ข่าว:

กระทู้ล่าสุด

#1
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / บทวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค USDJP...
กระทู้ล่าสุด โดย support-2 - วันนี้ เวลา 03:32:58 ก่อนเที่ยง
UsdJpy 15-12.png
คู่เงิน/สินค้า: USDJPY

Bias: ขาลง (SHORT) เนื่องจากราคามีการทดสอบบริเวณ Supply Zone และไม่สามารถผ่านไปได้ ประกอบกับมีการทำโครงสร้างขาลงที่ชัดเจน

โซนสำคัญ: Supply Zone และ Demand Zone

แผน SHORT: เน้นการเก็งกำไรฝั่งขาลง โดยรอให้ราคาทดสอบบริเวณ Supply Zone หรือไหลลงตามแรงขายต่อเนื่องไปหาเป้าหมายด้านล่าง

Stop Loss (SL): อยู่ที่บริเวณจุด SL ในภาพ (เหนือโซน Supply Zone)

Take Profit x (TPx): แบ่งปิดทำกำไรที่จุด TP1 ในภาพ และจุด TP2 ในภาพ ซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณ Demand Zone

เงื่อนไขเปลี่ยนมุมมอง: หากราคาพุ่งทะลุและปิดเหนือจุด SL ในภาพ จะเป็นการทำลายโครงสร้างขาลงและต้องพิจารณาแผนใหม่

----------------------------------------------------------------------------------------

AudCad 15-12.png
คู่เงิน/สินค้า: AUDCAD

Bias: ขาลง (SHORT) เนื่องจากราคาเคลื่อนที่อยู่ใต้ Resistance Trendline และมีการติดแนวต้านสำคัญ (Resistance) พร้อมโครงสร้างที่ทำจุดต่ำสุดใหม่

โซนสำคัญ: Resistance Trendline และ Resistance

แผน SHORT: เน้นเปิดสถานะขายตามแนวโน้มเดิม โดยอาศัย Resistance Trendline และแนวต้าน (Resistance) เป็นจุดอ้างอิงในการเข้าออเดอร์เพื่อลงไปหาเป้าหมายด้านล่าง

Stop Loss (SL): อยู่ที่บริเวณจุด SL ในภาพ (เหนือแนว Resistance)

Take Profit x (TPx): แบ่งปิดทำกำไรตามลำดับที่จุด TP1 ในภาพ และจุด TP2 ในภาพ

เงื่อนไขเปลี่ยนมุมมอง: หากราคาเบรกทะลุ Resistance Trendline และปิดเหนือจุด SL ในภาพ จะถือว่าแนวโน้มขาลงเสียทรง
#2
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / ต่อ: Forex Signal
กระทู้ล่าสุด โดย narjant - วันนี้ เวลา 12:53:57 ก่อนเที่ยง
#3
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / ต่อ: Forex Signal
กระทู้ล่าสุด โดย narjant - วันนี้ เวลา 12:52:11 ก่อนเที่ยง
#4
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / Forex Signal
กระทู้ล่าสุด โดย narjant - วันนี้ เวลา 12:50:54 ก่อนเที่ยง
#5
พื้นฐาน Defi / DeFi Composability การผสมผสานโ...
กระทู้ล่าสุด โดย Support-3 - เมื่อวานนี้ เวลา 01:06:42 หลังเที่ยง
DeFi Composability



      ในโลกของการเงินแบบดั้งเดิม (Traditional Finance - TradFi) ระบบการเงินมักถูกสร้างขึ้นแบบ "ไซโล" (Siloed) กล่าวคือ ธนาคารหนึ่งแห่งจะมีระบบภายในที่เป็นปิด ไม่สามารถเชื่อมต่อกับธนาคารอื่นหรือแอปพลิเคชันภายนอกได้อย่างอิสระ แต่ในโลกของ Decentralized Finance (DeFi) หัวใจสำคัญที่ทำให้ระบบนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดดคือแนวคิดที่เรียกว่า "Composability" หรือความสามารถในการประกอบร่างกันได้ ซึ่งเปรียบเสมือนตัวต่อ LEGO ทางการเงิน (Money LEGOs)

นิยามและหลักการทำงานของ DeFi Composability
      DeFi Composability คือ ความสามารถของแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (dApps) และโปรโตคอลต่างๆ บนบล็อกเชน (โดยเฉพาะ Ethereum) ในการสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล และทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ โดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาต (Permissionless)

ความหมายในเชิงเทคนิค
       ในทางเทคนิค Composability เกิดขึ้นได้เพราะ Smart Contracts (สัญญาอัจฉริยะ) บนบล็อกเชนสาธารณะนั้นเป็น Open Source และมีความเป็นมาตรฐาน (Standardized)
       ● Interoperability (การทำงานร่วมกัน) Smart Contract หนึ่งสามารถเรียกใช้งานฟังก์ชันของ Smart Contract อีกตัวหนึ่งได้ ตัวอย่างเช่น โปรโตคอล A สามารถเรียกใช้สภาพคล่อง (Liquidity) จากโปรโตคอล B ได้โดยตรงผ่าน Code
       ● Atomic Transactions (ธุรกรรมแบบอะตอมมิค) การผสมผสานนี้สามารถเกิดขึ้นได้ใน "ธุรกรรมเดียว" (Single Transaction) หมายความว่าคำสั่งหลายๆ ขั้นตอนที่เกี่ยวเนื่องกับหลายโปรโตคอล จะต้องสำเร็จทั้งหมด หรือหากมีจุดไหนล้มเหลว ธุรกรรมทั้งหมดจะถูกยกเลิก (Revert) ทันที เพื่อป้องกันความผิดพลาดของยอดเงิน

