ข่าว:

กระทู้ล่าสุด

#1
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / ต่อ: Forex Signal
กระทู้ล่าสุด โดย narjant - ธันวาคม 12, 2025, 12:53:20 หลังเที่ยง
#2
การวิเคราะห์ทางเทคนิค / การซื้อขายแบบราคาแกว่งตัว ด้วย...
กระทู้ล่าสุด โดย support-1 - ธันวาคม 12, 2025, 04:13:30 ก่อนเที่ยง
หัวใจหลักของการซื้อขายแบบ ราคาแกว่งตัว หรือ SWING TRADE คือการค้นหา การยืนยันในรูปแบบการเข้าเทรด เพราะประเด็นสำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค การเข้าเทรดที่มีประสิทธิภาพสูง จะต้องได้รับการยืนยันจากวิธีการวิเคราะห์ที่หลากหลายวิธีการ  นอกเหนือจากการใช้วิธีการที่ต่างกันแล้ว ตัวเทรดเดอร์ยังสามารถมองหาการยืนยันจากกรอบเวลาที่สูงขึ้นได้อีก และนี่คือเหตุผลที่การวิเคราะห์หลายช่วงเวลา (TIME FRAME) เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในหมู่เทรดเดอร์ต่าง ๆ มาก  มีวิธีง่าย ๆในการปรับตัวให้เข้ากับภาพขนาดใหญ่.

เทรดเดอร์ในตลาด FOREX ส่วนมากจะเป็นเทรดเดอร์ ประเภท SWING TRADING สืบเนื่องจากว่าราคาในตลาด FOREX นั้นมีความผันผวนสูง จึงอาจทำให้เทรดเดอร์ทั่วไปค่อนข้างกังวลใจ  เพราะความผันผวนจริง ๆ แล้วก็ถือเป็นความเสี่ยง ให้เทรดเดอร์ลองมองมุมกลับว่าจะหาประโยชน์จากการผันผวนดังกล่าวนี้ได้อย่างไร?

ในบทความนี้ จะดูที่กลยุทธ์การซื้อขาย แบบราคาแกว่งตัวโดยใช้สองกรอบเวลาแบบง่าย และจะใช้ค่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่และรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคากราฟแท่งเทียน ในทั้งสองช่วงเวลา ในที่นี้ ใช้ กรอบเวลา D1 และ W1

545.jpg

กฎของการซื้อขายแบบราคาแกว่งตัว ด้วยการสังเกตจากหลายช่วงเวลา

การเทรดในลักษณะการซื้อขายแบบราคาแกว่งตัว (SWING) มักมีเป้าหมายในช่วงสองถึงสามวันเป็นต้นไป กระทั้งสองถึงสามสัปดาห์ ดังนั้นกรอบเวลารายวันจึงเป็นกรอบเวลาหลักในการวิเคราะห์ ส่วนกรอบเวลารายสัปดาห์จะเป็นการสร้างกรอบเวลาที่สูงขึ้น เพื่อการมองไว้ก่อน

ในที่นี้ จะขอกล่าวถึงเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ อีกด้วย โดยกำหนดที่เส้นค่าเฉลี่ย 20 เป็นเส้นแบบ ปรกติ (SIMPLE MOVING AVERAGE - SMA) ให้เทรดเดอร์สังเกตความลาดชันของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ที่กำหนดนี้ด้วย ทั้งในสองช่วงกรอบเวลา

546.jpg

กฎของการเทรดในช่วงตลาดขาขึ้น (BULLISH TREND) มี 4 ข้อหลักๆ ดังนี้

1. เส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE 20  ลาดขึ้นในช่วงกรอบเวลารายสัปดาห์

2. เส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE 20  หันเส้นลง (คล้ายหักหัวลง) ในกรอบเวลารายวัน (มีโอกาสที่กราฟราคาจะย้อนกลับหรือย่อตัวได้)

3. ให้เทรดเดอร์วางคำสั่งซื้อล่วงหน้า (คำสั่งซื้อล่วงหน้าแบบทะลุขึ้นไป แล้วให้ระบบเปิดคำสั่งออเดอร์ทันที – BUY STOP) วางที่ด้านบนสุดของกราฟราคาแท่งเทียน แท่งที่แกว่งตัวสูงสุด โดยที่กราฟยังอยู่ด้านบนของเส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE 20 อีกด้วย

4. ให้เทรดเดอร์ยกเลิกคำสั่งซื้อล่วงหน้า ถ้าเส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE รายสัปดาห์เริ่มลาดลง


กฎของการเทรดในช่วงตลาดขาลง (BEARISH TREND) มี 4 ข้อหลักๆ ดังนี้

1. เส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE 20  ลาดลงในช่วงกรอบเวลารายสัปดาห์

2. เส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE 20  หันเส้นขี้น (คล้ายหักหัวขึ้น) ในกรอบเวลารายวัน (มีโอกาสที่กราฟราคาจะย้อนกลับหรือย่อตัวได้)

3. ให้เทรดเดอร์วางคำสั่งขายล่วงหน้า (คำสั่งขายล่วงหน้าแบบทะลุลงไป แล้วให้ระบบเปิดคำสั่งออเดอร์ทันที – SELL STOP) วางที่ด้านล่างสุดของกราฟราคาแท่งเทียน แท่งที่แกว่งตัวต่ำสุด โดยที่กราฟยังอยู่ด้านล่างของเส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE 20 อีกด้วย

4. ให้เทรดเดอร์ยกเลิกคำสั่งขายล่วงหน้า ถ้าเส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE รายสัปดาห์เริ่มลาดขึ้น

