ข่าว:

กระทู้ล่าสุด

#41
วิเคราะห์กราฟ Crypto ประจำวัน / บทวิเคราะห์ ETHUSD ประจำวันที่...
กระทู้ล่าสุด โดย support-2 - พฤศจิกายน 28, 2025, 02:18:20 ก่อนเที่ยง
ETHUSD 28-11.png
คู่เงิน/สินค้า: ETH/USD

Bias: ขาขึ้น (Long Bias) เนื่องจากราคายังคงเคลื่อนที่อยู่เหนือ **Support Trendline** อย่างต่อเนื่อง และมีการสร้างฐานแนวรับที่ **Demand Zone** บ่งชี้ถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง

โซนสำคัญ: Demand Zone, Support Trendline

แผน LONG: โดยพิจารณาเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาทดสอบและแสดงสัญญาณกลับตัวบริเวณ **Demand Zone** หรือใกล้เคียงกับ **Support Trendline** เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย **TP1**, **TP2** และ **TP3**

Stop Loss (SL): วางไว้ที่ **จุด SL ในภาพ** ซึ่งอยู่ต่ำกว่า **Support Trendline**

Take Profit x (TPx): TP1 คือบริเวณที่มาร์ค **TP1** ไว้, TP2 คือบริเวณที่มาร์ค **TP2** ไว้, TP3 คือบริเวณที่มาร์ค **TP3** ไว้

เงื่อนไขเปลี่ยนมุมมอง: หากราคาทะลุและปิดต่ำกว่า **Support Trendline** รวมถึง **จุด SL ในภาพ** อย่างชัดเจน จะพิจารณาว่า Bias ขาขึ้นถูกยกเลิก

กฎความเสี่ยง: ควรเลือกออเดอร์ที่มี Risk : Reward >= 1:2
#42
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / บทวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค CADJP...
กระทู้ล่าสุด โดย support-2 - พฤศจิกายน 28, 2025, 01:50:04 ก่อนเที่ยง
CadJpy 28-11.png
คู่เงิน/สินค้า: CAD/JPY

Bias: ขาขึ้น (Long Bias) เนื่องจากราคามีการฟอร์มตัวของรูปแบบกลับตัวขาขึ้น **Inverted Head and Shoulder** และได้มีการทะลุ **Neckline** ขึ้นไปแล้ว ซึ่งยืนยันโอกาสในการปรับตัวขึ้นตามรูปแบบ

โซนสำคัญ: Inverted Head and Shoulder, Neckline

แผน LONG: โดยพิจารณาเข้าซื้อต่อเมื่อราคามีการทะลุ **Neckline** ขึ้นไป หรือรอการย่อตัวกลับลงมาทดสอบ **Neckline** และแสดงสัญญาณกลับตัว เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย **TP1** และ **Pattern Target TP2**

Stop Loss (SL): วางไว้ที่ **จุด SL ในภาพ** ซึ่งอยู่ต่ำกว่าไหล่ขวา

Take Profit x (TPx):** TP1 คือบริเวณที่มาร์ค **TP1** ไว้, TP2 คือบริเวณ **Pattern Target TP2**

เงื่อนไขเปลี่ยนมุมมอง: หากราคา Break และปิดต่ำกว่า **จุด SL ในภาพ** ได้อย่างชัดเจน จะเป็นการทำลายโครงสร้างขาขึ้นและ Bias อาจเปลี่ยนเป็นขาลง

กฎความเสี่ยง: ควรเลือกออเดอร์ที่มี Risk : Reward >= 1:2

------------------------------------------------------------------------------------------

GbpAud 28-11.png
คู่เงิน/สินค้า: GBP/AUD

Bias: ขาลง (Short Bias) เนื่องจากราคามีการฟอร์มตัวของรูปแบบกลับตัว **Head and Shoulder** และมีการทะลุ **Neckline** ลงมาแล้ว ยืนยันโอกาสในการปรับตัวลงตามเป้าหมาย

โซนสำคัญ: Head and Shoulder, Neckline

แผน SHORT: โดยพิจารณาเปิดสถานะ Short (ขาย) ต่อเมื่อราคามีการทะลุ **Neckline** ลงมา หรือรอการ Rebound กลับขึ้นไปทดสอบ **Neckline** และถูกปฏิเสธ (Reject) เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย **TP1** และ **Pattern Target TP2**

Stop Loss (SL): วางไว้ที่ **จุด SL ในภาพ** ซึ่งอยู่เหนือไหล่ขวา

Take Profit x (TPx):** TP1 คือบริเวณที่มาร์ค **TP1** ไว้, TP2 คือบริเวณ **Pattern Target TP2**

เงื่อนไขเปลี่ยนมุมมอง: หากราคา Break และปิดยืนเหนือ **จุด SL ในภาพ** ได้อย่างชัดเจน จะเป็นการทำลายโครงสร้างขาลงและ Bias อาจเปลี่ยนเป็นขาขึ้น

