฤติกรรมของราคาและภาพรวมของสิ่งที่น่าจะเกิดที่ทำให้ตลาดจะขยับไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง จนกว่าจะมีบางสิ่งที่มีผลเท่ากันหรือมากกว่าที่อาจจะหยุดทิศทางดังกล่าวและทำให้ตลาดเปลี่ยนทิศทางบนกราฟระดับสูง ความเอนเอียงของทิศทางตลาดมีบทบาทอย่างมากในกลยุทธ์การสวนเทรดแนวโน้มกับการเทรดตามแนวโน้ม สรุปคือ ความเอนเอียงของทิศทางตลาดจะช่วยให้คุณเลือกทิศทางของแนวโน้ม ไม่ว่าจะคุณจะซื้อหรือขาย

เมื่อคุณกำหนดความเอนเอียงของทิศทางตลาดได้แล้ว ว่ากันตามหลักจิตวิทยาแล้ว คุณจะมีความมั่นใจในการทำตามกลยุทธ์การเทรดของเราเพราะคุณทราบอย่างชัดเจนว่าเรามองหาอะไรอยู่ การมีความเอนเอียงของทิศทางตลาด หมายความว่า เราไม่ได้เป็นแค่นักเทรดที่คอยแต่เทรดตามแนวโน้มของตลาดอีกต่อไป แต่เราวางแผนการเทรดล่วงหน้าและเรามีอารมณ์ร่วมกับตลาดน้อยลงและกลายเป็นนักเทรดที่เก่งกาจยิ่งขึ้น

การพัฒนาความเอนเอียงของทิศทางราคา
พูดตามหลักแล้ว วิธีการที่มีความน่าจะเป็นสูงจะต้องเตรียมการเป็นการล่วงหน้าและกระบวนการพัฒนาความเอนเอียงเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมการดังกล่าว การกำหนดความเอนเอียงของทิศทางตลาดมีสองขั้นตอน

คาดการณ์ว่าราคาน่าจะขึ้น (หรือลง)
เป็นไปตามเงื่อนไขหรือกฎการเทรดที่ช่วยยืนยันความเอนเอียงของตลาดของคุณ
นั่นยังไม่เพียงพอที่จะกำหนดความเอนเอียงของทิศทางตลาดได้และคุณอาจจะต้องมีกฎการเทรดเพื่อช่วยยืนยันความเอนเอียงของตลาดของคุณ มิฉะนั้นแล้วเราอาจจะจบด้วยการคาดการณ์ที่ผิดมากกว่าถูก ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ดีที่ควรมีและจะช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จของคุณอย่างแน่นอน การเทรดเป็นมากกว่าแค่วิธีการที่เราคิดเกี่ยวกับเทคนิคการเข้าหรือแผนการเทรดของเรา ตามจริงแล้ว เราสามารถพูดได้ว่าบางทีอาจจะเกี่ยวกับกระบวนการคิดเหนือสิ่งอื่นใด เราคิด วิเคราะห์และได้ข้อตัดสินใจหรือข้อสรุป หลังจากที่เราได้ความเอนเอียงของทิศทางตลาดแล้ว เราพยายามดำเนินการตามความคิดของเราและในราคาที่ดีเพื่อที่เราจะสามารถทำกำไรได้

ความเอนเอียงของทิศทางราคาต่อพฤติกรรมของราคา
วิธีการกำหนดความเอนเอียงของทิศทางตลาดที่ง่ายที่สุดคือ ผ่านพฤติกรรมของราคา หากราคาขยับสูงขึ้น ทำให้จุดต่ำสุดใหม่สูงขึ้น (Higher lows) และจุดสูงสุดใหม่สูงขึ้น (Higher highs) นักเทรดควรกำหนดความเอนเอียงของทิศทางตลาดเพื่อซื้อ หากราคาลดตัวลง ทำให้จุดต่ำสุดใหม่ต่ำลง (Lower lows) และจุดสูงสุดใหม่ต่ำลง (Lower highs) นักเทรดควรกำหนดความเอนเอียงของทิศทางตลาดเพื่อขายเท่านั้น สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด คุณจำเป็นต้องมีเงื่อนไขการเกิดเพื่อยืนยันความเอนเอียงของคุณและคุณสามารถใช้กลยุทธ์ของคุณเองหรือคุณจะใช้ กลยุทธ์แรงส่งของราคา Forex ก็ได้

856.jpg

                                                                 ภาพ 1: กราฟรายวันของ USD/JPY

ความเอนเอียงของทิศทางผ่าน Moving averages
ความเอนเอียงของทิศทางตลาดสามารถประเมินผ่านการใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคอย่าง Moving averages ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค Moving average 200 วันถือเป็นหนึ่งใน Moving averages ที่มีประสิทธิภาพที่สุด พูดง่ายๆ คือ หากราคาเทรดอยู่เหนือ Moving average 200 วัน นักเทรดควรกำหนดความเอนเอียงของทิศทางตลาดเพื่อซื้อและถ้าหากราคาเทรดอยู่ต่ำกว่า Moving average 200 วัน นักเทรดควรกำหนดความเอนเอียงของทิศทางตลาดเพื่อขาย

857.jpg

                                                               ภาพ 2: กราฟรายวันของ AUD/USD

สรุป
กระบวนการพัฒนาความเอนเอียงของทิศทางตลาดต้องทำให้เรียบง่ายที่สุด มิฉะนั้น อาจจะนำไปสู่การเป็นอัมพาตจากการวิเคราะห์และทำให้การเทรดของคุณสับสนยิ่งขึ้น ความเอนเอียงของทิศทางตลาดสามารถใช้เป็นตัวกรองเพิ่มเติมสำหรับกลยุทธ์การเทรดที่มีอยู่แล้วของคุณ สรุปคือ การมีความเอนเอียงของทิศทางตลาดจะบังคับให้คุณเทรดตามแนวโน้มหลักเท่านั้น ด้วยตลาดมีแนวโน้มที่จะขยับอย่างผันผวนเป็นช่วงๆ โดยไม่มีความเอนเอียงของทิศทางตลาดที่แน่นอน คุณจะต้องมีวินัยพอที่จะไม่เปิดสัญญาซื้อขายเมื่อไม่สามารถกำหนดความเอนเอียงของทิศทางตลาดที่ชัดเจนได้
#4
รูปแบบ chart pattern สำหรับเทรดสวนเทรนที่นิยมกัน และถ้าเข้าใจตรรกะที่อยู่เบื้องหลังก็จะมีโอกาสทกำไรได้ตั้งแต่จุดแรกๆ หลังจากที่ขาใหญ่เปิดเผยว่าเข้าเทรดเพื่อทำให้เทรนเปลี่ยน รูปแบบคือ Head and Shoulders อาจมีชื่ออื่นๆ ที่ได้ยินเช่น Quasimodo หรือ Over and Under ที่ส่วนมากจะเกิดช่วงที่ตลาดช่วง Top หรือ Bottom พอดี เพราะ chart pattern นี้เป็นรูปแบบที่เห็นตอนเทรนเปลี่ยนเป็นหลัก เกิดขึ้นเป็นโครงสร้างต้นตอของการเปลี่ยนเทรน แล้วราคาก็จะเริ่มทำเทรนอีกข้าง จนไปทำ Top หรือ Bottom แล้ว เกิดอีกเปลี่ยนเทรนอีกเป็นวัฏจักรด้าน technical analysis

รูปแบบ Head and Shoulders

670.png

ดูจากภาพที่อธิบายเรื่องรูปชอง chart pattern นี้ท่านจะเห็นว่าไม่ยากเท่าไร เป็นการที่ราคาทำเทรนขึ้นมาแล้วดันขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วก็ทำ High พื้นที่เดียวกัน 3 จุด มีตัวกลางที่สูงกว่าพวก Higher High ตัวกลางต่อเนื่องจากเทรนที่ทำขึ้นมา หรือการพัฒนาการของเทรนด้วย swing highs/lows นั่นเอง กลายเป็นการทำเทรนขึ้นหรือ Higher Highs ตามด้วย Higher Low ตามลำดับขึ้นไป และมีพื้นที่ที่เป็น supply หรือ resistance อยู่ด้านบนด้วย ดังนั้นส่วนประกอบจะเป็นดังนี้

•   ราคาทำเทรนขึ้นด้วย Higher Highs ตามด้วย Higher Lows

•   มาถึงจุด Left Shoulder ราคาก็ทำ Higher High ที่เลข 1 ตามหลักการของการทำเทรน

•   ตามด้วยทำ Higher Low  ที่เลข 2

•   ราคาเบรค High ที่เลข 1 ขึ้นไปทำ New High หรือ Higher High ได้ที่เลข 3

•   ตอนการย่อตัวลงมาทำ High Low ไม่ได้แบบก่อน ราคาเบรคจุดที่เคยคาดว่าจะเป็น Higher Low ยิ่งกว่านั้นราคายังได้ลงมาเบรค High Low ที่เลข 2 ได้ด้วย กลายเป็นราคาทำ Lower Low เกิดขึ้นแทน ตรงส่วนที่เลข 2 โดยเบรคนี้ละที่ทำให้เทรดเดอร์มองว่า chart pattern แบบ Head and Shoulders เกิดขึ้น

•   การเปิดเทรดทั่วไปเมื่อราคาขึ้นไปทำ Right Shoulder ที่เลข 5 แล้วหักหัวลงมา และเบรคพื้นที่เลข 2 ก็จะเป็นโอกาสเทรด เทรดเมื่อราคากลับมาทดสอบ หรือเทรดเดอร์ที่เข้าใจหลักการออเดอร์ที่อยู่เบื้องหลังก็จะเปิดเทรดตั้งแต่ที่เลข 5 ตอนราคาขึ้นไปเลย [แต่จะเห็นว่าที่เลข 5 มีการตีกรอบไว้ เนื่องจากราคาไม่ได้มีรูปแบบที่เปิดเทรดง่าย และขาใหญ่ต้องการ liquidity เพื่อเข้าเทรดด้วย อาจเห็นราคาดันขึ้นมาหนือที่เลข 3 แล้วไปต่อสักระยะ เพราะเทรดเดอร์ที่เปิดเทรดตอน Right Shoulder เกิดขึ้นก็จะกำหนด stop loss ไว้ด้านบน ที่เลข 3 เลยเป็นพื้นที่ liquidity ที่ขาใหญ่หาได้ง่ายเพื่อเข้าเทรดก่อนที่จะดันราคาลงไป]

ตรรกะที่ทำให้ Header and Shoulders เกิดขึ้น

671.png

สิ่งสำคัญเพื่อจะได้รู้ทันว่าขาใหญ่จะปั่นราคาที่ chart pattern หรือเปล่า ต้องเข้าใจตรรกะและเรื่องของ liqudity และขาใหญ่เทรดอย่างไร เพราะต้องไม่ลืมอย่างหนึ่งว่า chart pattern มักจะดึงดูดเทรดต่างๆ ให้หันมาสนใจ ทั้งการเปิดเทรดและการจัดการออเดอร์เลยเกิดขึ้นเยอะ ต้องรู้ว่าความรู้ทั่วไปในการเทรดแต่ละ chart pattern อย่างไร และเข้าใจ liquidity ที่เกิดขึ้น พอเทรนเกิดขึ้นเพราะการพัฒนา swing highs/lows ก็จะมีเทรดเดอร์ 3 กลุ่มหลักๆ คือ เทรดเดอร์ประเภทเปิดเทรดตอน Breakout

เทรดเดอร์ประเภทเปิดเทรดตามเทรน และเทรดเดอร์ประเภทเปิดเทรดสวนเทรนเกิดขึ้น จากที่อธิบายภาพด้านบนจุดที่เลข 2 ที่ราคาได้เบรคและทำ Lower Low ได้นั้นคือตรงที่บอกว่าจะเกิดรูปแบบ Head and Shoulders เกิดขึ้น เพราะราคาได้เบรคเทรดเดอร์ที่เป็น Breakout Trader ลงด้วยทำให้พวกเขาติดลบ ซึ่งส่วนมากก็จะจำต้องออกจากตลาดเพื่อจำกัดความเสี่ยง การออกจากตลาดของพวกเขายังดันราคาให้ลงมาแตะ stop loss ของเทรดเดอร์ที่เปิดเทรดตามเทรน Trend Traders ด้วย เลยยิ่งทำให้เกิด selling pressure มากขึ้นเมื่อมองผ่าน price structure เพราะทั้ง stop orders ที่มาจากเทรดเดอร์ Breakout traders และ Trend Traders กลายมาเป็น Sell market orders