ถ้าเทรดเดอร์สังเกตจะเห็นว่า กฎระหว่าง กฎของการเทรดในช่วงตลาดขาขึ้น (BULLISH TREND) กับ กฎของการเทรดในช่วงตลาดขาลง (BEARISH TREND) จะตรงข้ามกัน ดังนั้นอย่าสับสนระหว่าง เทรนขาขึ้น กับ เทรนขาลง       
                         
ตัวอย่าง - การซื้อขายการซื้อขายแบบราคาแกว่งตัว ด้วยการสังเกตจากหลายช่วงเวลา

                                                                                       TIME FRAME D1

547.jpg

                                                                                                    TIME FRAME W1
     
548.jpg

1.   เส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE 20 ในช่วงเวลารายสัปดาห์ ที่ลาดชันขึ้น เป็นสัญญาณของราคากราฟแท่งเทียนในขาขึ้น

2.   ให้เทรดเดอร์ ดูที่เส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE 20 ที่ช่วงเวลารายวัน เมื่อมีการลาดชันลง นั่นหมายความถึงว่า มีโอกาสเป็นไปได้ที่จะเป็นสัญญาณขาขึ้นของตลาด และให้เทรดเดอร์สังเกต อาจเป็นลักษณะกราฟแท่งเทียนแบบ ย้อนกลับได้ นั่นเอง

3.   ให้เทรดเดอร์วางคำสั่งซื้อล่วงหน้า (BUY STOP) ที่ด้านบนของกราฟแท่งเทียนที่แกว่งตัวลง โดยต้องอยู่บนเส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE 20 คำสั่งซื้อจะทำงานในจุดนี้ ก็ต่อเมื่อมีการแกว่งตัวสูงขึ้นสำหรับกราฟราคา  เทรดเดอร์ทั้งหลายอย่าลืมกำหนดจุดขาดทุนไว้ด้วย โดยมากมักจะกำหนดไว้ที่ การแกว่งตัวที่ต่ำสุดของกราฟแท่งเทียนก่อนหน้า

4.   หลังจากที่ เทรดเดอร์กำหนดจุดที่จะเข้าทำรายการการซื้อขายได้แล้ว แม้ว่ากรอบช่วงเวลากราฟรายวันจะมีการเคลื่อนไหวเหมือนจะปรับตัวลง แต่อย่างไรก็ตาม เส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE 20 ในช่วงเวลารายสัปดาห์ก็ยังคงมีมุมมองและแนวโน้มเป็นขาขึ้นอยู่ ถึงแม้จะมีการปรับตัวลงในช่วงกรอบเวลารายวัน จากข้อสังเกตนี้เป็นสนับสนุนหรือทำให้ เหล่าเทรดเดอร์ปล่อยให้ผลกำไรของดำเนินไปได้

ทบทวน - การซื้อขายแบบราคาแกว่งตัว ด้วยการสังเกตจากหลายช่วงเวลา

กลยุทธ์การซื้อขายแบบสังเกต สองกรอบเวลานี้ เป็นรูปแบบพื้นฐานของมองกราฟแบบใช้กรอบเวลาเลยทีเดียว ประโยชน์ของการมองกราฟแบบสองกรอบเวลานี้ จะทำให้ตัวเทรดเดอร์มั่นใจได้ว่า การกระทำของกราฟแท่งเทียนเป็นไปตามที่เทรดเดอร์คิดไว้ เรียกได้ว่าเป็นการยืนยันทิศทางในรอบใหญ่ได้

แน่นอนเทรดเดอร์สามารถปรับปรุงกลยุทธ์นี้ได้โดยการเพิ่มกรอบเวลาหรือตัวชี้วัดอื่น ๆ เพิ่มเติม การตั้งค่าการซื้อขายในช่วงเวลาอื่น ๆ ใช้กรอบเวลาได้สูงสุดถึงสามชุด พร้อมตัวบ่งชี้ทางเทคนิคที่แตกต่างกัน เช่น เส้นแนวโน้ม หรือเส้นค่าเฉลี่ย

หากเทรดเดอร์ต้องการเพิ่มกรอบเวลาอื่นในกลยุทธ์การมองสองกรอบเวลานี้ เทรดเดอร์สามารถพิจารณา แล้วใช้กรอบเวลารายเดือนเพื่อตรวจสอบภาวะตลาดได้ นอกจากนี้เทรดเดอร์ยังสามารถเจาะลึกลงไปถึงกรอบเวลาที่ต่ำกว่า เช่นกรอบเวลารายชั่วโมง  เพื่อเป็นการปรับแต่งเวลาของเทรดเดอร์ วิธีการนี้เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการลดความเสี่ยงในการเข้าเทรดของตัวเทรดเดอร์เองได้
#3
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / บทวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค USDJP...
กระทู้ล่าสุด โดย support-2 - ธันวาคม 12, 2025, 02:30:56 ก่อนเที่ยง
UsdJpy 12-12.png
คู่เงิน/สินค้า: USDJPY

Bias: ขาลง (ราคาเพิ่งลงมาจากจุดสูงสุด และมีการพักตัวในบริเวณ Supply Zone ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอาจมีการลงต่อเพื่อทดสอบ Demand Zone ด้านล่าง)

โซนสำคัญ: Supply Zone, Demand Zone

แผน SHORT: พิจารณาเปิดสถานะ Short หากราคาปรับตัวขึ้นไปทดสอบและมีการกลับตัวในบริเวณ Supply Zone

