บล็อกเชน VS คริปโต VS บิตคอยน์ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ?

เริ่มโดย Support-3, มิถุนายน 29, 2025, 03:28:25 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

Support-3

บล็อกเชน VS คริปโต VS บิตคอยน์ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?



      บิตคอยน์ (Bitcoin) คือ คริปโตเคอร์เรนซี (Crypto) สกุลหนึ่งที่ทำงานอยู่บนเทคโนโลยี บล็อกเชน (Blockchain)
ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน คำว่า "บล็อกเชน" "คริปโต" และ "บิตคอยน์" กลายเป็นคำศัพท์ที่ได้ยินกันอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม หลายคนยังคงมีความสับสนและมักเข้าใจว่าทั้งสามสิ่งนี้คือสิ่งเดียวกัน บทความนี้จะเจาะลึกถึงความหมาย ความสัมพันธ์ และความแตกต่างของแต่ละคำ พร้อมขยายความในทุกประเด็นเพื่อให้คุณเข้าใจได้อย่างชัดเจนและถูกต้อง



1. บล็อกเชน (Blockchain) เทคโนโลยีเบื้องหลังสุดล้ำ
       บล็อกเชนคือเทคโนโลยีพื้นฐานหรือ "กระดูกสันหลัง" ที่ทำให้คริปโตเคอร์เรนซีและแอปพลิเคชันอื่น ๆ สามารถทำงานได้ เปรียบเสมือน ระบบอินเทอร์เน็ต ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานให้เว็บไซต์และแอปพลิเคชันต่าง ๆ สามารถเกิดขึ้นได้ หรือเปรียบได้กับ ระบบปฏิบัติการ (เช่น iOS หรือ Android) ที่เป็นรากฐานให้กับแอปพลิเคชันบนมือถือ

●    นิยาม (Definition)
○    บัญชีแยกประเภทแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology - DLT) ลองจินตนาการถึงสมุดบัญชีสาธารณะเล่มหนึ่ง แทนที่จะเก็บไว้ที่ธนาคารเพียงแห่งเดียว (Centralized) สมุดบัญชีเล่มนี้กลับถูกคัดลอกและแจกจ่ายให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องถือไว้คนละฉบับ (Distributed) เมื่อมีการบันทึกรายการใหม่ ทุกคนจะอัปเดตสมุดของตัวเองพร้อมกัน ทำให้การโกงเป็นไปได้ยากมาก
○    การเก็บข้อมูลในรูปแบบของ "บล็อก" (Block) ที่เชื่อมต่อกันเป็น "ห่วงโซ่" (Chain):
     1.    Block คือ "หน้า" ของสมุดบัญชีดิจิทัล ที่บันทึกข้อมูลธุรกรรมชุดหนึ่งไว้ เมื่อหน้านี้ถูกบันทึกจนเต็ม มันจะถูก "ปิด"
     2.    Chain แต่ละหน้า (Block) ที่ถูกปิด จะถูกนำมา "ผนึก" ต่อกันด้วยเทคนิคการเข้ารหัสขั้นสูง (Cryptography) โดยบล็อกใหม่จะมีการอ้างอิงถึงข้อมูลของบล็อกก่อนหน้าเสมอ กลายเป็นห่วงโซ่ที่ย้อนกลับไปได้ถึงบล็อกแรกสุด การเชื่อมต่อนี้ทำให้ข้อมูลมีความปลอดภัยสูงมาก
○    รหัสเฉพาะของบล็อกก่อนหน้า (Cryptographic Hash) สิ่งนี้ทำหน้าที่เหมือน "ลายนิ้วมือดิจิทัล" ของแต่ละบล็อก การที่บล็อกใหม่ต้องมี "ลายนิ้วมือ" ของบล็อกเก่าอยู่ด้วย ก็เปรียบเสมือนการสร้างผนึกที่ต่อเนื่องกัน หากมีใครพยายามแก้ไขข้อมูลในบล็อกใดบล็อกหนึ่ง "ลายนิ้วมือ" ของบล็อกนั้นจะเปลี่ยนไปทันที ทำให้การเชื่อมต่อไปยังบล็อกถัดมาขาดออกจากกัน และระบบจะรับรู้ได้ถึงความพยายามในการปลอมแปลง