กฎความเสี่ยง: ควรเลือกออเดอร์ที่มี Risk : Reward >= 1:2
#43
พื้นฐาน Defi / DeFi 3.0 วิวัฒนาการถัดไปของการ...
กระทู้ล่าสุด โดย Support-3 - พฤศจิกายน 27, 2025, 12:38:11 หลังเที่ยง
      โลกของการเงินกระจายอำนาจ หรือ Decentralized Finance (DeFi) นั้นหมุนเร็วราวกับจักรวาลที่ขยายตัวตลอดเวลา เพียงไม่กี่ปี เราได้เห็นการเปลี่ยนผ่านจากยุคเริ่มต้น มาสู่ยุคของการบริหารจัดการสภาพคล่อง และในขณะนี้ เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า "DeFi 3.0" ยุคที่มุ่งเน้นความยั่งยืน ความง่ายในการเข้าถึง และการบริหารจัดการสินทรัพย์แบบมืออาชีพโดยอัตโนมัติ



บทความนี้จะพาคุณดำดิ่งลงไปในรายละเอียดของ DeFi 3.0 ว่ามันคืออะไร แตกต่างจากยุคก่อนหน้าอย่างไร และทำไมมันถึงถูกมองว่าเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำ DeFi ไปสู่ Mass Adoption (การใช้งานในวงกว้าง)

ย้อนรอยประวัติศาสตร์ จาก DeFi 1.0 สู่รอยต่อของ DeFi 3.0
เพื่อให้เข้าใจ DeFi 3.0 อย่างถ่องแท้ เราจำเป็นต้องเข้าใจรากฐานและปัญหาที่เกิดขึ้นในยุคก่อนหน้านี้อย่างละเอียดเสียก่อน
DeFi 1.0: การวางรากฐาน (The Foundation)
    ในยุคแรกเริ่ม (ช่วงปี 2019-2020) DeFi 1.0 คือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่ไร้ตัวกลาง นวัตกรรมหลักคือการสร้าง Automated Market Maker (AMM) และระบบการกู้ยืม (Lending/Borrowing)
    ลักษณะเด่น ผู้ใช้งานสามารถแลกเปลี่ยนเหรียญ (Swap) หรือปล่อยกู้เพื่อรับดอกเบี้ยได้โดยตรงผ่าน Smart Contract แพลตฟอร์มที่เป็นตำนานได้แก่ Uniswap, MakerDAO, Aave และ Compound
    ข้อจำกัด ปัญหาใหญ่ของยุคนี้คือ "สภาพคล่องที่ไม่ยั่งยืน" (Mercenary Liquidity) เมื่อแพลตฟอร์ม A ให้ผลตอบแทนสูงกว่าแพลตฟอร์ม B นักลงทุนก็จะย้ายเงินทุนหนีทันที ทำให้โปรเจกต์ขาดเสถียรภาพ และเกิดปัญหาค่าธรรมเนียม (Gas Fees) ที่สูงลิ่วในเครือข่าย Ethereum

DeFi 2.0: การปฏิวัติสภาพคล่อง (Liquidity Revolution)
DeFi 2.0 (ช่วงปี 2021) เกิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาเรื่องสภาพคล่องโดยเฉพาะ โดยมีหัวหอกอย่าง OlympusDAO
    ลักษณะเด่น เกิดแนวคิด Protocol Owned Liquidity (POL) หรือการที่โปรโตคอลเป็นเจ้าของสภาพคล่องเอง แทนที่จะเช่าจากนักลงทุนด้วยการแจกเหรียญฟรี ทำให้โปรเจกต์มีความมั่นคงมากขึ้นในระยะยาว
    ข้อจำกัดที่นำไปสู่ 3.0 แม้จะแก้ปัญหาสภาพคล่องได้ แต่ DeFi 2.0 มีความ "ซับซ้อนสูงมาก" สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ผู้ใช้ต้องมีความรู้เรื่อง Game Theory ต้องคอยบริหารพอร์ต (Rebase), ต้องกังวลเรื่อง Impermanent Loss และต้องใช้เวลาติดตามตลาดตลอด 24 ชั่วโมง นี่คือจุดเจ็บปวด (Pain Point) ที่ทำให้เกิด DeFi 3.0

DeFi 3.0 คืออะไร? นิยามใหม่แห่ง "Farming as a Service" (FaaS)
    DeFi 3.0 คือ วิวัฒนาการที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาความยุ่งยากและความซับซ้อนในการลงทุน (User Experience) โดยนำเสนอแนวคิดหลักที่เรียกว่า "Farming as a Service" (FaaS) หรือการทำฟาร์มแบบบริการครบวงจร
หัวใจสำคัญของ FaaS
ในโลกของ DeFi 3.0 ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้อง
    1.    ค้นหาฟาร์มที่ให้ผลตอบแทนสูงด้วยตัวเอง
    2.    เสี่ยงโอนเงินข้ามเชน (Cross-chain bridge) ที่ซับซ้อนและอันตราย
    3.    จ่ายค่า Gas แพงๆ หลายรอบเพื่อ Compound ดอกเบี้ย
    4.    กังวลเรื่องการปรับพอร์ตหนีความเสี่ยง
      DeFi 3.0 ทำหน้าที่เหมือน "กองทุนรวม" หรือ "Hedge Fund" แบบกระจายอำนาจ ผู้ใช้งานเพียงแค่ "ถือเหรียญของโปรเจกต์" เท่านั้น จากนั้น Smart Contract และทีมบริหาร (หรือระบบ AI) ของโปรเจกต์จะนำเงินกองกลาง (Treasury) ไปลงทุนในกลยุทธ์ต่างๆ บนโลก DeFi (เช่น Yield Farming, Staking, LP providing) ทั้งบนเชนเดียวกันและข้ามเชน (Multi-chain)
ผลกำไรที่ได้จากการลงทุน จะถูกนำมาจัดสรรคืนให้ผู้ถือเหรียญผ่านวิธีการต่างๆ เช่น การซื้อเหรียญคืนและเผาทิ้ง (Buyback and Burn) เพื่อดันราคา, การปันผล (Dividends), หรือการเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ในคลัง (Backing Price)