ดังนั้นพอ Breakout มีการยืนยันด้วยการทำ Lower Low ได้ ก็จะส่งข้อมูลไป เทรดเดอร์ที่รอเข้าเทรดก็จะเห็นโอกาสว่าขาใหญ่ทำสิ่งนี้ให้เกิดหรือเปล่า และเทรดเดอร์ที่อยู่ในตลาดยังไม่ได้ออกถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นสวนกับทางที่พวกเขาเปิดเทรด เขาก็จะเริ่มหันมาออกเป็นหลัก ด้วยการดูจุดที่ราคาเริ่มเบรคลงมา คือที่ตรงพื้นที่ Left Shoulder เป็นส่วนมาก ถ้าราคาไม่ไปต่อตรงนั้นหรือเป็นรูปแบบ price action เปิดเผยว่ามีการเด้งอย่างแรง ตรงพื้นที่ Right Shoulder เลยเป็นโอกาสเปิดเทรดสำหรับเทรดเดอร์ที่เข้าใจตรรกะตรงนี้ สามารถเปิดเทรดได้ก่อนเทรดเดอร์ที่เปิดเทรดตาม pattern ที่เปิดเทรดตอนราคาเบรคด้านล่าง

แต่เนื่องจากขาใหญ่เข้าใจเรื่องของ liquidity ที่เกิดจากการเทรดเปิดเทรดตรง Right Shoulder ด้วยว่าเมื่อเปิดเทรดแล้วกำหนด stop loss ตรงไหน ก็จะเห็นว่ามีการดันราคาขึ้นไปอีก ทำเป็นหลอกให้เกิดตรงส่วน Head ของรูปแบบนี้แล้วค่อยลงมา

672.png

ตัวอย่างแรกด้านบนที่ราคากลับจากเทรนขึ้นเป็นเทรนลง อย่างที่บอกตัวแปรสำคัญอยู่ที่วงกลม ถ้าเปลี่ยนเทรนขึ้นเป็นเทรนลง ต้องเห็นราคาเบรคการพัฒนาการของเทรนคือเห็นราคาเบรค Low สามารถทำ Lower Low ใหม่ได้ ตรรกะสำคัญอย่างที่อธิบายไว้ด้านบนว่าออเดอร์เบื้องหลังและขาใหญ่ใช้ประโยชน์อย่างไรจาก liquidity ที่จะมาจากออเดอร์พวกนี้ ทั้งที่จำต้อง (stop orders) หรือเพราะข้อมูลใหม่ที่เปิดเผยออกมาแล้วเทรดตาม (เทรดตามเทรนหรือตอนราคากลับมาทดสอบหลังจาก impulsive move ที่ทำให้เกิด breakout ตามโครงสร้างของ Head and Shoulders)   ส่วนด้านล่างก็เช่นกันแค่ประยุกต์ตรรกะตรงกันข้ามกันเท่านั้น
#5
กลยุทธ์การเทรดอีกอย่างที่ถือว่าเรียนรู้และง่ายต่อการนำไปเทรด เพราะเป็นแค่การอ่านและทำความเข้าใจเรื่องของ วอลลูมที่เพิ่มขึ้นในช่วงตอนเปิดตลาดลอนดอนเป็นหลักคือ London Breakout ด้วยการดูว่าเมื่อเปิดตลาดช่วงลอนดอนมา 1-3 ชั่วโมงแรกเกิดการ Breakout ของช่วงตลาดที่เปิดมาแต่เช้าก่อนหรือเปล่า ถ้าเกิดก็ให้เทรดทางนั้นเป็นหลัก ซึ่งอาจมีผลมาถึงช่วงตลาดอเมริกาเปิดด้วย

เข้าใจช่วงตลาดก่อน

211.png

ตลาดประกอบด้วย 4 ช่วงหลัก คือ Sydney, Tokyo, London และ New York หรืออาจเรียกช่วงรวมกันระหว่าง Sydne และ Tokyo เป็นช่วง Asia ก็ได้ ก็จะเหลือแค่ 3 ช่วงหลักๆ คือ ช่วงเอเชีย (Sydney + Tokyo) ช่วงยุโรป (London) และช่วงอเมริกา (New York) เมื่อดูชาร์ตที่ประกอบด้วยช่วงตลาด ท่านจะเห็นว่าแต่ละวันส่วนมากช่วงตลาดเอเชียราคาจะ sideway เป็นหลัก ยกเว้นมีข่าวเป็นบางวัน เพราะตลาดการเงินหลักของโลกอยู่ที่ยุโรปและอเมริกา ดังนั้นเมื่อช่วงตลาด London หรือช่วงตลาดยุโรปเปิดขึ้นมา มักจะมี volatility เพิ่มขึ้นทันที ทำให้ volume เริ่มเพิ่มขึ้น ก็เลยเป็นโอกาสที่เทรดเดอร์เห็นความเพิ่มขึ้นของ volatility ที่เริ่มเกิดขึ้น ถ้าเป็น Breakout ช่วงก่อนหรือช่วง Asia มักจะเปิดโอกาสให้เทรดตาม Breakout ทางที่เกิดขึ้นนั้นๆ เป็นการเทรดแบบง่าย ด้วยการดู 1-3 ชั่วโมงแรกของช่วงตลาดลอนดอนว่าได้มี Breakout เกิดขึ้นหรือไม่ ส่วนมากก็จะเทรดคู่พวก GBP เช่น GBPUSD GBPJPY GBPAUD EURGBP เป็นต้น แต่คู่อื่นๆ เช่น EURUSD ก็เทรดได้เช่นกัน

Timeframe ไหนเหมาะสำหรับเทรด London Breakout

รอให้ช่วงตลาด Asia ปิดก่อน เมื่อตลาดลอนดอนเปิด ดูว่า 1-3 ชั่วโมงแรก แค่ดูเรื่องของ price action และเข้าใจเรื่องของ Breakout ว่าราคาเบรคกรอบช่วงแรกของวันหรือช่วงตลาด Asia ไปทางไหน อาจมองได้ว่าช่วง Asia เป็นกรอบแนวรับ-แนวต้านก็ว่าได้ เมื่อราคาเบรคทางไหนก็หาโอกาสเทรดตาม เทรดไปทางนั้นๆ เท่านั้นเอง ส่วนเรื่องของ timeframe ที่ใช้ในการกำหนด Breakout แนะนำให้ใช้ H1 เป็นหลัก เพราะถ้าเป็น H4 หรือ D1 ก็จะใหญ่เกินสำหรับการหารายละเอียด แต่ก็ควรจะใช้เพื่อกำหนดกรอบเทรนระยะยาวด้วย  แต่ถ้าเป็น M15 หรือ M30 ข้อมูลอาจน้อยไปสำหรับการกำหนดเทรน เลยแนะนำให้ใช้ชาร์ต H1 เป็นหลัก แต่ท่านอาจใช้ multi-timeframe analysis ประกอบเพื่อมองภาพรวมและจุดที่เข้าได้อย่างชัดเจน

เทรด London Breakout อย่างไร

212.png


วิธีการหลักสำหรับเทรด London Breakout คือการเทรด Breakout นั่นเอง ใช้ช่วงเวลาตลาดเข้ามาเป็นตัวกำหนดว่าเกิด Breakout ทางไหนในช่วง 1-3 ชั่วโมงแรกหรือไม่ เมื่อตลาดลอนดอนเปิดมา ดังนั้นอาจบอกว่า กรอบราคาที่เกิดก่อนช่วง Asia เป็นกรอบแนวรับ-แนวต้านไปในตัวก็ว่าได้ ดังนั้นการเปิดเทรดเมื่อเห็นราคาเบรคกรอบแนวรับ-แนวต้านหลักๆ ที่กลยุทธ์นี้เป็นที่สนใจเพราะเรื่องของ volatility ที่เกิดขึ้นเมื่อตลาดยุโรปเปิดขึ้นมา โดยการเทรดสามารถใช้ได้กับหลายคู่เงินไม่ใช่แค่ GBP เท่านั้น อาจเป็น EURUSD หรือ USDJPY ได้ด้วย โดยให้เปิดชาร์ต H1 ขึ้นมาเป็นหลัก เพราะโอกาสเทรดสำหรับเทรดเดอร์ คือ 1-3 ชั่วโมงแรก ก็จะดูได้ง่ายและเห็นเทรนชัดเจนพอ  เช่นตัวอย่างภาพด้านบนเป็นคู่เงิน EURUSD เมื่อเราเปิดด้วยชาร์ต H1 ก็จะเห็นชัดว่า 1-3 ชั่วโมงแรกที่ต้องการโฟกัส และอาจมีการวิเคราะห์ต่าง timeframe ประกอบเพื่อภาพรวม เมื่อราคาเบรคไปทางไหน อย่างในภาพเป็นการเบรคลงมา จากนั้นเมื่อมอง price action ท่านจะเห็นว่าจะทำเทรนไปทางนั้นทั้งวัน แม้ช่วงตลาดอเมริกาหรือ New York เปิดมา หลักการในการเปิดเทรดคือเมื่อเห็นราคาเบรคก็เปิดเทรดได้เลย หรือบางทีอาจมีการกลับมาเทสอย่างรวดเร็วก็เปิดโอกาสให้เทรดได้ เนื่องจากการเทรดอิง Breakout ที่คาดว่าจะเกิดแต่ละวัน ดังนั้นกลยุทธ์การเทรดจะเน้นปิด position ที่เปิดภาพวันนั้นๆ เป็นหลัก

การเปิดเทรดก็เหมือนหลักการเทรด Breakout ทั่วๆ ไปคือการใช้ stop orders เช่น ถ้าราคาเบรคขึ้นบนก็เป็น buy stop orders ถ้าราคาเบรคลงล่างก็ใช้ sell stop orders และยังจะได้พวก stop loss orders จากเทรดเดอร์ที่เปิดเทรดช่วงก่อนหรือช่วง Asia มาเป็นตัวเร่งด้วย หรืออาจใช้เรื่องของ trailing stop มาช่วยก็ได้ แต่ต้องมีการกำหนด pips ขั้นต่ำ แต่ต้องระวังเพราะอาจโดนล่า stop ก่อนก็ได้ เพราะเรื่องของ volatility ที่เกิดขึ้นก่อนที่ราคาจะไปทาง Breakout จริงๆ ส่วนเรื่องของการปิดหรือทำกำไร หลักการเบื้องต้นคือปิดเมื่อช่วงตลาด London ปิด แต่ถ้าท่านเข้าใจหลักการ การส่งต่อออเดอร์ และเทรดเดอร์ที่ถือ positions อยู่ในตลาด แนะนำให้ใช้ price level ที่เคยเกิดเป็นตัวกำหนดแทน

การส่งต่อออเดอร์ของแต่ละวัน

213.png

การที่จะเทรดเรื่องของ London breakout ได้ดี ท่านต้องเข้าใจความต่อเนื่องของออเดอร์ที่ส่งต่อกันระหว่างวัน เพราะว่าในการเปิดเทรดนั้น ขาใหญ่ไม่ได้เปิดเทรดทางเดียวแล้วดันราคาไปต่อเลยจนจบ มีการปิดกำไรเพื่อสะสม หรือมีการปั่นราคาเพื่อหาโอกาสเข้าเทรดอีกรอบ นี่เป็นเรื่องที่พวกเขาชำนาญ เราต้องดู price structure ที่เกิดขึ้นแต่ละวัน โดยเฉพาะที่เกิดช่วง London และ New York เป็นช่วงตลาดการเงินหลักของโลก ดูว่าช่วง Asia โต้ตอบกับ price level ที่เกิด 2 ช่วงนั้นในวันก่อนอย่างไรต่อเนื่องกัน ก็จะมองออกง่ายว่าท่านจะเทรด London Breakout ทางไหนดี ด้วยการมองย้อนกลับมา เช่นการมอง ให้มองวันที่ 3 ก่อน ดูการ rejection ที่เกิดระหว่างช่วง London และ New York โดยเฉพาะที่ 2 ช่วงยังเปิดอยู่ สัมพันธ์กับวันที่ 2 อย่างไร วันที่ 2 สัมพันธ์กับวันที่ 1 อย่างไร จะเห็นว่าช่วง Asia ของวันที่กำหนดเทรด London Breakout เป็นแค่ช่วงพักหรือ sideway แต่ยังอยู่ในอิทธพลของวันที่ 3 อย่างชัดเจน และวันที่ 3 ที่ราคาลงมาเทส support ของวันที่ 2 ราคาก็ไม่สามารถเอาชนะ swap level หรือ resistance ที่เปิดเผยวันที่ 2 และมีการเทสอีกรอบวันที่ 3 ได้ เมื่ออ่านความต่อเนื่องพวกนี้เป็น แล้วมี London Breakout เกิดขึ้นสัมพันธ์กัน ท่านจะกล้าปล่อยกำไรให้ยาวด้วยความมั่นใจได้ เพราะความเป็นไปได้สูงอยู่ข้างที่ท่านเปิดเทรด
#6
  GIMMEE BAR เป็นรูปแบบกราฟราคาแท่งเทียน แบบคลาสสิก สำหรับการเข้าทำการซื้อขายในช่วง ตลาดไม่มีเทรน หรือช่วง SIDE WAY TREND น่ะเอง ผู้ที่แนะนำวิธีนี้ คือ JOE ROSS ผู้ซึ่งถูกทั้ง เทรดเดอร์และนักการศึกษาที่มีประสบการณ์ ร่วมกันกล่าว ว่าเขาเป็นนักเขียนหนังสือเกี่ยวกับการค้าที่มีชื่อเสียง