●    หลักการทำงาน (Working Principle)
○    การกระจายศูนย์ (Decentralization) หัวใจสำคัญคือการไม่มีศูนย์กลางควบคุม ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งเป็นเจ้าของข้อมูลโดยสมบูรณ์ ตรงข้ามกับระบบธนาคารที่ข้อมูลทั้งหมดถูกเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ของธนาคาร ซึ่งหากเซิร์ฟเวอร์ล่มหรือถูกโจมตี ระบบทั้งหมดอาจหยุดชะงัก แต่บนบล็อกเชน ถึงแม้คอมพิวเตอร์ (Node) บางเครื่องในเครือข่ายจะดับไป ระบบก็ยังคงทำงานต่อไปได้จากโหนดที่เหลืออยู่
○    ความโปร่งใส (Transparency) แม้ว่าทุกคนจะเห็นธุรกรรม (เช่น เห็นว่ากระเป๋าเงิน A โอนเงินให้กระเป๋าเงิน B จำนวนเท่าไหร่ ในวันเวลาใด) แต่ความเป็นส่วนตัวยังคงอยู่ เพราะที่อยู่กระเป๋าเงิน (Wallet Address) เป็นเพียงชุดรหัสตัวอักษรและตัวเลขที่ไม่ระบุตัวตนจริงของเจ้าของ (Pseudonymous) เปรียบเหมือนการเห็นว่าตู้เซฟหมายเลข 123 โอนของให้ตู้เซฟหมายเลข 456 แต่ไม่รู้ว่าใครคือเจ้าของตู้เซฟนั้น
○    ความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ (Immutability) การจะแก้ไขข้อมูลในบล็อกที่ถูกบันทึกไปแล้วนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ เพราะผู้ไม่หวังดีจะต้องแก้ไขข้อมูลในบล็อกเป้าหมาย
     1.    คำนวณ "ลายนิ้วมือดิจิทัล" (Hash) ของบล็อกนั้นใหม่
     2.    แก้ไขและคำนวณ Hash ของบล็อกถัดไป ทั้งหมด ที่เชื่อมต่ออยู่
     3.    ทำทั้งหมดนี้ให้เร็วกว่าที่เครือข่ายสร้างบล็อกใหม่ และต้องมีพลังคอมพิวเตอร์มากกว่า 51% ของทั้งเครือข่ายเพื่อโน้มน้าวให้ทุกคนยอมรับข้อมูลที่ถูกแก้ไขนั้น ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลจนไม่คุ้มค่าที่จะทำ

●    ประโยชน์และการนำไปใช้ (Benefits and Applications)
○    การจัดการซัพพลายเชน (Supply Chain) ช่วยให้สามารถติดตามสินค้าเกษตร เช่น กาแฟ ตั้งแต่ฟาร์ม แหล่งแปรรูป จนถึงมือผู้บริโภคได้ เพียงแค่สแกน QR Code ผู้บริโภคก็จะเห็นเส้นทางทั้งหมดที่บันทึกบนบล็อกเชน ทำให้มั่นใจได้ในคุณภาพและที่มา ป้องกันการปลอมปน
○    การยืนยันตัวตน (Identity Verification) แทนที่เราจะต้องสร้างบัญชีและให้ข้อมูลส่วนตัวกับทุกแพลตฟอร์ม เราสามารถมี "ตัวตนดิจิทัล" ที่เก็บไว้บนบล็อกเชนและควบคุมโดยเราเอง เมื่อต้องการใช้บริการ ก็เพียงแค่ให้สิทธิ์แพลตฟอร์มนั้นเข้าถึงข้อมูลบางส่วนได้ชั่วคราว (Self-Sovereign Identity)
○    ระบบการลงคะแนนเสียง (Voting System) สร้างระบบเลือกตั้งที่คะแนนเสียงทุกคะแนนถูกบันทึกเป็นธุรกรรมบนบล็อกเชน ทุกคนสามารถตรวจสอบได้ว่าคะแนนถูกนับอย่างถูกต้องและไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงภายหลัง เพิ่มความเชื่อมั่นในกระบวนการประชาธิปไตย
○    สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ทำงานบนบล็อกเชน เปรียบเสมือน "ตู้ขายของอัตโนมัติ" ที่มีเงื่อนไขตั้งไว้ชัดเจน เช่น "ถ้า A โอนเงิน 1 ETH เข้าสัญญา สัญญาจะโอนกรรมสิทธิ์ NFT ให้ A ทันที" ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมีคนกลางมาดำเนินการให้ ลดความผิดพลาดและเพิ่มประสิทธิภาพ
○    โฉนดที่ดินดิจิทัล การบันทึกกรรมสิทธิ์ที่ดินบนบล็อกเชนจะสร้างหลักฐานการเป็นเจ้าของที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้และตรวจสอบได้ง่าย ลดปัญหาการทุจริต การปลอมแปลงเอกสาร และข้อพิพาทเรื่องที่ดิน

2. คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) สกุลเงินดิจิทัลบนบล็อกเชน
       คริปโตเคอร์เรนซี หรือ "คริปโต" คือ กรณีการใช้งาน (Use Case) แรกและโด่งดังที่สุด ของเทคโนโลยีบล็อกเชน เปรียบเสมือน แอปพลิเคชันอีเมล ที่เป็นแอปฯ แรก ๆ ที่ทำให้คนทั่วไปรู้จักและใช้งาน อินเทอร์เน็ต

●    นิยาม (Definition)
○    การเข้ารหัส (Cryptography) ชื่อ "คริปโต" มาจากการที่มันใช้เทคนิคการเข้ารหัสขั้นสูงเพื่อ 2 วัตถุประสงค์หลัก 1) รักษาความปลอดภัยของธุรกรรม ป้องกันการปลอมแปลง และ 2) ควบคุมการสร้างเหรียญใหม่เข้าสู่ระบบให้เป็นไปตามกฎที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
○    แตกต่างจากเงินในแอปฯ ธนาคาร เงินบาทในแอปพลิเคชันธนาคารของคุณเป็นเพียงตัวเลขในฐานข้อมูลของธนาคาร (Centralized) แต่คริปโตเคอร์เรนซีเป็นสินทรัพย์ที่อยู่บนเครือข่ายกระจายศูนย์ (Decentralized) ซึ่งคุณเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงผ่านกุญแจส่วนตัว (Private Key)

●    ประเภทของคริปโตเคอร์เรนซี (Types)
○    Coins คือสกุลเงิน "เจ้าบ้าน" ของบล็อกเชนนั้น ๆ มีหน้าที่สำคัญในการขับเคลื่อนเครือข่าย เช่น ใช้เป็นค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม (เรียกว่า "Gas Fee" บน Ethereum) หรือเป็นรางวัลให้กับผู้ที่ช่วยตรวจสอบและยืนยันธุรกรรม (Miners/Validators) ตัวอย่างเช่น คุณต้องใช้ ETH เพื่อทำธุรกรรมบนเครือข่าย Ethereum
○    Tokens คือสินทรัพย์ที่ "อาศัย" อยู่บนบล็อกเชนของคนอื่น เปรียบเหมือนแอปพลิเคชันที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS โดยไม่ต้องสร้างระบบปฏิบัติการของตัวเองขึ้นมาใหม่ การสร้างโทเคนนั้นง่ายและเร็วกว่าการสร้างบล็อกเชนใหม่ทั้งหมด จึงมีโทเคนเกิดขึ้นมากมายเพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน

     ■    Utility Tokens เช่น โทเคนสำหรับแลกพื้นที่เก็บข้อมูลบนเครือข่ายไฟล์ดิจิทัล หรือใช้เป็นตั๋วเข้าชมคอนเสิร์ตในโลกเสมือน (Metaverse)
     ■    Security Tokens เป็นการนำสินทรัพย์ในโลกจริงมาแปลงเป็นรูปแบบดิจิทัล (Tokenization) เช่น หุ้นของบริษัท, พันธบัตร, หรือส่วนแบ่งในอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้ซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ง่ายขึ้น
     ■    Governance Tokens ให้สิทธิ์ผู้ถือในการร่วมโหวตทิศทางการพัฒนาของโปรเจกต์ DeFi หรือ DAO (Decentralized Autonomous Organization) คล้ายกับการเป็นผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์ออกเสียงในบริษัท
○    Stablecoins สร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาความผันผวนของคริปโตทั่วไป โดยใช้วิธีรักษามูลค่าให้คงที่ เช่น USDT หรือ USDC จะมีเงินดอลลาร์สหรัฐเก็บสำรองไว้ในธนาคารในอัตราส่วน 1:1 กับจำนวนเหรียญที่หมุนเวียนในระบบ ทำให้มันเป็นเหมือน "สะพาน" ที่เชื่อมระหว่างโลกการเงินดั้งเดิมกับโลกคริปโต

●    คุณสมบัติเด่น (Key Features)
○    ไร้ตัวกลาง (Peer-to-Peer) การโอนเงินข้ามประเทศแบบดั้งเดิมอาจใช้เวลา 3-5 วันทำการและผ่านธนาคารหลายทอด ทำให้มีค่าธรรมเนียมสูง แต่การส่งคริปโตสามารถทำได้โดยตรงจากผู้ส่งถึงผู้รับภายในไม่กี่นาทีหรือชั่วโมง โดยมีค่าธรรมเนียมที่เกิดจากเครือข่ายเท่านั้น
○    ธุรกรรมข้ามพรมแดน (Borderless Transactions) ไม่ว่าคุณจะส่ง Bitcoin จากประเทศไทยไปให้เพื่อนที่อาร์เจนตินา หรือจากญี่ปุ่นไปแคนาดา กระบวนการและค่าธรรมเนียมจะเหมือนกันหมด ไม่มีข้อจำกัดด้านเขตแดนหรืออัตราแลกเปลี่ยนที่ซับซ้อน
○    มีความผันผวนสูง (High Volatility) ราคาของคริปโต (ยกเว้น Stablecoins) ขึ้นลงรุนแรงเพราะเป็นตลาดที่ยังใหม่ มีปัจจัยขับเคลื่อนจากข่าวสาร, กฎระเบียบภาครัฐ, การเก็งกำไร, และจิตวิทยาของนักลงทุนเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นทั้งโอกาสในการสร้างผลตอบแทนและความเสี่ยงสูง