Stop Loss (SL): เหนือจุด SL ในภาพ

เงื่อนไขเปลี่ยนมุมมอง: ราคาทะลุผ่านและปิดเหนือจุด SL ในภาพได้อย่างชัดเจน

--------------------------------------------------------------------------------

GbpUsd 12-12.png
คู่เงิน/สินค้า: GBPUSD

Bias: ขาขึ้น (ราคาได้ทะลุผ่าน Resistance turn to Support ขึ้นไป และกลับลงมาพักตัวในโซน Support ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอาจมีการขึ้นต่อ)

โซนสำคัญ: Resistance turn to Support

แผน LONG: พิจารณาเปิดสถานะ Long หากราคาปรับตัวลงมาทดสอบและมีการกลับตัวในบริเวณ Support

Stop Loss (SL): ต่ำกว่าจุด SL ในภาพ

เงื่อนไขเปลี่ยนมุมมอง: ราคาทะลุผ่านและปิดต่ำกว่าจุด SL ในภาพได้อย่างชัดเจน
#4
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / ต่อ: Forex Signal
กระทู้ล่าสุด โดย narjant - ธันวาคม 12, 2025, 12:30:28 ก่อนเที่ยง
Sell XAUUSD 4280
รึบน 4288
Limit 4290
Sl 4265
#5
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / Forex Signal
กระทู้ล่าสุด โดย narjant - ธันวาคม 12, 2025, 12:29:12 ก่อนเที่ยง
#6
พื้นฐาน Crypto / Coin vs Token ต่างกันอย่างไร? ...
กระทู้ล่าสุด โดย Support-3 - ธันวาคม 11, 2025, 01:32:55 หลังเที่ยง
Coin vs Token ต่างกันอย่างไร?



      ในโลกของการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล ปัญหาแรกที่นักลงทุนหน้าใหม่เกือบทุกคนต้องเจอคือ "ความสับสนในคำศัพท์" โดยเฉพาะคำว่า Coin (เหรียญ) และ Token (โทเคน) ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเรียกเหมารวมกันว่า "เหรียญ" แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในเชิงโครงสร้างเทคโนโลยี มูลค่า และวัตถุประสงค์การใช้งาน

เจาะลึกความแตกต่าง Coin vs Token
แม้ว่าปลายทางของทั้งคู่จะสามารถใช้เทรด โอน หรือเก็งกำไรได้เหมือนกัน แต่จุดกำเนิดและ "ที่อยู่" ของมันนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง

Coin (เหรียญ) คืออะไร?
Coin หรือ Native Coin คือสกุลเงินดิจิทัลที่มี "บล็อกเชนเป็นของตัวเอง" (Own Blockchain) ไม่ได้พึ่งพาบ้านของใคร สกุลเงินเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นรากฐานของระบบเครือข่ายนั้นๆ
หน้าที่หลักของ Coin
●    ใช้จ่ายค่าธรรมเนียม (Gas Fee) หน้าที่สำคัญที่สุดคือใช้เป็น "ค่าผ่านทาง" หรือค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมบนเครือข่ายนั้นๆ เพื่อจ่ายให้กับนักขุด (Miner) หรือผู้ตรวจสอบธุรกรรม (Validator)
●    Store of Value ใช้เป็นแหล่งเก็บรักษามูลค่า เปรียบเสมือนทองคำดิจิทัล
●    Medium of Exchange ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ
ตัวอย่างของ Coin
●    Bitcoin (BTC) รันอยู่บน Bitcoin Blockchain
●    Ethereum (ETH) รันอยู่บน Ethereum Blockchain
●    Solana (SOL) รันอยู่บน Solana Blockchain
●    Dogecoin (DOGE) รันอยู่บน Dogecoin Blockchain (Fork มาจาก Litecoin อีกที)

Token (โทเคน) คืออะไร?
      Token คือ สินทรัพย์ดิจิทัลที่ "ไม่มีบล็อกเชนเป็นของตัวเอง" แต่ถูกสร้างขึ้นโดยการเขียนโปรแกรม (Smart Contract) ฝากไว้บนบล็อกเชนของคนอื่น (ส่วนใหญ่มักสร้างบน Ethereum)
      เปรียบเทียบง่ายๆ Coin เปรียบเสมือน "เจ้าของที่ดิน" หรือ "เจ้าของห้างสรรพสินค้า" ที่สร้างโครงสร้างพื้นฐาน ระบบไฟ ระบบน้ำ ไว้เอง Token เปรียบเสมือน "ร้านค้า" หรือ "คูปองศูนย์อาหาร" ที่มาเช่าพื้นที่ในห้างนั้นเปิดร้าน โดยต้องจ่ายค่าเช่า (ค่า Gas) ให้กับเจ้าของห้าง (Coin) เพื่อให้ร้านดำเนินต่อไปได้

ประเภทของ Token ที่ควรรู้จัก


1.    Utility Token สร้างมาเพื่อใช้ประโยชน์ในระบบนิเวศนั้นๆ เช่น ใช้แลกของรางวัล, ใช้ลดค่าธรรมเนียมเทรด, หรือใช้โหวตทิศทางโปรเจกต์ (Governance) ตัวอย่างเช่น เหรียญ UNI (Uniswap) หรือ BNB (ในอดีตก่อนมี Chain ของตัวเอง)
2.    Security Token มีลักษณะคล้ายหลักทรัพย์ (หุ้น/พันธบัตร) ที่ถูกแปลงมาอยู่ในรูปแบบดิจิทัล มักมีสินทรัพย์จริงหนุนหลังและให้สิทธิ์ความเป็นเจ้าของหรือเงินปันผล
3.    Stablecoin โทเคนที่ตรึงมูลค่าไว้กับสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ เช่น เงินดอลลาร์ (USDT, USDC) ซึ่งพวกนี้ถือเป็น Token เพราะไม่มีเชนเป็นของตัวเอง แต่วิ่งอยู่บนเชนอย่าง Ethereum หรือ Tron