   กลยุทธ์การซื้อขายนี้ คือการมองหาการกลับตัวลงจากด้านบนสุดของขอบช่วงกราฟราคาแท่งเทียน หรือการกลับตัวขึ้นจากด้านล่างของช่วงกราฟราคาแท่งเทียนเช่นกัน

   ในบทความนี้ จะใช้เครื่องบ่งชี้ BOLLINGER BAND เพื่อช่วยในการมองหาแท่ง GIMMEE BAR แน่นอนว่า เทรดเดอร์อาจใช้เครื่องบ่งชี้ตัวอื่นๆ ได้ ให้เทรดเดอร์หมั่นฝึกฝนและค้นหาเครื่องบ่งชี้ตัวที่ เทรดเดอร์ถนัด หรือถ้าเทรเดอร์ฝึกฝนมากพอ อาจไม่ต้องใช้เครื่องบ่งชี้ตัวไหนเข้าช่วยก็เป็นได้

553.jpg

  กฎ - ของการเข้าทำการซื้อกับ GIMMEE BAR
 
กลยุทธ์การเข้าทำการเปิดคำสั่ง ซื้อ

•   กราฟราคาแท่งเทียนต้องมีขอบเขตช่วงราคา

•   กราฟราคาจะต้องอยู่ในช่วงด้านล่างของ เครื่องบ่งชี้ BOLLINGER BAND

•   ให้รอกราฟราคาแท่งเทียน แท่งที่เป็นขาขึ้น (นี่คือ แท่งเทียน GIMMEE BAR)

•   เข้าทำการเปิดคำสั่งซื้อ ที่ด้านบนของแท่งเทียน GEMMEE

  กลยุทธ์การเข้าทำการเปิดคำสั่ง ขาย

•   กราฟราคาแท่งเทียนต้องมีขอบเขตช่วงราคา

•   กราฟราคาจะต้องอยู่ในช่วงด้านบนของ เครื่องบ่งชี้ BOLLINGER BAND

•   ให้รอกราฟราคาแท่งเทียน แท่งที่เป็นขาลง (นี่คือ แท่งเทียน GIMMEE BAR)

•   เข้าทำการเปิดคำสั่งขาย ที่ ด้านล่างของแท่งเทียน GEMMEE

   ข้อยกเว้นสำคัญของการเข้าทำการซื้อขาย

   JOE ROSS ได้มีการเตือนกับการเข้าทำการซื้อขายด้วย GIMMEE BAR ไว้ว่าให้ระวังการซื้อขายที่มีลักษณะดังต่อไปนี้:

•   แท่งเทียนแท่ง GIMMEE ทับซ้อนกันหรือใกล้เคียงกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

•   แท่งเทียนแท่ง GIMMEE มีช่วงเนื้อเทียนกว้างเมื่อเทียบกับแท่งก่อนหน้า

•   กราฟราคาแท่งเทียน แท่งหลังจากแท่ง GIMMEE มีช่วงว่างกระโดด และมีการเปิดแท่งราคากราฟมากกว่าขอบเขตของ แท่ง GIMMEE BAR

                                                 ตัวอย่าง - สำหรับการเข้าทำการซื้อขายกับ GIMMEE BAR

554.jpg

•   กราฟราคาแท่งเทียน วิ่งอยู่ในกรอบช่วงราคา มีการแตะเส้น  BOLLINGER BANDS ด้านบนเพื่อทดสอบแล้วย้อนกลับเข้ามาใน BOLLINGER BAND อีก โดยไม่สามารถ เบรกราคาทะลุออกไปด้านนอกของเส้น BOLLINGER BAND ได้ เป็นการยืนยันว่า เป็นช่วง ตลาดวิ่งแบบไม่มีแนวโน้ม SIDEWAYS MARKET

•   กราฟราคาแท่งเทียน เริ่มมีการแตะเส้น BOLLINGER ด้านล่าง และมี สัญญาณการกลับตัวของแท่งเทียน ถึงสองครั้ง  ทั้งสองเป็น GIMMEE BARS แต่ตลาดมีเพียงการเรียกตัวที่สองเท่านั้น

•   กราฟราคาเคลื่อนตัวลงมาต่ำกว่าในการเคลื่อนลงมาของรอบแรก ในแนว BOLLINGER BAND ด้านล่าง ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เหมาะสมสำหรับกรอบช่วงเวลาของ  GIMMEE ให้เทรดเดอร์สามารถออกคำสั่ง ซื้อได้

555.jpg

•   กราฟราคาแท่งเทียน วิ่งอยู่ในกรอบช่วงราคา มีการแตะเส้น  BOLLINGER BANDS ด้านล่าง โดยไม่สามารถ เบรกราคาทะลุออกไปด้านนอกของเส้น BOLLINGER BAND ได้ เป็นการยืนยันว่า เป็นช่วง ตลาดวิ่งแบบไม่มีแนวโน้ม SIDEWAYS MARKET

•   กราฟราคาแท่งเทียน เริ่มมีการแตะเส้น BOLLINGER ด้านบน มีการไต่ราคาขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ไม่มี สัญญาณการกลับตัวของแท่งเทียนใดๆ  กราฟราคาลงมาทดสอบ เส้นแนวกลางของ BOLLINGER BAND และขึ้นไปแตะเส้นด้านบนอีกครั้ง

•   จะสังเกตเห็นว่า การไปแตะในครั้งแรก กราฟแท่งเทียนยังไม่มีการส่งสัญญาณใดๆ ว่าจะมีการกลับตัว และมีการแตะรอบสอง ในสังเกตช่วง ช่องของตลาดที่ไม่มีแนวโน้มด้วย เพื่อมองภาพให้กว้าง ว่าตลาดยังเป็นช่วง SIDEWAY MARKET หรือไม่

•   กราฟราคาเคลื่อนตัวขึ้นมาอีกครั้งที่ เส้น BOLLINGER BAND โดยคราวนี้เป็น แท่งสัญญาณการกลับตัว ในแนว BOLLINGER BAND ด้านบน ให้เทรดเดอร์ออกคำสั่งขาย

   ทบทวน - กลยุทธ์การเข้าทำการซื้อขาย แบบคลาสิก -  GIMMEE BAR STYLE

   กลยุทธ์การซื้อขายแบบนี้ คือการรวมระหว่าง BOLLINGER BANDS กับ พฤติกรรมราคา ทั้ง 4 รูปแบบ ได้แก่

•   CONTINUATION – แบบกราฟราคาต่อเนื่อง

•   REVERSAL –  แบบกราฟราคาย้อนกลับ

•   RANGE-BOUND – แบบกราฟราคาอยู่ในกราอบวิ่งแตะไป แตะมา

•   BREAK-OUT – แบบวิ่งทะลุออกไป

   เป็นกลยุทธ์ที่ง่าย เพื่อให้เทรดเดอร์สามารถพัฒนาวิธีการเข้าทำการซื้อขายได้ มากขึ้น คล่องขึ้น  เทรดเดอร์สามารถออกแบบกลยุทธ์ ได้อย่างมากมาย

   ส่วนที่ยาก ที่สุดของการตั้งค่าการซื้อขายแบบนี้ ก็คือการรอการยืนยันว่า ตลาดกำลังไม่มีแนวโน้ม หรือกำลังทำ SIDEWAY TREND นั่นเอง

   หากตลาดอยู่ในช่วงการซื้อขาย ช่วงที่มีแนวโน้ม ไม่ว่าจะเป็นตลาดฝั่งขาขึ้น หรือ ขาลง เทรดเดอร์สามารถใช้รูปแบบการเข้าทำการซื้อขายแบบ GIMMER BAR เพื่อมุ่งหวังผลกำไรเล็ก ๆ ที่อย่างสม่ำเสมอ หรือรูปแบบการกลับตัวของกราฟราคาแท่งเทียนก็สามารถทำงานสร้างผลกำไรได้ดีเช่นเดียวกัน

   การเข้าทำการซื้อขายในเรื่องของการมีระยะขอบนั้น  มีจุดมุ่งหมายสำคัญคือเพื่อผลกำไรที่เล็ก แต่มีความสม่ำเสมอมากๆ  อย่างไรก็ตามเทรดเดอร์ควรคำนึงถึงอัตราส่วนระหว่างเงินลงทุนกับรางวัลต่อความเสี่ยงด้วย

   อย่างไรก็ตามสำหรับตลาดที่ไม่มีแนวโน้มแล้ว การปะทะกันของราคาในช่วงกรอบระยะจะปรับตัวลงตามเครื่องบ่งชี้  BOLLINGER BANDS โดยไม่ต้องผลักดันมากเกินกว่าที่ควร กล่าวคือเมื่อกราฟราคาแตะเส้น UPPER BAND ก็มักจะเด้งลงมาที่ LOWER BAND และก็จะเด้งขึ้นไปที่ UPPER BAND อีก วนอยู่แบบนี้ จนกว่าจะมีการ

เคลื่อนไหวที่รุนแรงขึ้น จึงจะสามารถดันให้ เครื่องบ่งชี้ BOLLINGER BAND เปิดกว้างออกไปได้  ดังนั้นการหยุดให้เทรเดอร์เข้มงวดมาก ๆ เกี่ยวกับการควบคุมความเสี่ยงต่อผลตอบแทนให้ได้

   เทรดเดอร์อย่าลืมที่จะหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่มีความผันผวนสูง เพราะการเข้าทำการซื้อขาย ใน กลยุทธ์นี้ เหมาะสมกับ ตลาดที่ไม่มีแนวโน้ม
#7
POI Forex คืออะไร

POI หรือ Point of Interest เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่สำคัญในตลาด Forex ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถระบุจุดสำคัญในกราฟราคาที่มีโอกาสสูงที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางของตลาด ลองมาทำความเข้าใจแนวคิดนี้และวิธีการใช้งานกัน

POI เป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการระบุระดับราคาที่สำคัญซึ่งตลาดมีแนวโน้มที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางอย่างมีนัยสำคัญ โดยทั่วไปแล้ว POI จะถูกใช้เพื่อระบุโอกาสในการซื้อและขายที่มีศักยภาพ และสามารถประยุกต์ใช้ได้กับคู่สกุลเงินหรือเครื่องมือทางการเงินใดๆ

718.png

                           POI forex คืออะไร

แนวคิดพื้นฐานของ POI

แนวคิดหลักของ POI คือการระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่สำคัญ ซึ่งเป็นบริเวณที่ราคาของคู่สกุลเงินมักจะสะท้อนกลับหรือเปลี่ยนทิศทาง ระดับเหล่านี้มักถูกระบุโดยใช้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคต่างๆ เช่น:

1.ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)
2.Fibonacci Retracements
3.เส้นแนวโน้ม (Trend Lines)
4.รูปแบบแผนภูมิ (Chart Patterns)

719.png

                                                                                  POI กับ indicator

ประโยชน์ของการใช้ POI

1.ลดการตัดสินใจทางอารมณ์: POI ช่วยให้นักเทรดหลีกเลี่ยงการตัดสินใจทางอารมณ์โดยระบุระดับสำคัญที่ควรตั้ง Stop Loss และ Take Profit
2.เพิ่มความแม่นยำ: สามารถใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อยืนยันสัญญาณการเทรด
3.ปรับใช้ได้หลากหลาย: สามารถใช้ได้กับหลายกรอบเวลาและเครื่องมือทางการเงิน