3. บิตคอยน์ (Bitcoin - BTC) ผู้บุกเบิกแห่งโลกคริปโต
       บิตคอยน์ไม่ใช่แค่คริปโตสกุลหนึ่ง แต่เป็น จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง เป็นทั้ง คริปโตเคอร์เรนซีสกุลแรก และเป็น การนำบล็อกเชนมาใช้งานจริงครั้งแรก ที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับ

●    นิยาม (Definition)
○    ผลงานของ ซาโตชิ นากาโมโตะ ชื่อนี้เป็นเพียงนามแฝง จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครทราบตัวตนที่แท้จริงของเขา/เธอ/พวกเขา เอกสารที่เขาเผยแพร่ในปี 2008 ชื่อว่า "Bitcoin: A Peer-to-Peer Electronic Cash System" ได้วางรากฐานของทุกอย่างที่เราเห็นในวันนี้
○    Bitcoin (B ตัวใหญ่) vs. bitcoin (b ตัวเล็ก) ในวงการมักใช้ "Bitcoin" (B ใหญ่) เพื่อหมายถึงตัวเครือข่ายหรือเทคโนโลยีทั้งหมด (Bitcoin Blockchain) และใช้ "bitcoin" (b เล็ก) หรือ BTC เพื่อหมายถึงหน่วยของสกุลเงินนั้น ๆ

●    วัตถุประสงค์หลัก
○    ระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์แบบ Peer-to-Peer เป้าหมายของซาโตชิคือการสร้างระบบที่อนุญาตให้คนส่งเงินหากันผ่านอินเทอร์เน็ตได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางที่น่าเชื่อถือ (Trusted Third Party) อย่างธนาคารหรือ PayPal ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและแก้ปัญหาการยกเลิกธุรกรรมได้
○    จำนวนจำกัดสูงสุดที่ 21 ล้านเหรียญ (Hard Cap) กฎนี้ถูกฝังไว้ในโค้ดของบิตคอยน์และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพื่อสร้าง "ความขาดแคลนแบบดิจิทัล" (Digital Scarcity) และป้องกันภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งตรงข้ามกับสกุลเงินของรัฐบาล (Fiat Currency) ที่สามารถพิมพ์เพิ่มได้ตลอดเวลา การลดลงของรางวัลจากการขุดทุก ๆ 4 ปี (Halving) เป็นกลไกที่ทำให้บิตคอยน์หายากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป

●    ความสำคัญ (Importance)
○    ผู้บุกเบิก บิตคอยน์ได้แก้ไข "ปัญหาการใช้จ่ายซ้ำซ้อน" (Double-Spending Problem) ของสินทรัพย์ดิจิทัลได้สำเร็จเป็นครั้งแรกโดยไม่ต้องมีศูนย์กลาง ซึ่งเป็นโจทย์ที่นักวิทยาการคอมพิวเตอร์พยายามแก้ไขมานานหลายทศวรรษ
○    เป็นที่รู้จักมากที่สุด ชื่อเสียงของบิตคอยน์แข็งแกร่งจนกลายเป็นตัวแทนของตลาดคริปโตทั้งหมด ราคาของบิตคอยน์มักเป็นดัชนีชี้วัดทิศทางของตลาดคริปโตโดยรวม และเป็นประตูบานแรกที่คนส่วนใหญ่ก้าวเข้ามาสู่โลกของสินทรัพย์ดิจิทัล
○    Store of Value (สินทรัพย์รักษามูลค่า) ด้วยคุณสมบัติเรื่องความขาดแคลน, การกระจายศูนย์ (ไม่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลใด), และความทนทาน (เครือข่ายทำงานมาตลอด 24/7 ตั้งแต่ปี 2009) ทำให้หลายคนมองว่าบิตคอยน์มีลักษณะคล้าย "ทองคำดิจิทัล" ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่สามารถใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อหรือความไร้เสถียรภาพของระบบการเงินแบบดั้งเดิมได้
สรุปง่าย ๆ ในหนึ่งประโยค