DeFi 2.0 คืออะไร ทำความรู้จักกับวิวัฒนาการของการเงินแบบกระจายศูนย์

เริ่มโดย Support-3, พฤษภาคม 19, 2025, 12:12:26 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

Support-3

DeFi 2.0 คืออะไร
•    DeFi 2.0 คือ เจเนอเรชันใหม่ของการเงินแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Finance) ที่มุ่งแก้ไขข้อจำกัดและปัญหาต่างๆ ของ DeFi 1.0
•    เป็นการพัฒนาต่อยอดที่มุ่งเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้งานเงินทุน ความเสถียร และกลไกของสภาพคล่อง รวมถึงแรงจูงใจผู้ใช้ที่ดีกว่า
•    จุดเริ่มต้นของ DeFi 2.0 เกิดขึ้นประมาณช่วงปลายปี 2021 เพื่อแก้ไขปัญหาที่พบใน DeFi 1.0



ความแตกต่างระหว่าง DeFi 1.0 และ DeFi 2.0
DeFi 1.0
•    เป็นยุคเริ่มต้นของการเงินแบบกระจายศูนย์บนบล็อกเชน
•    มีข้อจำกัดด้านสภาพคล่อง ค่าธรรมเนียมสูง และความเสี่ยงสูง
•    ใช้แนวคิดพื้นฐาน เช่น Automated Market Makers (AMM) และ Liquidity Pools
•    ผู้ให้สภาพคล่องมักถอนเงินออกเมื่อได้ผลตอบแทนที่พอใจ (Toxic Liquidity)
•    มีปัญหาด้านความปลอดภัยและการเข้าถึงของนักลงทุน
DeFi 2.0
•    ปรับปรุงปัญหาที่พบจาก DeFi 1.0 ด้วยนวัตกรรมและแนวคิดใหม่
•    มุ่งเน้นการจัดการสภาพคล่องที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
•    พัฒนาระบบความปลอดภัยที่ดีกว่า
•    สร้างความยั่งยืนให้กับโปรโตคอลต่างๆ
•    รองรับการขยายตัวและการเติบโตของอุตสาหกรรม

กลไกสำคัญของ DeFi 2.0
1. Protocol-Owned Liquidity (POL)
•    POL คือแนวคิดที่โปรโตคอลเป็นเจ้าของสภาพคล่องของตัวเองแทนที่จะพึ่งพาผู้ให้สภาพคล่องภายนอก
•    ช่วยแก้ปัญหา "Toxic Liquidity" ที่เกิดจากการถอนสภาพคล่องของนักลงทุนเมื่อได้ผลตอบแทนที่พอใจ
•    มีความยั่งยืนมากกว่าเพราะโปรโตคอลควบคุมสภาพคล่องเอง ไม่ต้องกังวลว่านักลงทุนจะถอนเงินออก
•    ตัวอย่างเช่น Olympus DAO ที่ใช้ระบบ Bonding เพื่อซื้อสภาพคล่องจากผู้ใช้แลกกับโทเคนของแพลตฟอร์มในราคา Discount
2. Decentralized Market Maker (DMM)
•    ปรับปรุงจากแนวคิด Automated Market Maker (AMM) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
•    ช่วยให้นักลงทุนสามารถกำหนดช่วงราคาซื้อขายได้ แทนที่จะเป็นการใช้สภาพคล่องในทุกช่วงราคา
•    เพิ่มประสิทธิภาพการใช้เงินทุน (Capital Efficiency) ให้สูงขึ้น
•    ตัวอย่างเช่น Uniswap V3 ที่ให้ผู้ให้สภาพคล่องสามารถเลือกช่วงราคาที่ต้องการให้สภาพคล่องได้
3. Cross-chain และ Layer 2 Solutions
•    แก้ปัญหาค่าธรรมเนียมสูงและความล่าช้าในการทำธุรกรรมบนบล็อกเชนหลัก (เช่น Ethereum)
•    เพิ่มความสามารถในการปรับขนาด (Scalability) ของระบบ DeFi
•    ช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำธุรกรรมข้ามบล็อกเชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
•    ตัวอย่างเช่น การใช้ Layer 2 บน Ethereum, Solana, BSC (BNB Smart Chain) และ TRON
4. Risk Management และ Insurance Protocols
•    มุ่งเน้นการจัดการความเสี่ยงและการประกันในระบบ DeFi
•    ช่วยป้องกันการสูญเสียจากการถูกแฮ็ก หรือความผิดพลาดของสัญญาอัจฉริยะ
•    มอบความคุ้มครองสำหรับผู้ให้บริการสภาพคล่องเพื่อป้องกันการสูญเสียที่เกิดขึ้นซ้ำ (Impermanent Loss)
•    ตัวอย่างเช่น โปรโตคอลประกันการสูญเสียที่ผันผวนหรือกองทุนประกันที่เกิดจากค่าธรรมเนียมที่ได้รับจาก LP แบบทางเดียว
5. Self-Loan (สินเชื่อตัวเอง)
•    ระบบเงินกู้แบบใหม่ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงในการชำระบัญชี
•    อนุญาตให้ผู้ใช้กู้ยืมโดยใช้สินทรัพย์ของตนเองเป็นหลักประกัน
•    ลดความเสี่ยงของการถูกบังคับขาย (Liquidation) ในตลาดที่ผันผวน