ศัพท์พื้นฐานอื่นๆ ที่มือใหม่มักเข้าใจผิด (Misconceptions)



นอกจากเรื่อง Coin และ Token แล้ว ยังมีคำศัพท์อีกหลายคำที่นักลงทุนหน้าใหม่มักสับสน ซึ่งความเข้าใจผิดเหล่านี้อาจนำไปสู่ความผิดพลาดในการลงทุนได้
1.Bitcoin vs Blockchain
หลายคนคิดว่าสองคำนี้คือสิ่งเดียวกัน แต่ความจริงแล้ว
Blockchain คือ "เทคโนโลยี" (ระบบบันทึกข้อมูลแบบกระจายศูนย์) เปรียบเหมือน "สมุดบัญชีธนาคาร"
Bitcoin คือ "สินทรัพย์" หรือสกุลเงินแรกที่นำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ เปรียบเหมือน "ตัวเลขเงิน" ในสมุดบัญชีนั้น
สรุป Blockchain เป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเรื่องอื่นที่ไม่ใช่การเงินก็ได้ (เช่น การขนส่ง, การแพทย์) ส่วน Bitcoin เป็นเพียงแอปพลิเคชันหนึ่งของ Blockchain เท่านั้น

2.Altcoin (อัลทคอยน์)
คำนี้ย่อมาจาก "Alternative Coin" แปลตรงตัวคือ "เหรียญทางเลือก"
●    ความหมายดั้งเดิม เหรียญอะไรก็ตามที่ "ไม่ใช่ Bitcoin" ถือเป็น Altcoin ทั้งหมด (รวมถึง Ethereum ด้วยในบางนิยาม)
●    ความเข้าใจผิด มือใหม่มักคิดว่า Altcoin คือเหรียญขยะหรือเหรียญซิ่ง แต่จริงๆ แล้ว Altcoin รวมถึงเหรียญเทคโนโลยีดีๆ อย่าง ETH, SOL, หรือ ADA ด้วย

3.Market Cap vs Price (มูลค่าตลาด vs ราคาเหรียญ)
นี่คือกับดักที่ใหญ่ที่สุดของมือใหม่ หลายคนชอบซื้อเหรียญที่ "ราคาถูก" (เช่น 0.0001 บาท) เพราะคิดว่าจะไปถึง 1 บาทได้ง่ายกว่าเหรียญราคาแพง
Price (ราคา) คือมูลค่าต่อ 1 เหรียญ
Market Cap (มูลค่าตามราคาตลาด) คำนวณจาก ราคาเหรียญ x จำนวนเหรียญทั้งหมดที่มี (Circulating Supply)
ตัวอย่าง
●    เหรียญ A ราคา 10 บาท มี 1,000,000 เหรียญ -> Market Cap = 10 ล้านบาท
●    เหรียญ B ราคา 1 บาท มี 100,000,000 เหรียญ -> Market Cap = 100 ล้านบาท
ข้อควรระวัง เหรียญ B แม้ราคาจะถูกกว่า A ถึง 10 เท่า แต่การจะทำให้ราคาขึ้นเป็น 2 บาท ต้องใช้เงินมหาศาลมาดันมูลค่าตลาดให้เป็น 200 ล้านบาท ดังนั้น อย่าดูแค่ราคาถูก ให้ดู Market Cap และจำนวนเหรียญ (Supply) ประกอบเสมอ

4.Hot Wallet vs Cold Wallet
กระเป๋าเก็บเงินดิจิทัลไม่ได้มีแค่แบบเดียว
Hot Wallet กระเป๋าที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา (เช่น แอปในมือถือ, กระเป๋าบนเว็บเทรด, MetaMask)
●    ข้อดี: สะดวก โอนไว เทรดง่าย
●    ข้อเสีย: เสี่ยงต่อการถูกแฮ็กมากกว่า
Cold Wallet กระเป๋าที่ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (Hardware Wallet หน้าตาเหมือน USB Drive)
●    ข้อดี: ปลอดภัยสูงสุด แฮ็กไม่ได้ถ้าไม่เข้าถึงตัวอุปกรณ์
●    ข้อเสีย: ใช้งานยากกว่า ต้องเสียบอุปกรณ์เมื่อจะโอนออก

5.CEX vs DEX (กระดานเทรด)
CEX (Centralized Exchange) กระดานเทรดที่มีตัวกลางคอยดูแล (เช่น Binance, Bitkub)
●    เราฝากเงินไว้กับเขา ถ้าเขาปิดหนี เราอาจสูญเงิน (Not your keys, not your coins)
●    เหมาะสำหรับมือใหม่ ใช้งานง่าย มี Call Center
DEX (Decentralized Exchange) กระดานเทรดที่ไม่มีตัวกลาง ทำงานด้วย Smart Contract (เช่น Uniswap, PancakeSwap)
●    เราถือครองเหรียญเองในกระเป๋าส่วนตัว (Wallet) เชื่อมต่อแล้วแลกเปลี่ยนเลย
●    ปลอดภัยในแง่การเป็นเจ้าของ แต่มีความเสี่ยงเรื่อง Smart Contract Bug หรือการกดลิงก์ปลอม