กลไกการทำงานเชิงลึก เครื่องจักรทำเงินของ DeFi 3.0



ความละเอียดซับซ้อนของ DeFi 3.0 ซ่อนอยู่หลังบ้าน เพื่อให้หน้าบ้านใช้งานง่ายที่สุด นี่คือกลไกหลักที่ขับเคลื่อนระบบนี้
1. การกระจายความเสี่ยงแบบ Multi-Chain (Multi-Chain Yield Farming)
โปรโตคอล DeFi 3.0 จะไม่ยึดติดกับบล็อกเชนเดียว พวกเขาจะมองหาผลตอบแทน (Yield) ที่ดีที่สุดทั่วทั้งจักรวาล Crypto ไม่ว่าจะเป็น Ethereum, Binance Smart Chain (BSC), Avalanche, Fantom, หรือ Layer 2 อย่าง Arbitrum
●    การทำงาน Treasury จะถูกแบ่งสรรปันส่วนไปฟาร์มใน Pool ที่มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลางแต่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ (เช่น Stablecoin Farming) และบางส่วนไปในสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง
●  ข้อดี หากเชนใดเชนหนึ่งล่มสลาย หรือผลตอบแทนลดลง พอร์ตการลงทุนโดยรวมจะไม่เสียหายหนัก เพราะมีการกระจายความเสี่ยงไว้แล้ว

2. ระบบบริหารจัดการคลัง (Treasury Management)
นี่คือสมองของ DeFi 3.0 เงินที่ระดมทุนมาได้จากการขาย Token จะถูกเก็บไว้ใน Treasury
●    กลยุทธ์เชิงรุก นำเงินไปลงทุนใน Seed Round ของโปรเจกต์ใหม่ๆ (เหมือน Venture Capital), ลงทุนใน NFT หายาก, หรือเป็น Validator Node ให้กับเชนต่างๆ
●    กลยุทธ์เชิงรับ ถือครอง Stablecoin เพื่อรักษามูลค่าพื้นฐาน (Floor Price) ของเหรียญโปรเจกต์

3. การสร้างรายได้กลับคืนสู่ผู้ถือเหรียญ (Revenue Distribution Models)
DeFi 3.0 มีโมเดลการคืนกำไรที่หลากหลายและซับซ้อนกว่าแค่การแจกเหรียญเฟ้อ (Inflationary Rewards)
●    Buyback & Burn นำกำไรมาซื้อเหรียญตัวเองในตลาดแล้วเผาทิ้ง ทำให้ Supply ลดลงและราคาเพิ่มขึ้น (Deflationary).
●    Direct Airdrop แจกกำไรเป็น Stablecoin (เช่น USDT, USDC) หรือเหรียญหลัก (ETH, BNB) เข้ากระเป๋าผู้ถือโดยตรง
●    Liquidity Bootstrapping นำกำไรไปเติมใน Pool สภาพคล่องของตัวเอง เพื่อให้การซื้อขายเหรียญมีความลื่นไหลและ Slippage ต่ำ

ประโยชน์ที่เหนือกว่า ทำไมต้อง DeFi 3.0?
ทำไมโลกถึงต้องการสิ่งนี้? คำตอบอยู่ที่การลบข้อจำกัดของการลงทุนรายย่อย:
●  ลดต้นทุนค่าธรรมเนียม (Gas Fee Optimization) แทนที่นักลงทุน 1,000 คน จะต้องจ่ายค่า Gas เพื่อไป Harvest และ Re-invest เอง (รวม 1,000 ธุรกรรม) โปรโตคอล DeFi 3.0 จะทำธุรกรรมใหญ่เพียงครั้งเดียว ต้นทุนต่อหัวจึงต่ำมาก
●    การเข้าถึงโอกาสระดับสถาบัน (Access to Elite Opportunities) โปรเจกต์ DeFi 3.0 ที่มีเงินกองคลังขนาดใหญ่ มีอำนาจต่อรองในการเข้าซื้อดีลพิเศษ (Private Sale/Presale) หรือเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินที่รายย่อยเข้าไม่ถึง
●    Passive Income ที่แท้จริง ผู้ใช้งานไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ ไม่ต้องกังวลเรื่องการย้ายฟาร์ม ปล่อยให้ระบบทำงาน (Set and Forget) เหมาะกับผู้ที่มีเงินทุนแต่ไม่มีเวลา
●    ความปลอดภัยทางจิตวิทยา ลดความเครียดจากการตัดสินใจผิดพลาด (Human Error) ในการบริหารพอร์ต เพราะมีการจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญหรืออัลกอริทึมที่ผ่านการตรวจสอบ