ตัวอย่างโปรเจ็กต์ DeFi 2.0 ที่สำคัญ


1. Olympus DAO (OHM)
•    หนึ่งในโปรเจ็กต์แรกๆ ที่เริ่มนำแนวคิด DeFi 2.0 มาใช้
•    ใช้ระบบ Protocol-Owned Liquidity และการขาย Bonds เพื่อสร้างสภาพคล่องระยะยาว
•    สร้างแนวคิด (3, 3) เพื่อสนับสนุนการ Staking และการถือครองระยะยาว
•    ทำงานบนเครือข่ายบล็อกเชน Ethereum
2. Abracadabra Money (SPELL)
•    ให้บริการสร้าง Stablecoin แบบกระจายศูนย์ที่เรียกว่า Magic Internet Money (MIM)
•    ใช้สินทรัพย์ที่สร้างรายได้ (Interest-bearing assets) เป็นหลักประกัน
•    ทำงานบนหลายบล็อกเชน รวมถึง BNB Smart Chain
3. Lido Finance
•    ผู้นำตลาด DeFi 2.0 ที่มีมูลค่าสูงสุด
•    ให้บริการ Liquid Staking สำหรับ ETH และคริปโตอื่นๆ
•    ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ประโยชน์จากโทเคนที่ถูกล็อกได้
•    มีมูลค่าสินทรัพย์ที่ล็อกไว้ในระบบ (TVL) มากกว่า $8.8 พันล้าน
4. Frax Finance
•    นำเสนอ Stablecoin แบบกึ่งกระจายศูนย์ (Frax) และโทเคน Governance (FXS)
•    ผสมผสานโมเดลแบบมีหลักประกันบางส่วนและแบบไม่มีหลักประกัน
•    พัฒนาไปสู่ระบบนิเวศการเงินที่สมบูรณ์มากขึ้น
5. Convex Finance
•    ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้งานของ Curve Finance
•    เพิ่มผลตอบแทนสำหรับผู้ให้สภาพคล่องใน Curve
•    สร้างการแข่งขันเพื่อควบคุมการโหวตใน CRV (Curve Wars)

ข้อดีของ DeFi 2.0
•    ความปลอดภัยที่ดีขึ้น: มาตรฐานความปลอดภัยที่สูงขึ้นและการตรวจสอบสัญญาอัจฉริยะอย่างเข้มงวด
•    ประสิทธิภาพการใช้เงินทุนที่ดีขึ้น: ใช้ประโยชน์จากเงินทุนได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
•    ความยั่งยืน: สร้างความยั่งยืนให้กับโปรโตคอลด้วยระบบสภาพคล่องที่โปรโตคอลเป็นเจ้าของ
•    ค่าธรรมเนียมต่ำลง: การใช้ Layer 2 และเครือข่ายทางเลือกช่วยลดค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม
•    การกระจายศูนย์มากขึ้น: การโอนการตัดสินใจเรื่องการควบคุมให้แก่ชุมชนผ่านระบบ DAO (Decentralized Autonomous Organization)
•    แรงจูงใจที่ดีกว่า: สร้างแรงจูงใจที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ระยะยาวของโปรโตคอล