6.Public Address vs Private Key (เลขบัญชี vs รหัสลับ)
นี่คือความเข้าใจผิดที่ "อันตรายที่สุด" เพราะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเงินโดยตรง
Public Address (หรือ Wallet Address)
       ○    เปรียบเสมือน "เลขที่บัญชีธนาคาร"
       ○    สิ่งที่ควรทำ: แจกให้คนอื่นได้ เพื่อให้เขาโอนเงินมาให้เรา
       ○    หน้าตา: มักเป็นรหัสยาวๆ เช่น 0x123abc...
Private Key
       ○    เปรียบเสมือน "ลายเซ็น" หรือ "รหัส PIN ATM"
       ○    สิ่งที่ควรทำ: ห้ามให้ใครเห็นเด็ดขาด เก็บไว้เป็นความลับสุดยอด เพราะใครมี Private Key คนนั้นมีสิทธิ์ถอนเงินออกจากกระเป๋า
       ○    ความเข้าใจผิด: มือใหม่บางคนเผลอส่ง Private Key ให้คนอื่นเพราะคิดว่าเป็นเลขบัญชีสำหรับการโอนเงินเข้า ทำให้ถูกขโมยเงินจนหมด

7.CBDC vs Cryptocurrency (เงินดิจิทัลภาครัฐ vs คริปโทฯ)
คนไทยมักสับสนคำว่า "เงินดิจิทัล" (เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต) กับ "คริปโทเคอร์เรนซี"
       Cryptocurrency (เช่น Bitcoin) เป็นระบบ Decentralized (กระจายศูนย์) ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งคุม รัฐบาลสั่งอายัดไม่ได้ แบงก์ชาติพิมพ์เพิ่มตามใจชอบไม่ได้
       CBDC (Central Bank Digital Currency - เช่น เงินบาทดิจิทัล) เป็นระบบ Centralized (รวมศูนย์) ออกโดยธนาคารกลาง มีมูลค่าเท่าเงินสดเป๊ะๆ รัฐบาลควบคุมได้ 100% ตรวจสอบได้ว่าใครโอนให้ใคร
สรุป: ทั้งคู่เป็น Digital Currency เหมือนกัน แต่ "อุดมการณ์" และ "คนคุม" ต่างกันคนละขั้ว

8.APR vs APY (ดอกเบี้ยทบต้นหรือไม่?)
เวลาคุณนำเหรียญไปฝาก (Staking) หรือปล่อยกู้ (Lending) จะเห็นตัวเลขผลตอบแทน 2 ตัวนี้ ซึ่งมือใหม่มักดูแค่ตัวเลขที่สูงกว่าโดยไม่เข้าใจความหมาย
APR (Annual Percentage Rate) อัตราดอกเบี้ยแบบ "ไม่ทบต้น"
       ○    เช่น ฝาก 100 ได้ดอกเบี้ย 10% ต่อปี = สิ้นปีได้ 110
APY (Annual Percentage Yield) อัตราผลตอบแทนแบบ "ทบต้น" (Compound Interest)
       ○    คือการเอากำไรที่ได้ในแต่ละวัน/เดือน มาฝากกลับเข้าไปใหม่เรื่อยๆ (Snowball effect)
       ○    ความเข้าใจผิด: เว็บไซต์มักโชว์เลข APY ที่สูงเวอร์ (เช่น 1,000%) เพื่อดึงดูดใจ แต่ในความเป็นจริงคุณต้องขยันกด Re-invest (ฝากทบ) เองบ่อยๆ ถึงจะได้ตัวเลขนั้น ถ้าฝากทิ้งไว้เฉยๆ ผลตอบแทนจริงจะต่ำกว่าที่เห็นมาก

9.NFT vs JPEG (ความเป็นเจ้าของ vs รูปภาพ)
หลายคนยังแซวว่า NFT คือการซื้อรูป JPEG แพงๆ ทั้งที่กดคลิกขวา Save Image ก็ได้
       ○    รูปภาพ (Image) คือสิ่งที่ตาเห็น ใครก็ Save ไปดูได้
       ○    NFT (Non-Fungible Token) คือ "โฉนด" ดิจิทัลที่อยู่บนบล็อกเชน ที่ระบุว่า "ใครคือเจ้าของรูปต้นฉบับที่แท้จริง"
       ○    เปรียบเทียบ: ใครๆ ก็ถ่ายรูปภาพ "โฉนดที่ดิน" หรือถ่ายรูป "ภาพวาดโมนาลิซ่า" มาเก็บไว้ในมือถือได้ แต่ไม่ได้แปลว่าคุณมีสิทธิ์ในที่ดินผืนนั้นหรือเป็นเจ้าของภาพวาดนั้นจริงๆ ... NFT คือตัวยืนยันสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ ไม่ใช่ตัวรูปภาพ

10.Coin Burning (การเผาเหรียญ)
       ○    เมื่อได้ยินข่าวว่าเหรียญ BNB หรือ SHIB มีการ "Burn" หลายคนนึกถึงการเอาแบงก์ไปจุดไฟเผาจริงๆ
       ○    ความหมาย การโอนเหรียญไปยัง "Dead Wallet" (กระเป๋าที่ไม่มีใครในโลกมี Private Key หรือกุญแจไข)
       ○    ผลลัพธ์ เหรียญเหล่านั้นจะออกจากระบบหมุนเวียนถาวร (เอาออกมาใช้ไม่ได้อีกแล้ว)
       ○    เพื่ออะไร? เมื่อ Supply (จำนวนของ) ลดลง แต่ Demand (ความต้องการ) เท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น ตามหลักเศรษฐศาสตร์ ราคาของเหรียญ "ควรจะ" เพิ่มขึ้น (Deflationary Mechanism)