ประเภทของ POI

1.POI แนวนอน: ระบุระดับแนวรับและแนวต้านจากการเคลื่อนไหวของราคาในอดีต
2.POI เส้นแนวโน้ม: ใช้การวาดเส้นแนวโน้มเพื่อระบุระดับสำคัญ
3.POI Fibonacci: ใช้ Fibonacci Retracements เพื่อระบุระดับสำคัญ

720.png

                                                                                     ประเภทของ POI

วิธีใช้ POI อย่างมีประสิทธิภาพ

1.ศึกษาการวิเคราะห์ทางเทคนิคและทักษะการอ่านกราฟให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
2.ฝึกฝนการระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่สำคัญ
3.เรียนรู้วิธีการตั้ง Stop Loss และ Take Profit ที่เหมาะสม
4.ใช้บัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อฝึกฝนก่อนเริ่มเทรดด้วยเงินจริง

การใช้ POI ร่วมกับ Order Blocks

Order Blocks เป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่สามารถใช้ร่วมกับ POI เพื่อเพิ่มโอกาสในการเทรดที่มีประสิทธิภาพ:

1.ระบุ Order Blocks: หาพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดและมีความไม่สมดุลของราคา
2.ใช้ POI ในการเข้าเทรด: กำหนดจุดเข้าเทรดโดยใช้ POI ในบริเวณ Order Blocks
3.จัดการความเสี่ยง: ใช้ Premium Zones สำหรับการขาย และ Discount Zones สำหรับการซื้อ

สรุป

POI เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักเทรด Forex ในการระบุระดับราคาสำคัญที่มีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางของตลาด การใช้ POI อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยความเข้าใจในการวิเคราะห์ทางเทคนิคและทักษะการอ่านกราฟ เมื่อใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น Order Blocks POI สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการเทรดที่ประสบความสำเร็จในตลาด Forex ได้
#8
การช่วยเพิ่มกำไรโดยใช้ Indicator เข้ามาช่วยดูแนวโน้มของราคา ในบทความนี้ จะขอแชร์ Indicator สุดเจ๋งอีกหนึ่งตัวที่ใช้อยู่เป็นประจำ จึงได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเขียนวิธีการใช้ง่ายอย่างระเอียดในหัวข้อ กลยุทธ์ทำกำไรอย่างยั่งยืน ด้วยการใช้ Indicator Rate-Of-Change ( ROC ) และยังมี Indicator ที่เหมาะสำหรับมือใหม่ ที่อยากแนะนำให้ลองใช้กันก่อนเพื่อที่คุณจะสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้เข้าใจมากขึ้น

Rate-of-Change (ROC) คืออะไร ?

Indicator ROC คือ เครื่องมือช่วยหาอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคา เป็นการดูโมเมนตัมอย่างตรงไปตรงมามากที่สุด เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานในการเทรดได้หลากหลายรูปแบบ ถึงแม้ Indicator ROC จะดูเรียบง่าย แต่มันมีประสิทธิภาพที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว

การนำ Rate-Of-Change ไปใช้ในการเทรด
Rate-of-Change หรือ ROC Indicator เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดโมเมนตัมเพียว ๆ โดยดูจากเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงการขึ้นลงของราคาตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งตามหลักทั่วไป เครื่องมือที่วัดโมเมนตัมมักจะเหมาะกับตลาดที่เป็น Sideway แต่ก็สามารถนำมาใช้ในการดูแน้วโน้มการกลับตัวของราคา เพื่อที่เราจะได้ตามเทรดด้วยเช่นกัน

วิธีการดูแนวโน้มจาก ROC
เราสามารถปรับค่า Period ของ ROC ให้ยาวขึ้น เพื่อที่จะสามารถดูแนวโน้มของราคาได้ โดยทั่วไป ค่า Period ที่ 250 วัน แทนระยะเวลา 1 ปี (กรณีดูแนวโน้มระยะยาว), ดู 125 วัน แทนครึ่งปี, ดู 63 วัน แทน 1 ไตรมาส และดู 21 วัน แทน 1 เดือน

การดูแนวโน้ม ROC
การดูแนวโน้ม ROC นั้น เพียงแค่เราสังเกตกราฟว่า

- ROC > 0 = แนวโน้มขาขึ้น
- ROC < 0 = แนวโน้มขาลง

76.png

ตัวอย่างกราฟราคากับ ROC 250 วัน จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ ROC ลงต่ำกว่าระดับ 0 แสดงถึง แนวโน้มขาลง จนกระทั่ง ROC กลับขึ้นมาเหนือระดับ 0 ถึงจะเป็นสัญญาณของรอบขาขึ้น ที่จะกลับเข้ามาอีกครั้ง

การดูสัญญาณ Overbought / Oversold จาก ROC
ธรรมชาติของราคาจะเกิดการแกว่งตัวของราคาเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้น ขาลง หรือ Sideway แม้ในช่วงขาขึ้น จะเห็นได้ว่า ก็จะมีจังหวะการย่อตัวสั้น ๆ แล้วค่อยขึ้นต่อ ตรงกันข้ามกับขาลง ก็จะมีการฟื้นตัวสั้น ๆ แล้วค่อยลงต่อ ซึ่งจังหวะการแกว่งตัวของราคานี้ เราสามารถใช้เป็นโอกาสในการเข้าทำกำไรได้ ทั้งนี้ ROC สามารถดู Overbought/Oversold เพื่อหาจุดกลับตัวในระยะสั้นได้เช่นเดียวกัน

77.png

ตัวอย่างกราฟกับ ROC 12 วัน โดยใช้ระดับ Oversold ที่บริเวณ -5% จะเห็นได้ว่าเมื่อ ROC ลงมาต่ำกว่าระดับ -5% มักจะเป็น Low ของรอบการแกว่งตัว สามารถใช้จับจังหวะในการสร้างกำไรได้

ทั้งนี้การ Set ระดับ Overbought/Oversold บน ROC ของหุ้น หรือสินทรัพย์ในแต่ละตัวจะไม่เท่ากัน บางตัวผันผวนมาก ก็อาจใช้ระดับ -15% เป็นระดับ Oversold หรือบางตัวผันผวนน้อย ก็อาจใช้ระดับ -5% เป็นระดับ Oversold ต้องดูพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่ผ่านมาประกอบด้วย

การเทรด Overbought/Oversold ใน ROC จะมีอยู่ 3 อย่างหลัก ๆ คือ

1.ในแนวโน้มขาลง : ดู Overbought ในรอบการฟื้นตัว เพื่อหาจังหวะขาย (Short)
2.ในแนวโน้มขาขึ้น : ดู Oversold ในรอบการย่อตัว เพื่อหาจังหวะซื้อ (Long)
3.ในแนวโน้ม Sideway : ดูทั้ง Overbought และ Oversold เพื่อจับจังหวะ Trading เล่นรอบ
อย่างที่ 1 และ 2 เป็นการเทรดแนวโน้มหลัก อย่างในช่วงแนวโน้มขาขึ้น การย่อตัวจะสั้นกว่าการปรับตัวขึ้น และในช่วงแนวโน้มขาลง การดีดตัวจะสั้นกว่า การอ่อนตัวลง ซึ่งถ้าเราอยู่ในช่วงที่เป็นแนวโน้มเป็นขาขึ้น ก็เตรียมตัวหาจังหวะที่กราฟย่อต่อลง เพื่อเปิดออเดอร์ซื้อในช่วงที่แนวโน้มเป็นขาลงสั้น ๆ นั่นเอง (ส่วนในฝั่งขาย ก็ตรงกันข้าม) หวังว่าในส่วนนี้ทุกท่านอ่านแล้วคงจะไม่สับสน

การดูสัญญาณ Divergence จาก ROC
เช่นเดียวกัน ROC สามารถดูการเกิด Divergence (สัญญาณการกลับตัว) ระหว่างราคากับ Indicator ได้ ซึ่งจะเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มในอนาคต

78.png

ตัวอย่างการเกิดสัญญาณ Bullish divergence ระหว่างราคาหุ้น DTAC กับ ROC 20 วัน จะเห็นได้ว่า ในช่วงที่ราคาทำ Lower Low (Low ใหม่) แต่ ROC กลับยกฐานสูงขึ้น (Higher Low) เป็นสัญญาณ Bullish Divergence แสดงถึงโมเมนตัมการลงที่อ่อนแรง เป็นสัญญาณที่บอกว่า ราคามีโอกาสเปลี่ยนแนวโน้ม

สรุปการใช้ Rate-Of-Change (ROC)
Rate-of-Change Oscillator เป็นเครื่องมือที่วัดอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคา สามารถดูโมเมนตัมการแกว่งตัวของราคาได้เป็นอย่างดี เพราะ ROC เป็นเครื่องมือที่ใช้หลักการของ Momentum แบบ 100% เลย สามารถวิเคราะห์ได้หลากหลาย ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้กับระบบของตัวเอง เพื่อสร้างกำไรในการเทรดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สุดท้ายนี้ การใช้เครื่องมือ Indicator เข้ามาช่วยนั้น ไม่ได้การันตีว่าเราจะวิเคราะห์ถูก 100% แต่มันช่วยให้เราสามารถหาเทคนิคที่เหมาะสมกับตัวเอง เพื่อนำมาปรับใช้ให้เกิดอัตราการชนะตลาดให้สูงเท่าที่จะเป็นไปได้ และที่สำคัญเรื่องของการใช้ Indicator นั้น ไม่ได้ถูกจำกัดว่า ต้องใช้แค่เพียง 1 ตัว เท่านั้น เราสามารถนำ Indicator หลาย ๆ ตัวมาประยุกต์เข้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ร่วมกันได้ ถ้าคุณกลัวกว่าการใช้หลายตัวพร้อม ๆ กัน จะทำให้สับสน
#9
การวิเคราะห์ทางเทคนิค / เทคนิคการใช้ Fractal
พฤศจิกายน 25, 2025, 02:49:58 หลังเที่ยง
เทคนิคการใช้ Fractal

เมื่อดูกราฟราคาของคู่ forex ต่างๆ การเคลื่อนไหวของราคาอาจปรากฏขึ้นแบบสุ่มบนกราฟประเภทใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นแผนภูมิเส้น แผนภูมิแท่ง หรือแผนภูมิแท่งเทียน แต่เมื่อพิจารณาอย่างใกล้ชิดในแผนภูมิแท่งเทียนแล้ว จะสามารถระบุรูปแบบแท่งเทียนซ้ำแบบต่างๆ ได้อย่างชัดเจน

รูปแบบแท่งเทียนรูปแบบหนึ่งที่ใช้ส่วนใหญ่เมื่อสร้างแผนภูมิและดำเนินการวิเคราะห์ทางเทคนิคของตลาดการเงินและอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉพาะ คือ Fractals

Fractal เป็นคำศัพท์ทั่วไปและรูปแบบแท่งเทียนที่สำคัญมากซึ่งนักเทรด Forex มืออาชีพใช้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อให้มองเห็นความผันผวน โครงสร้างตลาด และความเอนเอียงของทิศทางของอัตราแลกเปลี่ยนหรือคู่สกุลเงินได้ชัดเจนขึ้น

วิธีการระบุรูปแบบเศษส่วน
Fractals เป็นรูปแบบการกลับตัวของแท่งเทียนห้าแท่งต้นแบบที่สร้างส่วนบนและส่วนล่างของการเคลื่อนไหวของราคาเมื่อใดก็ตามที่เปลี่ยนทิศทาง

 

เศษส่วนหยาบคาย สามารถระบุได้ด้วยแท่งเทียนสองแท่งที่มีจุดสูงสุดบนต่อเนื่องกันจากด้านซ้าย แท่งเทียนหนึ่งแท่งที่ด้านบนและแท่งเทียนสองแท่งที่มีค่าระดับสูงที่ต่ำที่ต่อเนื่องกันที่ด้านขวา

รูปภาพของเศษส่วนขาลง

424.png

เศษส่วนขาลงจะได้รับการยืนยันเมื่อแท่งเทียนที่ 5 ซื้อขายต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งเทียนที่ 4 เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น โมเมนตัมของการเคลื่อนไหวของราคาคาดว่าจะซื้อขายที่ต่ำลงต่อไปจนกว่าจะถึงระดับแนวรับ

 

เศษส่วนรั้น สามารถระบุได้ด้วยแท่งเทียนสองแท่งที่มีจุดต่ำสุดที่ต่ำกว่าติดต่อกันจากด้านซ้าย แท่งเทียนหนึ่งแท่งที่ด้านล่างและแท่งเทียนสองแท่งที่มีจุดต่ำสุดที่สูงกว่าที่ด้านขวา