ข้อเสียและความเสี่ยงของ DeFi 2.0
•    ความสามารถในการปรับขนาดที่จำกัด: แม้จะมีการปรับปรุง แต่ยังมีข้อจำกัดด้านความสามารถในการรองรับธุรกรรมจำนวนมาก
•    ความปลอดภัย: ลูกค้าจำนวนมากยังไม่เข้าใจความเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ DeFi อย่างถ่องแท้
•    Bug ในสัญญาอัจฉริยะ: แม้จะมีการตรวจสอบความปลอดภัย แต่ยังอาจมีช่องโหว่หรือข้อผิดพลาดในโค้ด
•    การจัดหาข้อมูลที่มีคุณภาพ: ต้องการออราเคิลคุณภาพสูงและความแม่นยำของผู้ให้บริการข้อมูล
•    ความเสี่ยงจากการถูกบังคับขาย (Liquidation): ในช่วงตลาดขาลงที่ราคาตกมาก อาจทำให้หลักประกันถูกบังคับขาย
•    กฎระเบียบ: ยังไม่มีการออกนโยบายกำกับดูแล DeFi อย่างจริงจัง ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

การพัฒนาและแนวโน้มของ DeFi 2.0
•    การเชื่อมโยงกับระบบการเงินแบบดั้งเดิม: มีแนวโน้มที่ DeFi 2.0 จะเชื่อมโยงกับระบบการเงินแบบดั้งเดิมมากขึ้น
•    การพัฒนากฎระเบียบ: หน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศกำลังให้ความสนใจกับ DeFi มากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การกำหนดกฎระเบียบเฉพาะในอนาคต
•    การขยายตัวของฐานนักลงทุนสถาบัน: การอนุมัติ ETF และผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับคริปโตจะดึงดูดนักลงทุนสถาบันมากขึ้น
•    การพัฒนาด้านความปลอดภัย: จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องเพื่อลดความเสี่ยงต่างๆ
•    Metaverse และ NFT ใน DeFi: การผสมผสานระหว่าง DeFi กับ NFT และ Metaverse จะสร้างโอกาสและบริการทางการเงินรูปแบบใหม่

วิธีเข้าสู่โลก DeFi 2.0
•    ศึกษาและทำความเข้าใจ: ศึกษาหลักการพื้นฐานของ DeFi และคริปโตเคอเรนซีให้เข้าใจก่อนเริ่มลงทุน
•    เริ่มต้นด้วยเงินลงทุนที่ยอมรับการขาดทุนได้: ไม่ควรนำเงินที่จำเป็นต้องใช้มาลงทุน เนื่องจากตลาดคริปโตมีความผันผวนสูง
•    เลือกแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ: เลือกใช้บริการจากแพลตฟอร์มที่มีความน่าเชื่อถือและได้รับการตรวจสอบความปลอดภัย
•    ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลที่ปลอดภัย: ใช้ Hot Wallet สำหรับการทำธุรกรรมประจำวัน และ Cold Wallet สำหรับเก็บสินทรัพย์จำนวนมาก
•    ตั้งค่าการรักษาความปลอดภัย: ใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนและเปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA)
•    ติดตามข่าวสารและพัฒนาการ: ติดตามข่าวสารและพัฒนาการของตลาด DeFi อย่างต่อเนื่องเพื่อตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสม

บทสรุป
       DeFi 2.0 เป็นวิวัฒนาการที่สำคัญของการเงินแบบกระจายศูนย์ ที่มุ่งแก้ไขข้อจำกัดและปัญหาต่างๆ ของ DeFi 1.0 ด้วยนวัตกรรมและแนวคิดใหม่ๆ เช่น Protocol-Owned Liquidity, การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้เงินทุน และการพัฒนาด้านความปลอดภัย
       แม้ว่า DeFi 2.0 จะยังมีความเสี่ยงและข้อจำกัดบางประการ แต่ก็นับเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมคริปโตมีความยั่งยืนและเข้าถึงได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการพัฒนากฎระเบียบและมาตรฐานความปลอดภัยที่เหมาะสม
การที่จะประสบความสำเร็จในโลกของ DeFi 2.0 นั้น ต้องอาศัยการศึกษา การวางแผน และการบริหารความเสี่ยงที่ดี รวมถึงการติดตามข่าวสารและพัฒนาการของตลาดอย่างต่อเนื่อง
       อนาคตของ DeFi 2.0 มีแนวโน้มที่จะเติบโตและพัฒนาต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเชื่อมโยงกับระบบการเงินแบบดั้งเดิม การขยายตัวของฐานนักลงทุนสถาบัน และการพัฒนาด้านความปลอดภัย