บทสรุป
       การแยกแยะระหว่าง Coin และ Token ช่วยให้คุณประเมินมูลค่าของเหรียญได้แม่นยำขึ้น หากคุณลงทุนใน Coin คุณกำลังลงทุนใน "โครงสร้างพื้นฐาน" (Infrastructure) แต่หากคุณลงทุนใน Token คุณกำลังลงทุนใน "ธุรกิจหรือแอปพลิเคชัน" (DApps) บนระบบนั้น
       ความรู้ความเข้าใจในศัพท์พื้นฐานเหล่านี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของการเรียกชื่อให้ถูก แต่เป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงด่านแรกที่จะช่วยให้คุณไม่หลงกลไปกับการปั่นราคาหรือโปรเจกต์ที่ไม่มีพื้นฐานรองรับ
#7
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / บทวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค GBPCA...
กระทู้ล่าสุด โดย support-2 - ธันวาคม 11, 2025, 02:30:56 ก่อนเที่ยง
GbpCad 11-12.png
คู่เงิน/สินค้า: GBP/CAD

Bias: ขาลง (SHORT) เนื่องจากราคามีการฟอร์มตัวต่ำกว่าบริเวณ Supply Zone และมีสัญญาณการกลับตัวลงจากโซนดังกล่าว

โซนสำคัญ: Supply Zone (บริเวณต้านทานการขึ้น), Demand Zone (บริเวณรองรับการลง)

แผน SHORT: พิจารณาเปิดสถานะ SHORT เมื่อราคามีการกลับตัวลงจากบริเวณ Supply Zone หรือรอการทะลุผ่านและ Re-test (ถ้ามี) ก่อนเข้าสู่บริเวณ Demand Zone

Stop Loss (SL): เหนือจุด SL ที่มาร์คไว้ในภาพ

Take Profit x (TPx): บริเวณเส้น TP ในภาพซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับ Demand Zone

เงื่อนไขเปลี่ยนมุมมอง: ราคาสามารถทะลุและปิดเหนือจุด SL ที่มาร์คไว้ได้อย่างชัดเจน

----------------------------------------------------------------------------------------

EurGbp 11-12.png
คู่เงิน/สินค้า: EUR/GBP

Bias: ขาลง (SHORT) เนื่องจากราคามีการฟอร์มตัวต่ำกว่าบริเวณ Resistance และมีแนวโน้มที่จะมุ่งหน้าลงสู่บริเวณ Support

โซนสำคัญ: Resistance (บริเวณต้านทานการขึ้น), Support (บริเวณรองรับการลง)

แผน SHORT: พิจารณาเปิดสถานะ SHORT เมื่อราคามีการกลับตัวลงจากบริเวณ Resistance หรือมีแรงขายกดดันต่อเนื่องเพื่อมุ่งหน้าลงสู่บริเวณ Support

Stop Loss (SL): เหนือจุด SL ที่มาร์คไว้ในภาพ

Take Profit x (TPx): บริเวณเส้น TP ในภาพซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับ Support

เงื่อนไขเปลี่ยนมุมมอง: ราคาสามารถทะลุและปิดเหนือจุด SL ที่มาร์คไว้ได้อย่างชัดเจน
#8
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / Forex Signal
กระทู้ล่าสุด โดย narjant - ธันวาคม 10, 2025, 11:38:13 หลังเที่ยง
#9
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / Forex Signal
กระทู้ล่าสุด โดย narjant - ธันวาคม 10, 2025, 01:57:10 หลังเที่ยง
GOLD BUY => 4192-4189
TP 94/97/99/01/03/05/07/09/11/13/11/13
SL 4180
#10
พื้นฐาน Defi / Undercollateralized Loans in D...
กระทู้ล่าสุด โดย Support-3 - ธันวาคม 10, 2025, 01:43:38 หลังเที่ยง
ปลดล็อกศักยภาพการกู้ยืม โดยไม่ต้องมีหลักประกันเต็มจำนวน



      ในโลกของ Decentralized Finance (DeFi) ยุคเริ่มต้น กลไกหลักที่ขับเคลื่อนระบบคือการกู้ยืมแบบ Over-collateralized หรือการวางสินทรัพย์ค้ำประกันที่มีมูลค่าสูงกว่ายอดกู้ (เช่น วาง ETH มูลค่า 150 บาท เพื่อกู้ USDC 100 บาท) วิธีนี้แม้จะปลอดภัยและไม่ต้องอาศัยความเชื่อใจ (Trustless) แต่กลับสร้างปัญหาเรื่อง "ประสิทธิภาพการใช้เงินทุน" (Capital Inefficiency) อย่างมหาศาล

นิยามและแนวคิด จาก Trustless สู่ Trust-Minimized
Over-collateralized vs. Under-collateralized
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เราต้องเปรียบเทียบสองโมเดลนี้
●    Over-collateralized (แบบดั้งเดิมใน DeFi) เน้นความปลอดภัยสูงสุด หากมูลค่าสินทรัพย์ค้ำประกันลดลง Smart Contract จะทำการขาย (Liquidate) ทันที ไม่สนว่าผู้กู้จะเป็นใคร ระบบนี้ "Code is Law" อย่างสมบูรณ์
      - ข้อดี: ไม่ต้องทำ KYC, ใครก็กู้ได้, ความเสี่ยงหนี้สูญต่ำมาก
      - ข้อเสีย: เงินทุนจม (Dead Capital) ไม่สามารถนำไปต่อยอดธุรกิจจริงได้ เพราะต้องมีเงินมากกว่าถึงจะกู้ได้
●    Under-collateralized (แนวคิดใหม่) ยอมให้ผู้กู้ได้รับเงินมากกว่าสินทรัพย์ที่วางไว้ หรือกู้โดยใช้เพียง "เครดิต" และ "ชื่อเสียง"
      - ข้อดี: ประสิทธิภาพเงินทุนสูง (Capital Efficiency), ใกล้เคียงกับการกู้ยืมในโลกธุรกิจจริง (TradFi)
      - ข้อเสีย: มีความเสี่ยงเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk), ต้องมีการตรวจสอบตัวตนหรือเครดิต (KYC/Credit Scoring)