เจาะลึกโปรเจกต์ DeFi 3.0 ที่น่าสนใจในปัจจุบัน
กลุ่ม Automated Yield Aggregators (Farming as a Service - FaaS)
กลุ่มนี้คือตัวแทนที่ชัดเจนที่สุดของ FaaS โดยทำหน้าที่เป็น 'สมองกล' ที่บริหารเงินทุนให้กับผู้ใช้โดยอัตโนมัติ
●    Yearn Finance (YFI)
Automated Vaults & Strategy Aggregation เป็นโปรโตคอลแรกๆ ที่เสนอ FaaS ให้ผู้ใช้ "ฝากแล้วลืม" (Set and Forget) โดยไม่ต้องบริหารพอร์ตเอง กลไกการสร้างผลตอบแทน ผู้ใช้ฝากสินทรัพย์เข้าสู่ Vaults ซึ่งภายในมี Strategy (กลยุทธ์) ที่เขียนโดยนักพัฒนา กลยุทธ์นี้จะนำเงินไปฝาก/ฟาร์มในโปรโตคอลภายนอก (เช่น Aave, Compound, Convex) จากนั้นจะ Harvest และ Re-compound ดอกเบี้ยให้บ่อยที่สุดเท่าที่คุ้มค่าค่า Gas

●    Beefy Finance (BIFI)
    Multi-Chain Yield Optimization มุ่งเน้นไปที่การขยาย Vaults ข้ามเชน (Multi-chain) จำนวนมาก เพื่อหาสภาพคล่องและผลตอบแทนสูงสุดทั่วทั้งจักรวาล DeFi กลไกการสร้างผลตอบแทน ทำงานคล้ายกับ Yearn แต่มี Vaults ให้เลือกบนบล็อกเชนหลากหลาย เช่น Fantom, Avalanche, BNB Chain, และ Arbitrum โดยโปรโตคอลจะคิดค่าธรรมเนียมเพียงเล็กน้อยจากกำไร (Performance Fee) เพื่อซื้อเหรียญ $BIFI กลับมา Burn หรือปันผล
   
กลุ่ม Real Yield Protocols (ความยั่งยืนของ Tokenomics)
DeFi 3.0 เน้นการหาผลตอบแทนจาก รายได้จริง ของโปรโตคอล แทนที่จะพิมพ์เหรียญเพิ่ม (Inflationary Rewards) เพื่อล่อใจนักลงทุน
GMX (Arbitrum, Avalanche)
      Decentralized Perpetual Exchange ที่แบ่งปันค่าธรรมเนียมกับผู้ถือ Token เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของ "Real Yield" โดยผู้ถือเหรียญ $GMX และผู้ถือ LP Token ($GLP) จะได้รับ ค่าธรรมเนียมจริง จากการเทรดบนแพลตฟอร์ม ในรูปของ ETH/AVAX แทนที่จะเป็นเหรียญ $GMX กลไกการสร้างผลตอบแทน ผู้ถือ $GMX ที่ Staked จะได้รับ 30% ของค่าธรรมเนียมที่เก็บได้ทั้งหมดจากการเทรด ในรูปของ ETH หรือ AVAX โดยตรง (ไม่ใช่เหรียญ GMX เพิ่ม) ส่วนผู้ให้บริการสภาพคล่อง ($GLP) จะได้รับ 70% ของค่าธรรมเนียม

Gains Network (GNS) (Polygon, Arbitrum)
      Leveraged Trading Platform ที่ใช้ Stablecoin และ Liquidity Tokens เป็นหลักประกัน โมเดล $GNS ใช้ค่าธรรมเนียมการเทรดเพื่อซื้อเหรียญ $GNS กลับมา Burn และเป็นค่าตอบแทนให้กับผู้ที่ Lock $GNS (Stakers) ซึ่งสร้างกลไกที่ลด Supply ในตลาดอย่างแท้จริง กลไกการสร้างผลตอบแทน ผู้ถือ $GNS จะได้รับส่วนแบ่งจากค่าธรรมเนียมการเทรด (Fees) ที่สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม โดยตรง และกลไกการ Burn เพื่อลด Supply ทำให้มูลค่าพื้นฐาน (Backing Value) ของเหรียญเพิ่มขึ้น
กลุ่ม Financial Primitives (เครื่องมือทางการเงินขั้นสูง)
      โปรเจกต์เหล่านี้มุ่งเน้นการสร้างเครื่องมือที่ซับซ้อน (Structured Products) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถจัดการความเสี่ยงและผลตอบแทนในระดับอนุพันธ์ (Derivatives)