รูปภาพของเศษส่วนรั้น

425.png

เศษส่วนรั้นจะได้รับการยืนยันเมื่อแท่งเทียนที่ 5 ซื้อขายเหนือระดับสูงสุดของเชิงเทียนที่ 4 เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น คาดว่าราคาจะซื้อขายต่อไปที่สูงขึ้นจนกว่าจะถึงระดับแนวต้าน

 

รูปแบบราคาทั่วไปนี้เรียกอีกอย่างว่า swing high, ring high หรือ swing low, ring low

เคล็ดลับที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับรูปแบบเศษส่วน
Fractals ใช้เพื่อระบุโมเมนตัมปัจจุบันหรืออคติของทิศทางของคู่ forex/currency เพื่อให้ผู้ค้าสามารถซิงค์กับทิศทางปัจจุบันของการเคลื่อนไหวของราคาและกำไรจากโมเมนตัมในราคา แต่ข้อบกพร่องคือมันไม่ได้ทำนายการกลับตัวหรือ เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ของราคาที่จุดสูงสุดของ bearish fractal หรือที่จุดต่ำสุดที่แน่นอนสำหรับ bullish fractal กลยุทธ์การซื้อขายแลกเปลี่ยนเศษส่วนใช้ได้กับรูปแบบการซื้อขายทั้งหมด เช่น การถลกหนัง การซื้อขายระยะสั้น การซื้อขายสวิง และการซื้อขายตำแหน่ง ข้อเสียของการซื้อขายแบบสวิงและการซื้อขายตำแหน่งบนแผนภูมิกรอบเวลาที่สูงกว่าคือการตั้งค่าใช้เวลานานขึ้นและแม้กระทั่งหลายสัปดาห์กว่าจะก่อตัว แต่ความถี่ของการตั้งค่าสำหรับการซื้อขายระยะสั้นและการถลกหนังนั้นค่อนข้างจะเหมาะสมในการฝึกฝน ขยายและเพิ่มขนาดบัญชีของคุณเป็นสองเท่าอย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงเวลา ของ 1 ปี

ตัวบ่งชี้อัตราแลกเปลี่ยนเศษส่วน
ข่าวดีสำหรับผู้เช่าเหมาลำและนักวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้แฟร็กทัลในการวิเคราะห์ตลาดฟอเร็กซ์ของพวกเขาคือ นักเทรดไม่จำเป็นต้องระบุแฟร็กทัลด้วยตนเอง แต่สามารถกำหนดกระบวนการระบุอัตโนมัติได้โดยใช้ตัวบ่งชี้แฟร็กทัลฟอเร็กซ์ที่มีอยู่ในแพลตฟอร์มการสร้างแผนภูมิ เช่น mt4 และ Tradingview

ตัวบ่งชี้เศษส่วนเป็นหนึ่งในตัวบ่งชี้ในส่วน Bill Williams เนื่องจากทั้งหมดได้รับการพัฒนาโดย Bill Williams นักวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีชื่อเสียงและผู้ค้า forex ที่ประสบความสำเร็จ

รูปภาพของตัวบ่งชี้ Bill Williams และตัวบ่งชี้เศษส่วน

426.png
427.png

ตัวบ่งชี้ช่วยในการระบุเศษส่วนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้และถูกต้องด้วยเครื่องหมายลูกศรจึงให้ข้อมูลเชิงลึกแก่ผู้ค้าเกี่ยวกับพฤติกรรมในอดีตและโครงสร้างของการเคลื่อนไหวของราคาและตัวบ่งชี้ยังระบุสัญญาณเศษส่วนที่เกิดขึ้นในแบบเรียลไทม์สำหรับผู้ค้าเพื่อทำกำไรจากโมเมนตัมปัจจุบันหรือ ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคา

 

คำแนะนำในการซื้อขาย forex fractals อย่างมีประสิทธิภาพ
การซื้อขายสัญญาณเศษส่วนสามารถมีประสิทธิภาพมากและให้ผลกำไรสูงเมื่อการตั้งค่าการค้าขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์โครงสร้างตลาด แนวโน้ม และการรวมกันของตัวบ่งชี้อื่น ๆ แต่ที่นี่เราจะพูดถึงกลยุทธ์การซื้อขายเศษส่วน forex ง่ายๆ ที่ใช้เฉพาะเครื่องมือ Fibonacci สำหรับการตั้งค่าการบรรจบกัน

ระดับการย้อนกลับของ Fibonacci ใช้เพื่อเลือกรายการที่เหมาะสมที่สุด และระดับส่วนขยาย Fibonacci ใช้สำหรับเป้าหมายกำไรในการซื้อขายระยะสั้นและการถลกหนัง คุณอาจต้องอ่านขั้นตอนต่อไปนี้ของแผนการซื้อขายอีกครั้งเพื่อทำความเข้าใจกลยุทธ์การซื้อขายแลกเปลี่ยนเศษส่วนนี้อย่างเหมาะสม

แผนการซื้อขายสำหรับการตั้งค่าการซื้อขายระยะสั้นและระยะสั้น

 

ขั้นตอนที่ 1: ระบุความเอนเอียงรายวันแบบรั้นโดยการแบ่งโครงสร้างตลาดแบบรั้นบนกราฟรายวัน

ได้อย่างไร

รอให้ fractal high หรือ swing high ในกราฟรายวันทะลุผ่านโดยการเคลื่อนไหวของราคา bullish: นี่จะบ่งบอกถึงระดับ bullish หรือ bullish bias

ไม่ได้หมายความว่าจะซื้อที่นั่น แต่หมายถึงการเตรียมพร้อมสำหรับเกณฑ์เฉพาะเพื่อสำรวจการตั้งค่าการซื้อที่มีแนวโน้มสูง

 

ขั้นตอนที่ 2: รอการกลับตัว ตามด้วย fractal low (swing low) เพื่อสร้างรูปแบบ โปรดทราบว่าการสวิงโลว์นี้ไม่ควรเอาสวิงโลว์ล่าสุดออกไป

โดยสรุป เรามีโครงสร้างตลาดที่เป็นขาขึ้นและจุดต่ำสุดที่สูงกว่าในรูปแบบของการพักตัวหลังจากการพักตัวของจุดสูงสุดในระยะสั้น นี่หมายถึงการรอให้ผู้เข้าร่วมตลาดรายใหญ่กลับมาอยู่ในแนวเดียวกับโมเมนตัมที่กลับหัวกลับหาง

 

ขั้นตอนที่ 3: ที่การก่อตัวของ swing low ให้คาดการณ์จุดสูงสุดของแท่งเทียนรายวันที่ 4 ที่จะทำการซื้อขายในวันถัดไป หากสิ่งนี้เกิดขึ้น โมเมนตัมบนกราฟรายวันมักจะยังคงเคลื่อนไหวต่อไปอีกสองสามวัน

ดังนั้น เราจะมองหาเหตุผลที่จะรั้นกับระดับ Fibonacci retracement ทั้งระยะสั้นและระยะสั้น

สำหรับการตั้งค่าการค้าระยะสั้นโดยใช้ระดับการย้อนกลับของฟีโบนักชี

- หลังจากเกิด swing low ในกราฟรายวัน

- เลื่อนลงไปที่กรอบเวลา 4 ชั่วโมงหรือ 1 ชั่วโมง

- เลิกทำตัวบ่งชี้เศษส่วนบนแผนภูมิ

- ใช้เครื่องมือ Fibonacci เพื่อค้นหาการตั้งค่าการเข้าเทรดระยะยาวที่เหมาะสมที่สุดที่ระดับ Fibonacci retracement (50%, 61.8% หรือ 78.6%) ของการเคลื่อนไหวของราคาที่มีนัยสำคัญ

- เป้าหมายกำไร 50 - 200 pips เป็นไปได้

 

สำหรับการตั้งค่าการซื้อขายหนังศีรษะหรือระหว่างวันโดยใช้ระดับการย้อนกลับของฟีโบนักชี

- เมื่ออคติรายวันได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นขาขึ้น - เราจะเลื่อนลงไปที่กรอบเวลาที่ต่ำกว่าระหว่าง (1 ชั่วโมง - 5 นาที) เพื่อกำหนดเป้าหมายการบุกบนสภาพคล่องเหนือระดับต่ำสุดในวันก่อนหน้าในกรอบเวลาที่ต่ำกว่า (1 ชั่วโมง - 5 นาที)

- จะมีการย้อนกลับในหรือก่อน 7 น. ตามเวลานิวยอร์ก

- ระหว่างเวลา 7-9 น. ตามเวลานิวยอร์ก เราจะใช้เครื่องมือ Fibonacci เพื่อค้นหาการตั้งค่าการเข้าเทรดระยะยาวที่เหมาะสมที่สุดที่ระดับ Fibonacci retracement ทั้ง 50%, 61.8% หรือ 78.6%

- สำหรับเป้าหมายกำไร คาดว่าราคาจะไปถึงเป้าหมายที่ 1, 2 หรือการแกว่งของราคาแบบสมมาตรที่ระดับส่วนขยาย Fibonacci

- ตั้งเป้าหมายกำไรขั้นต่ำ 20 - 25 pips

 

ตัวอย่างคลาสสิกของการตั้งค่าการซื้อขายหนังศีรษะใน EURUSD

428.png

แผนการซื้อขายสำหรับระยะสั้นและการถลกหนังขายการตั้งค่าการค้า

 

ขั้นตอนที่ 1 ขั้นตอนแรกคือการระบุอคติรายวันแบบหยาบคายโดยการแบ่งโครงสร้างตลาด

ได้อย่างไร

ในกราฟรายวัน รอให้ fractal low หรือ swing low ก่อตัวและทะลุผ่านโดยการเคลื่อนไหวของราคาแบบหมี: สิ่งนี้จะบ่งบอกถึงระดับขาลงหรือขาลง

ไม่ได้หมายถึงการขายตรงนั้น แต่หมายถึงการเตรียมพร้อมสำหรับกรอบงานเฉพาะเพื่อสำรวจการตั้งค่าการขายที่มีแนวโน้มสูง

 

ขั้นตอนที่ 2 รอการกลับตัว ตามด้วย fractal high (swing high) เพื่อสร้างรูปแบบ นี่หมายถึงการรอให้ผู้เข้าร่วมตลาดรายใหญ่กลับมาอยู่ในแนวเดียวกับโมเมนตัมขาลงหลังจากการถอยกลับ

 

โปรดทราบว่าวงสวิงสูงนี้ไม่ควรเอาวงสวิงสูงล่าสุดออกไป

โดยสรุป เรามีการทะลุโครงสร้างตลาดขาลง ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่ต่ำกว่าในรูปแบบของการกลับตัวหลังจากการทะลุผ่านจุดต่ำสุดในระยะสั้น จากนั้นรอให้ผู้เข้าร่วมตลาดรายใหญ่กลับมาอยู่ในแนวเดียวกันกับโมเมนตัมขาลงที่ขาลง

 

ขั้นตอนที่ 3: ที่การก่อตัวของ swing high ให้คาดการณ์จุดต่ำสุดของแท่งเทียนรายวันที่ 4 ที่จะทำการซื้อขายในวันถัดไป หากเกิดเหตุการณ์นี้ โมเมนตัมในกราฟรายวันมักจะลดลงเป็นเวลาสองสามวัน ดังนั้น เราจะมองหาเหตุผลที่จะเป็นขาลงด้วยระดับการถอยกลับของ Fibonacci ทั้งระยะสั้นและระยะยาว

สำหรับการตั้งค่าการค้าขายระยะสั้นที่มีระดับการถอยกลับของฟีโบนักชี

 

- หลังจากที่ swing high ได้ก่อตัวขึ้นในกราฟรายวัน

- เลื่อนลงไปที่กรอบเวลา 4 ชั่วโมงหรือ 1 ชั่วโมง

- เลิกทำตัวบ่งชี้เศษส่วนบนแผนภูมิ

- ใช้เครื่องมือ Fibonacci เพื่อค้นหาการตั้งค่าการขายเพื่อการเข้าเทรดที่เหมาะสมที่สุดที่ระดับ Fibonacci retracement (50%, 61.8% หรือ 78.6%) ของการเคลื่อนไหวของราคาขาลงอย่างมีนัยสำคัญ

- เป้าหมายกำไร 50 - 200 pips เป็นไปได้

 