การเปลี่ยนผ่านของความเชื่อใจ
      Undercollateralized Loans ไม่ได้ทำงานแบบ Trustless (ไร้ความเชื่อใจ) 100% แต่เป็นระบบ Trust-Minimized คือลดการพึ่งพาตัวกลางให้เหลือน้อยที่สุด แต่ยังต้องมีกระบวนการตรวจสอบความน่าเชื่อถือผ่าน Reputation (ชื่อเสียง) หรือ Credit Scoring บนบล็อกเชน

ทำไม Undercollateralized Loans ถึงเป็นกุญแจสำคัญของ DeFi?



หาก DeFi ต้องการเติบโตเกินกว่ามูลค่าตลาดคริปโตฯ (Crypto Market Cap) และกลืนกินระบบการเงินโลก มันจำเป็นต้องมี Undercollateralized Loans ด้วยเหตุผลดังนี้

1. ปลดล็อก Capital Efficiency
      ในโลกธุรกิจจริง บริษัทกู้เงินเพื่อขยายกิจการโดยใช้ "กระแสเงินสดในอนาคต" เป็นเครื่องการันตี ไม่ใช่การนำเงินสดไปวางค้ำประกัน หากบริษัทต้องวางเงิน 150% เพื่อกู้มาหมุนเวียน ธุรกิจนั้นคงไม่สามารถเติบโตได้ การมี Undercollateralized Loans จะช่วยให้สถาบันการเงินและบริษัทต่างๆ เข้ามาใช้สภาพคล่องจาก DeFi ได้จริง
2. การเชื่อมต่อกับ Real World Assets (RWA)
      นี่คือสะพานเชื่อมระหว่างโลก Crypto และโลกความจริง การกู้ยืมแบบนี้เปิดโอกาสให้ธุรกิจในโลกจริง (เช่น ธุรกิจปล่อยสินเชื่อในตลาดเกิดใหม่, บริษัท Fintech) สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน Global Liquidity Pool ของ DeFi ได้
3. สร้างระบบเครดิตบนบล็อกเชน (On-Chain Identity & Credit)
      การเกิดขึ้นของธุรกรรมแบบนี้จะสร้าง Transaction History ที่มีความหมาย นำไปสู่การคำนวณ Credit Score ของกระเป๋าเงินดิจิทัลแต่ละใบ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต

กลไกการทำงาน (Mechanisms) กู้ได้อย่างไรถ้าไม่มีของค้ำ?
เนื่องจากไม่มีสินทรัพย์ค้ำประกันเต็มจำนวน โปรโตคอลจึงต้องสร้างกลไกอื่นมาทดแทนเพื่อบริหารความเสี่ยง



1. การตรวจสอบและอนุมัติ (Due Diligence & Whitelisting)
โปรโตคอลส่วนใหญ่จะไม่อนุญาตให้ "ใครก็ได้" มากู้ แต่จะเน้นกลุ่มลูกค้าสถาบัน (Institutional Borrowers)
●    KYC/KYB ผู้กู้ต้องยืนยันตัวตนระดับองค์กร
●    Credit Assessment มีผู้เชี่ยวชาญ (Delegates หรือ Auditors) ทำการตรวจสอบงบการเงิน สถานะทางกฎหมาย และความสามารถในการชำระหนี้แบบ Off-chain ก่อนจะอนุมัติให้กู้ On-chain
2. ระบบ First-Loss Capital (เงินประกันความเสี่ยง)
เพื่อให้นักลงทุนรายย่อย (Lenders) กล้าฝากเงิน โปรโตคอลมักจะมีระบบ Tranche หรือลำดับชั้นของเงินลงทุน
●    Junior Tranche (Backers) กลุ่มคนที่ยอมรับความเสี่ยงสูง ยอมให้ตรวจสอบผู้กู้ หากมีการผิดนัดชำระหนี้ เงินส่วนนี้จะหายไปก่อน (First-loss) แต่แลกมาด้วยผลตอบแทน (APY) ที่สูงกว่า
●    Senior Tranche (Liquidity Providers) นักลงทุนทั่วไปที่ต้องการความปลอดภัย หากเกิดหนี้เสีย จะได้รับการคุ้มครองจากเงินของ Junior Tranche ก่อน
3. สัญญาทางกฎหมาย (Off-Chain Legal Agreements)
แม้ธุรกรรมจะเกิดบนบล็อกเชน แต่การบังคับคดีต้องทำในโลกจริง ผู้กู้ต้องเซ็นสัญญาเงินกู้ที่มีผลทางกฎหมาย (Master Loan Agreement) หากไม่คืนเงิน โปรโตคอลหรือตัวแทนสามารถฟ้องร้องยึดทรัพย์สินในโลกจริงได้