Pendle Finance (Pendle)
      Tokenization of Yield (การเปลี่ยนผลตอบแทนให้เป็นโทเคน) อนุญาตให้ผู้ใช้ แยก มูลค่าของสินทรัพย์ที่ Staked (Principal Token, PT) ออกจากดอกเบี้ยที่จะได้รับในอนาคต (Yield Token, YT) ทำให้สามารถเทรดผลตอบแทนล่วงหน้าได้ กลไกการสร้างผลตอบแทน ผู้ใช้สามารถซื้อ $YT เพื่อเก็งกำไรว่าอัตราผลตอบแทน (APY) ในอนาคตจะเพิ่มขึ้นสูง (Leveraged Bet on APY) * Fixed Rate Yield: ผู้ใช้สามารถขาย $YT ที่ตนเองถือครองเพื่อ Lock In อัตราผลตอบแทนคงที่ (Fixed APY) ได้ทันที ซึ่งเป็นทางเลือกที่มั่นคงในการลงทุน DeFi

ความเสี่ยงและความท้าทาย
แม้จะฟังดูสวยหรู แต่ DeFi 3.0 ก็มีความเสี่ยงที่ร้ายแรงและซับซ้อนที่นักลงทุนต้องตระหนักให้มากที่สุด:
1. ความเสี่ยงจากการบริหารจัดการ (Management Risk)
เนื่องจาก DeFi 3.0 พึ่งพา "ทีมบริหาร" หรือ "DAO" ในการตัดสินใจนำเงินไปลงทุน หากทีมงานขาดความสามารถ ตัดสินใจผิดพลาด หรือนำเงินไปซิ่งในฟาร์มขยะ เงินต้นใน Treasury อาจสูญหายได้มหาศาล
2. ความเสี่ยงจาก Smart Contract (Smart Contract Risk)
ยิ่งระบบซับซ้อน ยิ่งมีช่องโหว่ การที่ DeFi 3.0 เชื่อมต่อกับหลายโปรโตคอลและหลายเชน (Composability) หากโปรโตคอลปลายทางที่นำเงินไปฝากถูกแฮ็ก เงินของ DeFi 3.0 ก็จะหายไปด้วย (Domino Effect)
3. ปัญหาความโปร่งใสและ Rug Pull
ในยุคแรกของกระแส DeFi 3.0 มีโปรเจกต์จำนวนมากที่อ้างว่าเป็น FaaS แต่แท้จริงแล้วไม่มีการนำเงินไปลงทุนจริง (Ponzi Scheme) จ่ายผลตอบแทนจากเงินคนใหม่ให้คนเก่า หรือทีมงานขโมยเงินใน Treasury หนีไป (Soft Rug) การตรวจสอบ On-chain data ว่าเงินใน Treasury อยู่ที่ไหนจึงสำคัญมาก
4. มูลค่าเหรียญ vs มูลค่าสินทรัพย์ (Price vs. NAV)
บ่อยครั้งที่ราคาเหรียญของโปรเจกต์ DeFi 3.0 ถูกปั่นขึ้นไปสูงกว่ามูลค่าสินทรัพย์จริงที่หนุนหลัง (Net Asset Value - NAV) มากเกินไป เมื่อฟองสบู่แตก ราคาจะร่วงลงมาหาจุด NAV อย่างรุนแรง ทำให้นักลงทุนที่เข้าซื้อที่ยอดดอยขาดทุนหนัก

บทสรุป อนาคตของ DeFi 3.0



DeFi 3.0 ไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราว แต่มันคือ "Service Layer" (ชั้นบริการ) ที่จำเป็นสำหรับระบบนิเวศ DeFi ทั้งหมด มันคือสะพานเชื่อมระหว่างโลกการเงินที่ซับซ้อนกับผู้ใช้งานทั่วไป
ในอนาคต เราอาจจะได้เห็น
●    Institutional DeFi 3.0 การเข้ามาของสถาบันการเงินที่ใช้โครงสร้าง FaaS แต่มีการตรวจสอบ KYC/AML ถูกต้องตามกฎหมาย
●    AI-Driven Treasury การใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการบริหารพอร์ต 100% เพื่อตัดอารมณ์มนุษย์ออกจากการตัดสินใจ
●    Cross-Chain Interoperability ที่สมบูรณ์แบบ การโอนย้ายมูลค่าอย่างไร้รอยต่อจนผู้ใช้ไม่รู้ตัวว่ากำลังใช้เชนอะไรอยู่
DeFi 3.0 คือก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนให้ทุกคนกลายเป็น "ธนาคาร" ของตัวเองได้อย่างแท้จริง โดยที่มีความสะดวกสบายเทียบเท่ากับการฝากเงินธนาคารแบบดั้งเดิม แต่ได้รับผลตอบแทนในระดับของโลกคริปโทเคอร์เรนซี
#44
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / บทวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค ประจ...
กระทู้ล่าสุด โดย support-2 - พฤศจิกายน 27, 2025, 01:44:52 ก่อนเที่ยง
EurCad 27-11.png
คู่เงิน/สินค้า: EUR/CAD

Bias: ขาขึ้น (Long Bias) เนื่องจากราคายังคงเคลื่อนที่อยู่เหนือ **Support Trendline** อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง

โซนสำคัญ: Support Trendline

แผน LONG: โดยพิจารณาเข้าซื้อบริเวณ **Support Trendline** หรือเมื่อมีการย่อตัวเล็กน้อยตามแนวโน้ม เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย **TP1** และ **TP2**