ตัวอย่างคลาสสิกของการตั้งค่าการค้าขายระยะสั้นใน EURUSD

429.png

สำหรับการถลกหนังหรือระหว่างวัน ให้ขายการตั้งค่าการค้าด้วยระดับการย้อนกลับของฟีโบนักชี

- เมื่ออคติรายวันได้รับการยืนยันเป็นขาลงแล้ว - เราจะเลื่อนลงไปที่กรอบเวลาที่ต่ำกว่าระหว่าง (1 ชั่วโมง - 5 นาที) เพื่อกำหนดเป้าหมายการบุกในสภาพคล่องเหนือระดับต่ำสุดในวันก่อนหน้าในกรอบเวลาที่ต่ำกว่า (1 ชั่วโมง - 5 นาที)

- จะมีการย้อนกลับในหรือก่อน 7 น. ตามเวลานิวยอร์ก

- ระหว่างเวลา 7-9 น. ตามเวลานิวยอร์ก เราจะใช้เครื่องมือ Fibonacci เพื่อค้นหาการตั้งค่าการขายการเข้าเทรดที่เหมาะสมที่สุดที่ระดับ Fibonacci retracement (50%, 61.8% หรือ 78.6%) ของการเคลื่อนไหวของราคาที่มีนัยสำคัญ

- สำหรับเป้าหมายกำไร คาดว่าราคาจะไปถึงเป้าหมาย 1, 2 หรือแกว่งราคาสมมาตรในระดับส่วนขยาย Fibonacci หรือมากกว่า ตั้งเป้าหมายกำไรขั้นต่ำ 20 - 25 pips

 

คำแนะนำการบริหารความเสี่ยงที่สำคัญ
 

การตั้งค่านี้จะไม่เกิดขึ้นทุกวัน แต่ถ้าคุณดูบางสาขาวิชาที่จับคู่กับเงินดอลลาร์ การตั้งค่าที่มั่นคงประมาณ 3 - 4 รายการจะเกิดขึ้นในหนึ่งสัปดาห์ ในขณะที่คุณฝึกกลยุทธ์การซื้อขายนี้ในบัญชีทดลอง การฝึกวินัยและการจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะนี่เป็นการป้องกันเพียงอย่างเดียวที่จะทำให้คุณอยู่ในธุรกิจการค้า การใช้ประโยชน์จากการเทรดของคุณจะขัดขวางการพัฒนาของคุณในฐานะเทรดเดอร์ และลดโอกาสที่คุณจะเห็นการเติบโตของหุ้นอย่างมีความรับผิดชอบอย่างมาก

ด้วยกลยุทธ์นี้ คุณต้องการเพียง 50 pip ต่อสัปดาห์ โดยเสี่ยงเพียง 2% ของบัญชีของคุณต่อการตั้งค่าการซื้อขาย จะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 25 pips ในการสร้าง 8% ในบัญชีของคุณทุกเดือนและเพิ่มอิควิตี้ของคุณเป็นสองเท่าโดยการทบต้นในช่วง 12 เดือน

โปรดทราบว่าเวลาที่น่าจะเป็นสูงสุดของวันในการซื้อขายการตั้งค่านี้คือช่วงการซื้อขายในลอนดอนหรือนิวยอร์ก
#10
หลายๆ ท่านที่เข้ามาใหม่ กำลังศึกษาในตลาด forex  อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับคำว่า Margin Call แต่ถ้าได้เข้ามาลงเรือลำเดียวกันแล้ว (เข้ามาอยู่ในวงการเทรด Forex) เชื่อเหลือเกินว่า ต้องมีชักวัน ต้องเจอ Margin Call ถ้าไม่เติมเงิน หรือไม่ยอมตัดขาดทุน พอร์ตโดนล้างแน่ๆ

Margin call (การเรียกหลักประกัน) คือ สัญญาณที่โบรกเกอร์จะส่งให้กับลูกค้า เพื่อเตือนว่าบัญชีซื้อขายของคุณกำลังอยู่ในความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงิน  พูดแบบภาษาบ้านๆ ก็คือ "พอร์ตใกล้แตก" โดยโบรกเกอร์แต่ละเจ้า จะส่งสัญญาณ Margin call เพื่อแจ้งเตือนเมื่อระดับเปอร์เซ็นต์มาร์จิ้นของบัญชีลดลงถึง ระดับที่โบรกเกอร์กำหนด

ถ้าอยากรู้ว่าโบรกเกอร์ กำหนดค่า ระดับเปอร์เซ็น margin call ไว้ที่เท่าไหร่ ให้เข้าไปที่เว็บไซต์โบรกเกอร์ที่คุณใช้ ส่วนใหญ่จะอยู่ในหน้า เงื่อนไขการเทรด หรือ ข้อมูลบัญชีเทรด

ตัวอย่าง การเตือน Margin Call ในแถบ การซื้อขาย ข้อมูล Balance พื้นหลังจะขึ้นเป็นสีชมพู

810.jpg

Margin Call ยังไม่ใช่จุดจบ จุดจบที่แท้จริง คือ Stop out

ทำไงดี หากโดน Margin Call ?

มื่อเดินมาถึงจุดนี้ คุณก็ต้องเลือกว่า  จะไปต่อหรือพอแค่นี้

ถ้า เลือกจะไปต่อ เพราะเชื่อว่า สถานการณ์จะกลับมาดีขึ้น สามารถแก้ไขด้วยการ เพิ่มหลักประกัน   ซึ่งมีอยู่ 2 วิธี คือ

เติมเงินเข้าไปในพอร์ต หรือที่เรียกกันว่า เพิ่มทุนนั้นเอง
ปิดออเดอร์บางส่วน เป็นการลดการใช้ Margin (Used Margin) ทำให้มีหลักประกันเพิ่มขึ้น
....

หรือ คุณเลือกที่จะพอแค่นี้ เพราะเชื่อว่า ออเดอร์ที่ติดลบ คงไม่กลับมาบวกแล้ว ปล่อยให้โดน stop out ถือเป็นบทเรียน ยอมรับความผิดพลาด แล้วมาทบทวน  เริ่มต้นใหม่ กับ ออเดอร์ใหม่ดีกว่า

Stop Out หมายถึงระดับเปอร์เซ็นต์มาร์จิ้นที่ทางโบรกเกอร์กำหนดไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการให้บริการ เมื่อระดับเปอร์เซ็นต์มาร์จิ้นของบัญชีลดลงถึงเปอร์เซ็นต์ที่โบรเกอร์กำหนด โบรกเกอร์ก็จะทำการปิดออเดอร์ ที่มีอยู่ให้อัตโนมัติ เพื่อป้องกันไม่ให้เงินในบัญชีเกิดการติดลบ  ด้วยการปิด ออเดอร์ ที่มีค่าติดลบมากที่สุดตามลำดับ จนกว่าจะมี Free Margin หรือ Equity เพียงพอ  เหตุการณ์นี้แหละ ที่เขาเรียกว่า "ล้างพอร์ต" ของจริง

เหตุไฉนพอร์ตถึงโดน Margin Call ?

มาร์จิ้นคอลจะเกิดขึ้นต่อเมื่อ เปอร์เซ็นต์ส่วนของนักลงทุนในบัญชีหลักประกันต่ำกว่าจำนวนเงินที่นายหน้าหรือโบรกเกอร์ต้องการเพื่ออยู่ในสถานะรักษาพอร์ตไม่ให้โดยล้างนั่นเอง  บัญชีมาร์จิ้นของนักลงทุนประกอบด้วยหลักทรัพย์ที่ซื้อด้วยเงินของนักลงทุนเองและเงินที่ยืมมาจากนายหน้าของนักลงทุน นายหน้าในที่นี้ก็คือ โบรกเกอร์ที่เราเปิดบัญชีเข้ามาเทรดนั่นเอง

มาร์จิ้นคอลมักจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าหลักทรัพย์ที่ถือในบัญชีมาร์จิ้นมีมูลค่าลดลง เมื่อมาร์จิ้นคอลเกิดขึ้น นักลงทุนต้องเลือกว่าจะฝากเงินเพิ่มเติมหลักทรัพย์ที่มีหลักประกันในบัญชีหรือขายสินทรัพย์บางส่วนที่ถืออยู่ในบัญชีของตน

เมื่อเทรดเดอร์ ทำการซื้อ/ขาย ค่าเงิน หรือ CDFs  ต่างๆ (ลงไม้บายหรือเซล) ในพอร์ตของโบรกเกอร์ที่เราถืออยู่ ในแต่ล่ะครั้งนั้น หมายถึงเรากำลังใช้เงินทุนของเรา ร่วมกับเงินที่เรายืมโบรกเกอร์ไปด้วย เพราะเราเทรดแบบมี Leverage ซึ่งเงินที่อยู่ในพอร์ตเเละเงินที่ยืมโบรกเกอร์ดังกล่าวที่ใช้ในการซื้อขายจะเรียกว่ามาจิ้น แล้วเมื่อไหร่ที่เราเปิดไม้ (ออกออเดอร์บายหรือเซล) ผิดทางแล้วโดนลากขาดทุนมากๆ จะมี Margin Call เป็นแถบสีชมพู เพื่อแจ้งเตือนว่า "ขาดทุนมากแล้วนะ พอร์ตจะใกล้แตกหรือโดนล้างแล้วน๋า หากไม่เติมเงินหรือตัดขาดทุนไป พอร์ตจะระเบิด

811.png

มาร์จิ้นคอลเกิดขึ้นเมื่อส่วนของนักลงทุน ซึ่งคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าตลาดรวมของหลักทรัพย์ ต่ำกว่าระดับที่กำหนด (เรียกว่าค่าบำรุงรักษา)

Margin Call เกิดขึ้นเมื่อบัญชี Margin เหลือเงินน้อย โดยปกติแล้วจะเนื่องมาจากการเทรดที่ขาดทุน
การเรียกหลักประกันคือความต้องการเงินทุนหรือหลักทรัพย์เพิ่มเติมเพื่อให้บัญชีหลักประกันเป็นไปตามข้อกำหนดการบำรุงรักษา ฉะนั้นโบรกเกอร์หรือนายหน้าอาจบังคับให้ผู้ค้าขายสินทรัพย์โดยไม่คำนึงถึงราคาตลาดเพื่อให้เป็นไปตามการเรียกหลักประกัน

ตัวอย่างเช่น ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) และหน่วยงานกำกับดูแลอุตสาหกรรมการเงิน (FINRA) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลของบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ที่ดำเนินงานในสหรัฐอเมริกา แต่ละแห่งกำหนดให้นักลงทุนรักษาระดับส่วนของผู้ถือหุ้นไว้ที่ 25% ของมูลค่ารวมของบริษัท หลักทรัพย์เมื่อซื้อมาร์จิ้น
บริษัทนายหน้าบางแห่งต้องการข้อกำหนดในการบำรุงรักษาที่สูงขึ้น ซึ่งบางครั้งอาจมากถึง 30% ถึง 40%

การเรียกหลักประกันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาเนื่องจากมูลค่าบัญชีลดลง อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดผันผวนมากกว่า
#11
การวิเคราะห์ทางเทคนิค / Triple day pullbacks คือ อะไร ?
พฤศจิกายน 21, 2025, 07:28:10 ก่อนเที่ยง
กลยุทธ์การเล่นครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จะได้รับผลกำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศและจะกลับมามีกำไรอีกครั้ง และการออกค่อนข้างชัดเจน

 

การเปิด Long (ฝั่งสั้นตรงกันข้าม)

ADX> 25, + DI> -DI

หรือ ADX> 30, + DI> -DI

เมื่อราคาปรับตัวลดลงต่อเนื่อง 3 วันติดต่อกันเปิดยาวที่ราคาปิดของแท่งวันที่ 3

ออกเมื่อราคาผ่านไป 2 วัน (ไม่มีStop loss )

178.png

ค่า ADX มากกว่า 25 (ADX = 56) และ + DI มากกว่า -DI

ราคาอ่อนตัวลงติดต่อกัน 3 วันเปิดยาวที่ราคาปิดของแท่งที่ 3

ปิดตำแหน่งในแท่งเทียน 2 แท่งถัดไป

สั้นการเปิดฝั่งสั้น

179.png

ค่า ADX มากกว่า 25 (ADX = 38) และ -DI มากกว่า + DI

ราคาอ่อนตัวลงติดต่อกัน 3 วันเข้าสั้นที่ราคาปิดของแท่งที่ 3 ปิดตำแหน่งในแท่งเทียน 2 แท่งถัดไป