กรณีศึกษา โปรโตคอลชั้นนำ (Key Players)
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ต้องดูตัวอย่างจากผู้เล่นหลักในตลาด:
Maple Finance
●    รูปแบบ ตลาดสินเชื่อสำหรับสถาบัน (Corporate Credit Market)
●    กลไก ใช้ระบบ Pool Delegates ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อ ทำหน้าที่ตรวจสอบผู้กู้ (เช่น กองทุน Hedge Fund, ผู้ทำตลาด Market Makers) และเจรจาดอกเบี้ย ผู้กู้ต้องผ่าน KYC เต็มรูปแบบ
●    จุดเด่น เน้นลูกค้าเกรด A ในวงการคริปโต และเริ่มขยายไปยังธุรกิจนอกโลกคริปโต
Goldfinch
●    รูปแบบ สินเชื่อสำหรับธุรกิจในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ที่อาจเข้าถึงธนาคารได้ยาก
●    กลไก ใช้หลักการ "Trust through Consensus" ผู้กู้ (Borrowers) เสนอวงเงิน -> Backers ตรวจสอบและลงเงิน (Junior Tranche) -> เมื่อ Backers มั่นใจ ระบบจะดึงเงินจาก Liquidity Providers (Senior Tranche) มาสมทบ
●    จุดเด่น เชื่อมโยงเงินจาก DeFi ไปสู่ธุรกิจจริง เช่น สินเชื่อรถมอเตอร์ไซค์ในแอฟริกา หรือสินเชื่อ SME ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
TrueFi
●    รูปแบบ ตลาดสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกันที่ขับเคลื่อนด้วย DAO
●    กลไก ผู้ถือเหรียญ TRU มีสิทธิ์โหวตว่าจะอนุมัติเงินกู้ให้ผู้ยื่นคำขอหรือไม่ โดยดูจากคะแนน TrueFi Credit Score
●    จุดเด่น พยายามใช้ความเป็น Decentralized มากกว่าในการตัดสินใจอนุมัติสินเชื่อ

ความเสี่ยงและความท้าทาย (Risks & Challenges)
แม้จะดูสวยหรู แต่ Undercollateralized Loans มีความเสี่ยงสูงกว่า DeFi ปกติมาก
●    Credit Risk (ความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้) นี่คือความเสี่ยงสูงสุด หากผู้กู้เจ๊ง (เช่น กรณี FTX หรือ Three Arrows Capital ล้มละลาย) เงินที่กู้ไปอาจสูญทั้งหมด แม้จะมีสัญญาทางกฎหมาย แต่กระบวนการฟ้องร้องอาจกินเวลานานหลายปีและอาจไม่ได้เงินคืน
●    Centralization Risk กระบวนการตรวจสอบเครดิตยังต้องพึ่งพา "มนุษย์" หรือ "ตัวกลาง" (Delegates/Auditors) ซึ่งขัดแย้งกับปรัชญาดั้งเดิมของ DeFi ที่ไม่ต้องการตัวกลาง
●    Liquidity Risk หากผู้ให้กู้ถอนเงินออกพร้อมกัน (Bank Run) โปรโตคอลอาจขาดสภาพคล่อง เพราะเงินส่วนใหญ่ถูกปล่อยกู้ไปในระยะยาว (Term Loans) ไม่สามารถเรียกคืนได้ทันที
กรณีศึกษาความล้มเหลว ในช่วงวิกฤต FTX ปี 2022 โปรโตคอลอย่าง Maple Finance ประสบปัญหาหนี้เสียจำนวนมากจากการที่ผู้กู้รายใหญ่ (เช่น Orthogonal Trading) ล้มละลายจากการฉ้อโกงและการบริหารที่ผิดพลาด ทำให้เห็นว่าการตรวจสอบ Off-chain ก็ยังมีช่องโหว่

อนาคตและเทรนด์ที่น่าจับตามอง (Future Trends)
1. Soulbound Tokens (SBTs) & DID
การใช้ Soulbound Tokens (โทเค็นที่โอนย้ายไม่ได้) เพื่อเป็นตัวแทนของ "อัตลักษณ์" และ "ประวัติเครดิต" บนเชน จะช่วยให้การประเมินเครดิตทำได้โดยอัตโนมัติและโปร่งใสมากขึ้น ไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางมนุษย์ในระยะยาว
2. Zero-Knowledge Proofs (ZKPs)
เทคโนโลยี ZKPs จะเข้ามาช่วยให้ผู้กู้สามารถ "พิสูจน์" ว่าตนเองมีเครดิตดี หรือมีสถานะทางการเงินที่มั่นคงได้ โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลความลับทางธุรกิจ หรือตัวตนที่แท้จริงทั้งหมดต่อสาธารณะ
3. การเติบโตของ RWA (Real World Assets)
แนวโน้มที่ชัดเจนที่สุดคือ Undercollateralized Loans จะกลายเป็นท่อส่งสภาพคล่องหลักให้กับพันธบัตรรัฐบาล, อสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่อภาคเอกชน ทำให้เส้นแบ่งระหว่าง DeFi และ TradFi จางลงเรื่อยๆ

บทสรุป
Undercollateralized Loans คือวิวัฒนาการขั้นต่อไปที่จำเป็นอย่างยิ่งของ DeFi มันคือการเปลี่ยนจากระบบที่ "ปลอดภัยแต่โตยาก" (Over-collateralized) ไปสู่ระบบที่ "มีประสิทธิภาพและเชื่อมโยงโลกจริง" แม้ในปัจจุบันจะยังมีความเสี่ยงและต้องพึ่งพากลไกแบบกึ่งรวมศูนย์ (Semi-Centralized) อยู่บ้าง แต่ด้วยพัฒนาการของเทคโนโลยี Identity และ Credit Scoring บนบล็อกเชน เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่เครดิตของมนุษย์สามารถแปลงเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์