Stop Loss (SL): วางไว้ที่ **จุด SL ในภาพ** ซึ่งอยู่ต่ำกว่า **Support Trendline**

Take Profit x (TPx): TP1 คือบริเวณที่มาร์ค **TP1** ไว้, TP2 คือบริเวณที่มาร์ค **TP2** ไว้

เงื่อนไขเปลี่ยนมุมมอง: หากราคาทะลุและปิดต่ำกว่า **Support Trendline** รวมถึง **จุด SL ในภาพ** อย่างชัดเจน จะพิจารณาว่า Bias ขาขึ้นถูกยกเลิก

กฎความเสี่ยง: ควรเลือกออเดอร์ที่มี Risk : Reward >= 1:2

----------------------------------------------------------------------------------------------

AudJpy 27-11.png
คู่เงิน/สินค้า: AUD/JPY

Bias: ขาขึ้น (Long Bias) เนื่องจากราคามีการฟอร์มตัวของรูปแบบกลับตัว **Double Botttom** และได้ทะลุ **Neckline** ขึ้นไปแล้ว รวมถึงมีการ Rebound บริเวณ **Support** ที่เกิดจากการทะลุ **Neckline**

โซนสำคัญ: Supply Zone, Neckline, Support, Double Botttom

แผน LONG: โดยพิจารณาเข้าซื้อเมื่อราคาทดสอบและแสดงสัญญาณกลับตัวบริเวณ **Support** หรือบริเวณ **Neckline** เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย **TP1** และ **Pattern Target TP2** ซึ่งอยู่บริเวณ **Supply Zone**

Stop Loss (SL): วางไว้ที่ **จุด SL ในภาพ** ซึ่งอยู่ต่ำกว่า **Support**

Take Profit x (TPx):** TP1 คือบริเวณที่มาร์ค **TP1** ไว้, TP2 คือบริเวณ **Pattern Target TP2**

เงื่อนไขเปลี่ยนมุมมอง: หากราคา Break และปิดต่ำกว่า **จุด SL ในภาพ** ได้อย่างชัดเจน จะเป็นการทำลายโครงสร้างขาขึ้นและ Bias อาจเปลี่ยนเป็นขาลง

กฎความเสี่ยง: ควรเลือกออเดอร์ที่มี Risk : Reward >= 1:2
#45
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / Forex Signal
กระทู้ล่าสุด โดย narjant - พฤศจิกายน 27, 2025, 12:33:21 ก่อนเที่ยง
#46
การวิเคราะห์ทางเทคนิค / Indicator ROC กลยุทธ์ทำกำไรอย่...
กระทู้ล่าสุด โดย support-1 - พฤศจิกายน 27, 2025, 12:08:25 ก่อนเที่ยง
การช่วยเพิ่มกำไรโดยใช้ Indicator เข้ามาช่วยดูแนวโน้มของราคา ในบทความนี้ จะขอแชร์ Indicator สุดเจ๋งอีกหนึ่งตัวที่ใช้อยู่เป็นประจำ จึงได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเขียนวิธีการใช้ง่ายอย่างระเอียดในหัวข้อ กลยุทธ์ทำกำไรอย่างยั่งยืน ด้วยการใช้ Indicator Rate-Of-Change ( ROC ) และยังมี Indicator ที่เหมาะสำหรับมือใหม่ ที่อยากแนะนำให้ลองใช้กันก่อนเพื่อที่คุณจะสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้เข้าใจมากขึ้น

Rate-of-Change (ROC) คืออะไร ?

Indicator ROC คือ เครื่องมือช่วยหาอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคา เป็นการดูโมเมนตัมอย่างตรงไปตรงมามากที่สุด เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานในการเทรดได้หลากหลายรูปแบบ ถึงแม้ Indicator ROC จะดูเรียบง่าย แต่มันมีประสิทธิภาพที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว

การนำ Rate-Of-Change ไปใช้ในการเทรด
Rate-of-Change หรือ ROC Indicator เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดโมเมนตัมเพียว ๆ โดยดูจากเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงการขึ้นลงของราคาตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งตามหลักทั่วไป เครื่องมือที่วัดโมเมนตัมมักจะเหมาะกับตลาดที่เป็น Sideway แต่ก็สามารถนำมาใช้ในการดูแน้วโน้มการกลับตัวของราคา เพื่อที่เราจะได้ตามเทรดด้วยเช่นกัน

วิธีการดูแนวโน้มจาก ROC
เราสามารถปรับค่า Period ของ ROC ให้ยาวขึ้น เพื่อที่จะสามารถดูแนวโน้มของราคาได้ โดยทั่วไป ค่า Period ที่ 250 วัน แทนระยะเวลา 1 ปี (กรณีดูแนวโน้มระยะยาว), ดู 125 วัน แทนครึ่งปี, ดู 63 วัน แทน 1 ไตรมาส และดู 21 วัน แทน 1 เดือน

การดูแนวโน้ม ROC
การดูแนวโน้ม ROC นั้น เพียงแค่เราสังเกตกราฟว่า

- ROC > 0 = แนวโน้มขาขึ้น
- ROC < 0 = แนวโน้มขาลง

76.png

ตัวอย่างกราฟราคากับ ROC 250 วัน จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ ROC ลงต่ำกว่าระดับ 0 แสดงถึง แนวโน้มขาลง จนกระทั่ง ROC กลับขึ้นมาเหนือระดับ 0 ถึงจะเป็นสัญญาณของรอบขาขึ้น ที่จะกลับเข้ามาอีกครั้ง