จะเห็นได้ว่ามีการตั้งค่าที่เข้าใจได้ง่ายและมีชื่อเสียงการค้าขายสูงในตลาด Forex คนที่อยู่ในสายระบบการค้าสามารถใช้งานได้ง่าย แต่เป็นสิ่งที่พวกเขาตัดสินใจก็สามารถนำไปใช้ในช่วงออกราคาได้เช่นมาก
#12
ในการซื้อขายค่าเงิน หรือการเทรดคู่เงินในตลาด Forex นั้น การหาจังหวะเข้า หรือออกออเดอร์ที่ดีที่สุด ก็เท่ากับเรามีชัยไปกว่าครึ่ง แต่ถ้าหากเราออกออเดอร์ผิดที่ เทรดกี่ทีก็ไม่ได้กำไร ต้องมาเสียเวลาแก้ไขอยู่ร่ำไป จนสุดท้ายก็ต้องไปตายเอาดาบหน้า  กุมชะตากรรม ยอมรับการขาดทุนไปในที่สุด
 

ฉนั้นการรู้จังหวะเข้า รู้จังหวะออก(ออเดอร์) จึงเป็นศาสตร์เชิงกลยุทธ์ที่สำคัญในการเทรดให้ได้กำไร ช่วยให้สามารถอยู่ในตลาดได้นาน เพราะเมื่อเราเริ่มต้นมาดีแล้ว ย่อมมีความได้เปรียบมากกว่าเสียเปรียบนั่นเอง

กลยุทธ์หาจังหวะเข้า หรือจากออกออเดอร์ด้วย Oscillators CCI , MACD

เป็นกลยุทธ์หาจังหวะเข้าออกออเดอร์ง่ายๆ โดยอาศัยสัญญาณที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง จากจุดเข้า-จุดออกในตลาด ซึ่งประกอบด้วย 2 ตัวช่วย(อินดี้) คือการใช้ Oscillators CCI กับ MACD ในหน้าต่างเดียวกัน (ทับซ้อนกัน) ซึ่งจะใช้ได้ผล หรือให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด กับไทมเฟรมที่ M1 – H1 สำหรับไทมเฟรมที่แนะนำคือ M5
การตั้งค่าตัวชี้วัดกำหนดตามนี้คือ

- MACD: Period (Fast EMA – 12, slow EMA – 26, Signal SMA – 2)
- CCI : Period – 14

เนื่องจากเราใช้อินดี้ 2 ตัว (MACD,CCI) ในหน้าต่างเดียวกัน เราจึงต้องลากอินดี้ทั้งสองตัวดังกล่าวมาทับซ้อนกัน โดยไปที่เมนู Navigator >> indicators >> แล้ว MACD ไปยังกราฟก่อน >> จากนั้นลาก CCI ไปทับซ้อนอีกที ในหน้าต่างโซนเดียวกัน และอย่าลืม Set ค่า MACD ไว้ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น

ตัวอย่าง การดึงกราฟมาซ้อนในหน้าต่างเดียวกัน

690.jpg

ตัวอย่างการ Set ค่า MACD: Period (Fast EMA – 12, slow EMA – 26, Signal SMA – 2)

691.jpg

1. การจับหวะหาตำแหน่งเข้า-ออกออเดอร์กรณีซื้อ (ฺBuy)

เปิดออเดอร์ซื้อ (เข้าออเดอร์) เมื่อเส้น CCI (สีฟ้า) ข้ามเส้น +100 จากล่างขึ้นบน ในขณะที่ตัวชี้วัด MACD จะต้องอยู่เหนือเส้นแบ่ง 0

ปิดออเดอร์ซื้อ (ออกจากออเดอร์) เมื่อเส้น CCI ย้อนกลับมาที่ระดับ +100 หรือข้ามขอบ MACD แนะนำดูจากภาพตัวอย่างด้านล่างกรณีซื้อ

692.jpg

2. การจับหวะหาตำแหน่งเข้า-ออกออเดอร์กรณีขาย (ฺSell)

เปิดออเดอร์ขาย (เข้าออเดอร์) เมื่อเส้น CCI (สีฟ้า) ข้ามเส้น -100 ลงมา ในขณะที่ตัวชี้วัด MACD อยู่ต่ำกว่าเส้นแบ่ง 0

ปิดออเดอร์ขาย (ออกจากออเดอร์) เมื่อเส้น CCI ย้อนกลับมาที่ระดับ -100 หรือข้ามขอบ MACD แนะนำดูจากภาพตัวอย่างด้านบนกรณีขาย

ในการเทรดด้วยกลยุทธ์นี้คุณจะต้องเฝ้าติดตามเทอมินัลอ่านตัวชี้วัด เพราะตัวเลือกนี้ไม่ได้ให้ฟังก์ชั่นในการวาง stop loss หรือ take profit

หมายเหตุ: มุมมองผู้เขียนจากการใช้กลยุทธ์นี้ มองว่า กรณีที่จะปิดหรือออกจากออเดอร์ไม่ว่าจะซื้อหรือขายนั้น ควรปิดทันทีเมื่อมองเห็นว่าราคาจะไม่ไปต่อ หรือมันกำลังจะสวนทาง
#13
กราฟแท่งเทียน หรือ Candlestick คือ กราฟประเภทหนึ่ง เหมาะสำหรับใช้ดูความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น กราฟแท่งเทียนถูกคิดค้นขึ้นโดยชาวญี่ปุ่นที่ชื่อว่า Munehisa Homma ในช่วง ค.ศ. 1850

และถูกเผยแพร่ไปสู่ชาวตะวันตก โดยนาย Steve Nison ผู้เขียนหนังสือเรื่อง "Japanese Candlestick Charting Techniques"  กราฟแท่งเทียน ได้รับความนิยม และถูกนำมาใช้แทน กราฟแบบเส้นแบบเดิม เพราะมันสามารถบอกรายละเอียดของข้อมูลราคาได้มากกว่า นี่เป็นตัวอย่างของกราฟแท่งเทียน

253.jpg

ลักษณะของแท่งเทียน
แท่งเทียนจะประกอบไปด้วย ราคาเปิด Open , ราคาปิด Close , ราคาสูงสุด High และ ราคาต่ำสุด Low ในช่วงเวลาที่กำหนด ( แท่งเทียน ที่ใช้ใน SET-SPY นั้น 1 แท่งเทียน จะเท่ากับ การเปลี่ยนแปลงราคา ใน 1 วัน )  เราเรียกลำตัวของแท่งเทียน (ส่วนสีเขียวและสีแดง) ว่า "Body" มันคือส่วนต่างของ ราคาเปิดและราคาปิด ถ้าแท่งเทียนเป็น สีเขียว แสดงให้เห็นว่าราคาปิด สูงกว่า ราคาเปิด  กลับกัน แท่งเทียน เป็น สีแดง แสดงให้เห็นว่า ราคาปิด ต่ำกว่า ราคาเปิด ( กราฟของบางที่อาจใช้ สีขาว แทนขึ้น  และ สีดำ แทนลง ก็ได้ไม่ต่างกัน )  ส่วน เส้น ด้านบน และ ด้านล่าง เราเรียกว่า "Shadow" หรือ "ไส้เทียน" ใช้บอกราคาสูงสุด และต่ำสุด ของวัน เราใช้แท่งเทียน เพื่อบอกข้อมูล จุดสำคัญๆ ของราคา โดยไม่สนใจว่า ภายในวัน ราคาจะวิ่งขึ้นลง อย่างไร

254.jpg

รูปแบบต่างๆ ของ แท่งเทียน
แท่งเทียน 1 แท่ง อาจมีรูปร่างแตกต่างกัน ซึ่งสามารถบ่งบอกความหมายบางอย่างได้ดีเลย
ตัวอย่างเช่น อันที่ 1 และอันที่ 2 เป็นการ ขึ้น และ ลง แบบปกติ ของกราฟหุ้น โดยทั่วไป แต่ถ้าเกิดตัว Body ยืดมากๆ  อย่างอันที่ 3 คือ เปิดที่ราคาต่ำสุดเลย แล้ววิ่งขึ้นไปปิดที่จุดสูงสุดเลย หมายความว่า ขึ้นแรงมาก และ อย่างอันที่ 4 หมายความว่า ลงแรงมาก เป็นต้น
ส่วน อันที่ 5 6 และ 7 อันนี้ เค้าเรียกว่า "โดจิ"  คือ ราคาวิ่งขึ้น วิ่งลง ค่อนข้างมาก แต่สุดท้าย ก็กลับมา ที่จุดใกล้ๆ เดิม  หมายถึง เกิดความสับสน ลังเล มีการ ขาย-ซื้อ เปลี่ยนไปมา จะลงก็ไม่ลง จะขึ้นก็ไม่ขึ้น ( สีเทา คือ ปะป๊าหมายถึง จะเป็นสีเขียว หรือสีแดง หรือจะ เท่ากันจนเป็นเส้น เลยก็ได้ ) แท่งเทียนลักษณะนี้ (อาจ)จะเป็นจุดเปลี่ยน ของทิศทางราคาได้ต้องลองฝึกสังเกตดู

การจัดเรียงของแท่งเทียน ( Candlestick Pattern )ข้อดี ของกราฟแท่งเทียนอีกอย่างหนึ่งก็คือมันมีทฤษฏี เกี่ยวกับ การจัดเรียงของแท่งเทียนแบบต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้เราคาดการณ์อนาคตประกอบการตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างของการจัดเรียง ดูจากรูปภาพด้านล่าง

255.jpg

จากภาพ เราจะเห็นว่าการจัดเรียงของแท่งเทียนในแบบต่างๆ จะมีชื่อเรียกและความหมายต่างกัน
ยกตัวอย่าง เช่น ตัวที่ขีดเส้นใต้สีชมพูเอาไว้
Bullish Grave Stone Doji : หมายถึงราคาลง ลง แล้วเจอลบแรง แล้วเจอหลุมศพ  ต่อไป จะเปลี่ยนเป็น ขึ้น
Hammer : หรือ ค้อน หมายถึง ราคา ลง ลง แล้วเจอค้อน  ต่อไป จะเปลี่ยนเป็น ขึ้น
Inverted Hammer : หรือ ค้อน หมายถึง ราคา ลง ลง แล้วเจอค้อน กลับด้าน  ต่อไป จะเปลี่ยนเป็น ขึ้น
Bearish Grave Stone Doji : หมายถึง ราคาขึ้น ขึ้น ขึ้น เจอบวกแรง เจอหลุมศพ  ต่อไป จะเปลี่ยนเป็น ลง
Shooting Star : หรือ ดาวรุ่ง หมายถึง ราคาขึ้น ขึ้น แล้วเจอ โดจิลง แบบนี้ ต่อไป จะเปลี่ยนเป็น ลง
Hanging Man : หรือ แขวนคอ หมายถึง ราคาขึ้น ขึ้น แล้วเจอ โดจิขึ้น แบบนี้ ต่อไป จะเปลี่ยนเป็น ลง
ประมาณนี้ เป็นต้น
การอ่าน Pattern ของกราฟแท่งเทียนเป็นศิลปะ มีรายละเอียดมาก ต้องเรียนกันเป็นคอร์สใหญ่ แถมยังต้องใช้ ประสบกาณ์ และความชำนาญ ส่วนตัว มากจริงๆ เราเรียนรู้แค่เล็กๆน้อยๆ แล้วไปตีความผิดๆถูกๆไป ก็จะเสี่ยงทำให้เข้าเทรดแล้วเสียหายได้ ต้องระวัง หวังว่าทุกท่านจะอ่านเพื่อทบทวนและได้ความรู้เพิ่มเติมจากตรงนี้บ้างไม่มากก็น้อย
#14
บทความนี้เราจะมาพูดถึงการวิเคราะห์ความแข็งแรงของ Trend หรือแนวโน้มของราคา โดยพิจารณาจากอารมณ์หรือความรู้สึกของคน หรือที่เรียกกันว่า Sentiment Analysis และหนึ่งในวิธีที่เป็นที่นิยมในการวิเคราะห์ทางอารมณ์ ก็คือ การดู Volume การซื้อขาย ควบคู่กับการพยากรณ์ทิศทางราคา หรือ Trend

ความสำคัญของ Volume

อย่างที่นักลงทุนหลาย ๆ คนทราบกันดี Volume คือปริมาณการซื้อขายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งมักจะปรากฏให้เห็นในรูปแบบแท่งด้านล่างของ Platform ถ้าปริมาณการซื้อขาย หรือ Volume สูง ก็หมายความว่ามีนักลงทุนกำลังซื้อขายในตลาดเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันถ้าปริมาณการซื้อขายลดต่ำลง นั่นคือ มีนักลงทุนกำลังซื้อขายในปริมาณที่ลดลง