การดูสัญญาณ Overbought / Oversold จาก ROC
ธรรมชาติของราคาจะเกิดการแกว่งตัวของราคาเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้น ขาลง หรือ Sideway แม้ในช่วงขาขึ้น จะเห็นได้ว่า ก็จะมีจังหวะการย่อตัวสั้น ๆ แล้วค่อยขึ้นต่อ ตรงกันข้ามกับขาลง ก็จะมีการฟื้นตัวสั้น ๆ แล้วค่อยลงต่อ ซึ่งจังหวะการแกว่งตัวของราคานี้ เราสามารถใช้เป็นโอกาสในการเข้าทำกำไรได้ ทั้งนี้ ROC สามารถดู Overbought/Oversold เพื่อหาจุดกลับตัวในระยะสั้นได้เช่นเดียวกัน

77.png

ตัวอย่างกราฟกับ ROC 12 วัน โดยใช้ระดับ Oversold ที่บริเวณ -5% จะเห็นได้ว่าเมื่อ ROC ลงมาต่ำกว่าระดับ -5% มักจะเป็น Low ของรอบการแกว่งตัว สามารถใช้จับจังหวะในการสร้างกำไรได้

ทั้งนี้การ Set ระดับ Overbought/Oversold บน ROC ของหุ้น หรือสินทรัพย์ในแต่ละตัวจะไม่เท่ากัน บางตัวผันผวนมาก ก็อาจใช้ระดับ -15% เป็นระดับ Oversold หรือบางตัวผันผวนน้อย ก็อาจใช้ระดับ -5% เป็นระดับ Oversold ต้องดูพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่ผ่านมาประกอบด้วย

การเทรด Overbought/Oversold ใน ROC จะมีอยู่ 3 อย่างหลัก ๆ คือ

1.ในแนวโน้มขาลง : ดู Overbought ในรอบการฟื้นตัว เพื่อหาจังหวะขาย (Short)
2.ในแนวโน้มขาขึ้น : ดู Oversold ในรอบการย่อตัว เพื่อหาจังหวะซื้อ (Long)
3.ในแนวโน้ม Sideway : ดูทั้ง Overbought และ Oversold เพื่อจับจังหวะ Trading เล่นรอบ
อย่างที่ 1 และ 2 เป็นการเทรดแนวโน้มหลัก อย่างในช่วงแนวโน้มขาขึ้น การย่อตัวจะสั้นกว่าการปรับตัวขึ้น และในช่วงแนวโน้มขาลง การดีดตัวจะสั้นกว่า การอ่อนตัวลง ซึ่งถ้าเราอยู่ในช่วงที่เป็นแนวโน้มเป็นขาขึ้น ก็เตรียมตัวหาจังหวะที่กราฟย่อต่อลง เพื่อเปิดออเดอร์ซื้อในช่วงที่แนวโน้มเป็นขาลงสั้น ๆ นั่นเอง (ส่วนในฝั่งขาย ก็ตรงกันข้าม) หวังว่าในส่วนนี้ทุกท่านอ่านแล้วคงจะไม่สับสน

การดูสัญญาณ Divergence จาก ROC
เช่นเดียวกัน ROC สามารถดูการเกิด Divergence (สัญญาณการกลับตัว) ระหว่างราคากับ Indicator ได้ ซึ่งจะเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มในอนาคต

78.png

ตัวอย่างการเกิดสัญญาณ Bullish divergence ระหว่างราคาหุ้น DTAC กับ ROC 20 วัน จะเห็นได้ว่า ในช่วงที่ราคาทำ Lower Low (Low ใหม่) แต่ ROC กลับยกฐานสูงขึ้น (Higher Low) เป็นสัญญาณ Bullish Divergence แสดงถึงโมเมนตัมการลงที่อ่อนแรง เป็นสัญญาณที่บอกว่า ราคามีโอกาสเปลี่ยนแนวโน้ม

สรุปการใช้ Rate-Of-Change (ROC)
Rate-of-Change Oscillator เป็นเครื่องมือที่วัดอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคา สามารถดูโมเมนตัมการแกว่งตัวของราคาได้เป็นอย่างดี เพราะ ROC เป็นเครื่องมือที่ใช้หลักการของ Momentum แบบ 100% เลย สามารถวิเคราะห์ได้หลากหลาย ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้กับระบบของตัวเอง เพื่อสร้างกำไรในการเทรดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สุดท้ายนี้ การใช้เครื่องมือ Indicator เข้ามาช่วยนั้น ไม่ได้การันตีว่าเราจะวิเคราะห์ถูก 100% แต่มันช่วยให้เราสามารถหาเทคนิคที่เหมาะสมกับตัวเอง เพื่อนำมาปรับใช้ให้เกิดอัตราการชนะตลาดให้สูงเท่าที่จะเป็นไปได้ และที่สำคัญเรื่องของการใช้ Indicator นั้น ไม่ได้ถูกจำกัดว่า ต้องใช้แค่เพียง 1 ตัว เท่านั้น เราสามารถนำ Indicator หลาย ๆ ตัวมาประยุกต์เข้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ร่วมกันได้ ถ้าคุณกลัวกว่าการใช้หลายตัวพร้อม ๆ กัน จะทำให้สับสน
#47
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / ต่อ: Forex Signal
กระทู้ล่าสุด โดย narjant - พฤศจิกายน 26, 2025, 11:00:29 ก่อนเที่ยง
#48
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / Forex Signal
กระทู้ล่าสุด โดย narjant - พฤศจิกายน 26, 2025, 10:59:28 ก่อนเที่ยง
#49
วิเคราะห์กราฟ Crypto ประจำวัน / บทวิเคราะห์ BTCUSD ประจำวันที่...
กระทู้ล่าสุด โดย support-2 - พฤศจิกายน 26, 2025, 03:03:05 ก่อนเที่ยง
BTCUSD 26-11.png
คู่เงิน/สินค้า: BTC/USD

Bias: ขาขึ้น (Long Bias) เนื่องจากราคามีการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง และมีการสร้างฐานแนวรับที่ **Demand Zone** บ่งชี้ถึงแรงซื้อที่พร้อมผลักดันราคาขึ้น

โซนสำคัญ: Supply Zone, Demand Zone

แผน LONG: โดยพิจารณาเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาทดสอบและแสดงสัญญาณกลับตัวบริเวณ **Demand Zone** เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย **TP1** และ **TP2** ซึ่งอยู่บริเวณขอบล่างของ **Supply Zone**

Stop Loss (SL): วางไว้ที่ **จุด SL ในภาพ** ซึ่งอยู่ต่ำกว่า **Demand Zone**

Take Profit x (TPx): TP1 คือบริเวณที่มาร์ค **TP1** ไว้, TP2 คือบริเวณที่มาร์ค **TP2** ไว้

เงื่อนไขเปลี่ยนมุมมอง: หากราคาปรับตัวลงและปิดต่ำกว่า **จุด SL ในภาพ** อย่างมีนัยสำคัญ จะพิจารณาว่า Bias ขาขึ้นถูกยกเลิก

กฎความเสี่ยง: ควรเลือกออเดอร์ที่มี Risk : Reward >= 1:2
#50
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / บทวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค CHFJP...
กระทู้ล่าสุด โดย support-2 - พฤศจิกายน 26, 2025, 02:47:18 ก่อนเที่ยง
ChfJpy 26-11.png
คู่เงิน/สินค้า: CHF/JPY

Bias: ขาลง (Short Bias) เนื่องจากราคามีการเบรกแนวรับเดิมที่เปลี่ยนเป็นแนวต้าน (**Support turn to Resistance**) และกำลังปรับตัวลงตามแนวโน้มขาลงอย่างต่อเนื่อง

โซนสำคัญ: Support turn to Resistance, Support

แผน SHORT: โดยพิจารณาเปิดสถานะ Short (ขาย) ต่อเมื่อราคามีการ Rebound กลับขึ้นไปทดสอบและถูกปฏิเสธ (Reject) บริเวณ **Support turn to Resistance** หรือเมื่อราคายังคงปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย **TP**

Stop Loss (SL): วางไว้ที่ **จุด SL ในภาพ**

Take Profit x (TPx): TP คือบริเวณที่มาร์ค **TP** ไว้

เงื่อนไขเปลี่ยนมุมมอง: หากราคา Break และปิดยืนเหนือ **จุด SL ในภาพ** ได้อย่างชัดเจน จะเป็นการทำลายโครงสร้างขาลงและ Bias อาจเปลี่ยนเป็นขาขึ้น

กฎความเสี่ยง: ควรเลือกออเดอร์ที่มี Risk : Reward >= 1:2

---------------------------------------------------------------------------------

UsdChf 26-11.png
คู่เงิน/สินค้า: USD/CHF

Bias: ขาลง (Short Bias) เนื่องจากราคามีการฟอร์มตัวของรูปแบบกลับตัว **Double Top** และได้มีการทะลุ **Neckline** ลงมาแล้ว ซึ่งยืนยันโอกาสในการปรับตัวลงตามรูปแบบ

โซนสำคัญ: Double Top, Neckline

แผน SHORT: โดยพิจารณาเปิดสถานะ Short (ขาย) ต่อเมื่อราคามีการทะลุ **Neckline** หรือรอการ Rebound กลับขึ้นไปทดสอบ **Neckline** และถูกปฏิเสธ (Reject) เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย **Pattern Target**

Stop Loss (SL): วางไว้ที่ **จุด SL ในภาพ** ซึ่งอยู่เหนือ **Double Top**

Take Profit x (TPx):** Pattern Target คือบริเวณที่มาร์ค **Pattern Target** ไว้

เงื่อนไขเปลี่ยนมุมมอง: หากราคา Break และปิดยืนเหนือ **จุด SL ในภาพ** ได้อย่างชัดเจน จะเป็นการทำลายโครงสร้างขาลงและ Bias อาจเปลี่ยนเป็นขาขึ้น

กฎความเสี่ยง: ควรเลือกออเดอร์ที่มี Risk : Reward >= 1:2