สำหรับตลาดที่มีการเคลื่อนไหวแบบมีแนวโน้ม คือราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง การใช้ประโยชน์จาก Volume จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับการใช้อินดิเคเตอร์จำพวก Oscillator คือหาระดับราคาที่ Overbought ซื้อมากเกินไป หรือ Oversold ขายมากเกินไป โดยดูจากปริมาณการซื้อขาย ถ้าปริมาณการซื้อขายลดลง นั่นคือความแข็งแรงของแนวโน้มเริ่มลดลง อาจเข้าสู่จุดกลับตัว หรือจุดพักแบบเคลื่อนไหวในกรอบ

58.jpg

โดยทั่วไปแล้ว Volume หรือปริมาณการซื้อขายมักจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการ Support การวิเคราะห์ทางเทคนิค หรือ Technical Analysis โดยจะเป็นตัวยืนยันแนวโน้มว่าขึ้นหรือลงตามที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าราคาถูกกดลงมาอย่างรวดเร็วหลังจากที่แนวโน้มของราคาเป็นแนวโน้มขาขึ้นมาตลอด ซึ่งอาจจะเกิดจากการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อราคา การลดลงอย่างรวดเร็วที่เกิดขึ้นท่ามกลางแนวโน้มขาขึ้นทำให้นักลงทุนไม่สามารถพยากรณ์ได้ว่าสัญญาณนั้นเป็นสัญญาณที่บอกจุดกลับตัว (trend reversal) หรือเป็นเพียงสัญญาณหลอกเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นนำมาสู่การประยุกต์ใช้ Volume กับการวิเคราะห์สัญญาณ เพื่อแก้ปัญหาสัญญาณหลอกที่เกิดขึ้น

การนำ Volume ไปใช้กับการวิเคราะห์ความแข็งแรงของแนวโน้ม

การใช้ Volume เพื่อกรองสัญญาณหลอกนั้น จะใช้โดยการเปรียบเทียบระหว่าง Volume ที่เกิดขึ้น กับ Volume เฉลี่ยใน n ช่วงเวลา ถ้าในบริเวณที่ตลาดส่งสัญญาณคล้ายการกลับตัวนั้น ปริมาณการซื้อขายมีสูงมากกว่าปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย สัญญาณกลับตัวนั้นมีความน่าเชื่อถือสูง แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าปริมาณการซื้อขายที่เกิดขึ้นมีน้อยกว่าปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย สัญญาณนั้นก็มีโอกาสสูงที่จะเป็นสัญญาณหลอก

ข้อสังเกตจากการใช้ปริมาณซื้อขายในการดูความแข็งแรงของแนวโน้ม

ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น ปริมาณการซื้อ (แท่งเขียว) ต้องมากกว่าปริมาณการขาย (แท่งแดง) และในช่วงแนวโน้มขาลง ปริมาณการขาย (แท่งแดง) ต้องมากกว่าปริมาณการซื้อ (แท่งเขียว)

59.jpg

ถ้าราคาปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงเวลาก่อนหน้านั้น หรือราคากระโดดขึ้นทั้งๆที่อยู่ในช่วงแนวโน้มขาลง แต่ Volume การซื้อขายลดลงกว่าปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย เราอาจจะตีความได้ว่า ตลาดยังไม่เข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นที่แท้จริง มีแค่สัญญาณหลอก

60.jpg

เช่นเดียวกับข้อ (2) แต่ปริมาณการซื้อขายมีค่าสูงกว่าปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย สามารถพยากรณ์ได้ว่าราคาเข้าสู่จุดกลับตัว

ในกรณีที่เป็นการเคลื่อนไหวแบบมีแนวโน้ม ถ้าปริมาณการซื้อขายลดลง นั่นคือความแข็งแรงของแนวโน้มเริ่มอ่อนกำลังลง และกำลังจะกลับทิศ หรือเข้าสู่การเคลื่อนที่แบบไร้แนวโน้มในอีกไม่ช้า
#15
 หากเทรดเดอร์ได้เรียนรู้วิธีการเข้าซื้อขายด้วยกราฟราคาแท่งเทียน เทรดเดอร์คงต้องรู้จักและเคยได้ยินชื่อ รูปแบบกราฟแท่งเทียนกลืนกิน (ENGULFING CANDLESTICK) เป็นชื่อที่โดดเด่นและมีรูปแบบที่ชัดเจน ทำให้เป็นรูปแบบกราฟแท่งเทียนที่เป็นที่นิยมมากที่สุด

   กราฟราคารูปแบบแท่งเทียนกลืนกิน (ENGULFING CANDLESTICK) มีแท่งเทียนอยู่ด้วยกันสองแท่งเทียนเป็นหลัก  โดยเนื้อแท่งเทียนที่สองจะต้องสูงยาวกว่าเนื้อแท่งเทียนแรก เป็นการส่งความหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของความเชื่อมั่นในตลาดเลยทีเดียว

519.jpg


   ในกราฟราคารูปแบบแท่งเทียนกลืนกิน (ENGULFING) มีโอกาสสูงมากในการตั้งค่าการซื้อขาย หรือมองหาโอกาสในการเข้าซื้อขายที่ถูกต้อง ให้เทรดเดอร์มองหาวิธีการเข้าซื้อขายที่น่าเชื่อถือได้ อาจจะเป็นการหา เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ และหรือตัววัดค่าการแกว่งของราคา

   อย่างไรก็ตามในการทบทวนนี้ เทรดเดอร์ อาจจะคิดว่าเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ใช้แนวคิดเรื่องโครงสร้างการตลาดเพื่อหาจุดที่ เทรดเดอร์เข้าทำการซื้อขายไปในทิศทางที่ถูกต้อง  โครงสร้างตลาดหมายถึงความสัมพันธ์ของการแกว่งตัวของกราฟราคาในจุดที่สูงสุด กับจุดที่ต่ำสุด และความผันผวนที่ทำให้โครงสร้างตลาดมีแนวโน้มที่ดีขึ้น

  กฎการเข้าซื้อขายด้วย รูปแบบกราฟราคาแท่งเทียนแบบกลืนกิน

   รูปแบบกราฟราคาแท่งเทียนแบบกลืนกิน แบบขาขึ้น


1.   กราฟราคาแท่งเทียนแกว่งตัวขึ้นสูงสุด และแกว่งตัวขึ้นต่ำสุด

2.   เข้าทำการซื้อ ตำแหน่งกราฟราคาแท่งเทียนรูปแบบกลืนกิน

3.   ตำแหน่งของกราฟราคาแท่งเทียนที่สูงสุด จะต้องอยู่ต่ำกว่า ตำแหน่งของกราฟราคาแท่งเทียนที่แกว่งตัวสูงกว่า ก่อนหน้า


  รูปแบบกราฟราคาแท่งเทียนแบบกลืนกิน แบบขาลง

1.   กราฟราคาแท่งเทียนแกว่งตัวลงสูงสุด และแกว่งลงต่ำสุด

2.   เข้าทำการซื้อขาย ตำแหน่งกราฟราคาแท่งเทียนรูปแบบกลืนกิน

3.   ตำแหน่งของกราฟราคาแท่งเทียนที่ต่ำสุด จะต้องอยู่สูงกว่า ตำแหน่งของกราฟราคาแท่งเทียนที่แกว่งตัวต่ำกว่า ก่อนหน้า

                                                                                      ตัวอย่าง รูปแบบกราฟราคาแท่งเทียนแบบกลืนกิน

520.jpg


1.   จุดสูงสุดของกราฟราคาแบบแกว่งตัวขาขึ้น อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าตำแหน่งครั้งก่อนหน้า และเป็นการยืนยันจุดเริ่มต้นของแนวโน้มเพิ่มขึ้น กับตลาดขาขึ้น

2.   กราฟราคาปรับตัวขึ้นทันทีหลังจากที่ทำ (SIDE WAY) มาระยะเวลาหนึ่ง คล้ายการทะลุราคาของกราฟไป (BREAK OUT) พร้อมกราฟราคารูปแบบแท่งเทียนกลืนกิน (ENGULFING) ขาขึ้น เป็นสัญญาณให้เข้าทำการซื้อ

3.   รูปแบบแท่งเทียนกลืนกินขาขึ้นเกิดขึ้นที่จุดแกว่งตัวต่ำรองขึ้นมาจาก จุดแกว่งตัวต่ำสุดก่อนหน้า
   


   ทบทวน การเข้าซื้อขายกราฟราคาแท่งเทียน ด้วยรูปแบบแท่งเทียนกลืนกิน ร่วมกับโครงสร้างของตลาด

   กลยุทธ์การเข้าซื้อขายหลายๆ ครั้งจะใช้รูปแบบกราฟแท่งเทียนในรูปแบบกลืนกิน เป็นการส่งสัญญาณให้เทรดเดอร์ทราบว่า มีการพลิกกลับของแนวโน้มหลักแล้ว  อย่างไรก็ตาม ให้เทรดเดอร์ใช้ประโยชน์จาก กราฟราคาแท่งเทียนที่มีรูปแบบการกลืนเพื่อการทำกำไรอย่างต่อเนื่อง จะเป็นการสร้างโอกาสที่ดีกว่า

   เทรดเดอร์ที่ใช้รูปแบบกราฟราคาแท่งเทียนจำนวนมาก จะรออีกอย่างน้อยหนึ่งแท่งเทียนหลังจาก กราฟราคาเป็นรูปแบบกลืนกินแล้ว เป็นการยืนยัน  แต่บางครั้งสำหรับกลยุทธ์การซื้อขายนี้ เทรดเดอร์ไม่ควรรอการยืนยันอีก ถ้าเทรดเดอร์มีการมองภาพรวมไว้แต่แรกแล้ว เพราะส่วนใหญ่ การรอการยืนยันจะส่งผลต่ออัตราส่วนความเสี่ยงที่มีมากขึ้น

   หากเทรดเดอร์รอการยืนยันการจากกราฟราคาแท่งเทียนอีกครั้ง อาจทำให้อัตราส่วนในการเข้าซื้อขายของเทรดเดอร์ มีอัตราผลตอบแทนที่ไม่ดีนักเมื่อเทียบกับความเสี่ยงต่อครั้ง

521.jpg

   การสังเกตความสูงและต่ำสุดของแกว่งตัวของกราฟราคาแท่งเทียน เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการติดตามแนวโน้มของตลาดในปัจจุบัน โครงสร้างของกราฟราคาแท่งเทียนในตลาด ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมือตัวบ่งชี้ใดๆ แม้ว่าวิธีนี้จะทำให้สัญญาณสับสนในช่วงเวลาที่มีการ ย้อนกลับ (PULL BACK) ของกราฟราคาแท่งเทียนที่ค่อนข้างลงลึก  แต่ความเรียบง่ายของรูปแบบกราฟราคาแท่งเทียนนี้ก็ยังคงเป็นรูปแบบที่น่าสนใจ

   การที่เทรดเดอร์ไม่คำนึงถึงกลยุทธ์การซื้อขาย แต่ไปใส่ใจกับโครงสร้างของกราฟราคาแท่งเทียนในตลาดมากเกินไป อาจทำให้เทรดเดอร์พลาดโอกาส หรือทำให้การเทรดในครั้งนั้นๆ ไม่ถูกต้องมากนัก

   ช่วงที่ตลาดมีการซื้อขายค่อนข้างมาก (เทรดเดอร์เข้ามาทำการซื้อขายมาก) อาจมีกราฟราคารูปแบบกลืนกินจำนวนมาก แต่ให้สังเกตดูว่า หลายๆครั้ง รูปแบบกลืนกินดังกล่าว ไม่ได้เป็นไปตามแนวโน้มหลัก  ให้เทรดเดอร์เพิ่มความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงสัญญาณการเข้าซื้อขายในช่วงที่ตลาดไม่มีแนวโน้ม (SIDE WAY) ให้เทรดเดอร์พยายามมองหา การแกว่งตัวที่ค่อนข้างชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในการเข้าซื้อขาย

   เพิ่มทักษะในการมองภาพโครงสร้างของกราฟราคาแท่งเทียนในตลาดให้มากๆ จะเป็นวิธีล้ำค่ามาก ในทุกๆ รูปแบบการซื้อขาย