ทำไมถึงเรียกว่า Money LEGOs?
ลองจินตนาการว่าแต่ละโปรโตคอลคือตัวต่อ LEGO
       ● LEGO ตัวที่ 1 (Uniswap) ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนเหรียญ
       ● LEGO ตัวที่ 2 (Compound) ทำหน้าที่ปล่อยกู้และรับฝากสินทรัพย์
       ● LEGO ตัวที่ 3 (MakerDAO) ทำหน้าที่สร้าง Stablecoin (DAI)

       นักพัฒนาสามารถนำ LEGO ทั้งสามตัวนี้มาต่อกันเพื่อสร้าง "ยานอวกาศ" (บริการทางการเงินใหม่) ได้ เช่น สร้างระบบที่รับฝาก ETH (MakerDAO) เพื่อกู้ DAI ออกมา แล้วนำ DAI ไปฝากกินดอกเบี้ย (Compound) และนำดอกเบี้ยที่ได้ไปแลกเป็นเหรียญอื่น (Uniswap) ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

เลเยอร์ของโครงสร้าง Composability (The DeFi Stack)



เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าการผสมผสานเกิดขึ้นได้อย่างไร เราต้องมองโครงสร้างของ DeFi เป็นชั้นๆ (Layers) ซึ่งแต่ละชั้นจะเอื้อให้ชั้นที่อยู่เหนือกว่าทำงานได้
Layer 1: Settlement Layer (ชั้นการชำระบัญชี)
นี่คือรากฐานที่สุด (เช่น Ethereum Blockchain) ทำหน้าที่บันทึกสถานะความถูกต้องของธุรกรรมและเก็บรักษาสินทรัพย์ กฎเกณฑ์ทุกอย่างถูกบังคับใช้ที่ชั้นนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครโกงระบบได้
Layer 2: Asset Layer (ชั้นสินทรัพย์)
คือมาตรฐานของโทเคนต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้นบน Layer 1 ส่วนใหญ่คือมาตรฐาน ERC-20 (สำหรับ Fungible Token) หรือ ERC-721 (สำหรับ NFT) การมีมาตรฐานเดียวกันทำให้สินทรัพย์จากแอปหนึ่ง สามารถนำไปใช้ในอีกแอปหนึ่งได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลงค่า
Layer 3: Protocol Layer (ชั้นโปรโตคอล)
นี่คือชั้นของ Smart Contracts ที่กำหนดกฎเกณฑ์ทางการเงินเฉพาะทาง เช่น
       ● Decentralized Exchanges (DEXs) Uniswap, Curve
       ● Lending Protocols Aave, Compound
       ● Derivatives Synthetix, dYdX โปรโตคอลเหล่านี้ทำงานเป็นอิสระ แต่เปิดช่องทาง (API/ABI) ให้คนอื่นมาเชื่อมต่อได้
Layer 4: Application / Aggregation Layer (ชั้นแอปพลิเคชัน)
ชั้นบนสุดคือส่วนที่ผู้ใช้งาน (User Interface) สัมผัส หรือเป็นจุดที่นำโปรโตคอลใน Layer 3 มามัดรวมกัน (Aggregation) เพื่อสร้างบริการที่ดีกว่า เช่น
       ● Yield Aggregators (e.g., Yearn Finance) ที่จะคอยย้ายเงินฝากของเราไปยังโปรโตคอลใน Layer 3 ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดโดยอัตโนมัติ
       ● DEX Aggregators (e.g., 1inch) ที่จะดึงราคาจากหลายๆ DEX เพื่อให้ผู้ใช้ได้เรทแลกเปลี่ยนที่ดีที่สุด

ประโยชน์มหาศาลของการผสมผสาน (The Power of Composability)
Composability คือ เครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมใน DeFi ด้วยเหตุผลสำคัญดังนี้
นวัตกรรมที่ไร้ขอบเขต (Permissionless Innovation)
       นักพัฒนาไม่จำเป็นต้องสร้างทุกอย่างใหม่ตั้งแต่ศูนย์ (Reinventing the wheel) หากต้องการสร้างแอปพลิเคชันซื้อขายที่ต้องมีการกู้ยืมด้วย พวกเขาสามารถดึงระบบกู้ยืมของ Aave มาใช้ได้เลย ไม่ต้องสร้างระบบกู้ยืมเอง สิ่งนี้ทำให้เกิดการพัฒนาที่รวดเร็วมาก (Rapid Prototyping)
ประสิทธิภาพของเงินทุน (Capital Efficiency)
ในโลก TradFi สินทรัพย์มักจะ "อยู่นิ่ง" แต่ใน DeFi สินทรัพย์เดียวกันสามารถถูกใช้งานได้หลายต่อ (Rehypothecation)
       ● ตัวอย่าง คุณฝาก ETH ใน Aave ได้รับ aToken (หลักฐานการฝาก) -> นำ aToken ไปค้ำประกันเพื่อกู้ Stablecoin -> นำ Stablecoin ไปทำ Yield Farming ในอีกโปรโตคอลหนึ่ง
       ● เงินก้อนเดียวสามารถสร้างมูลค่าได้ในหลายโปรโตคอลพร้อมกัน
ปรากฏการณ์เครือข่าย (Network Effects)
        ยิ่งมีโปรโตคอลเชื่อมต่อกันมากเท่าไหร่ ระบบนิเวศโดยรวมก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น โปรโตคอลใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวสามารถมีสภาพคล่องมหาศาลได้ทันที เพียงแค่เชื่อมต่อกับโปรโตคอลที่มีอยู่แล้ว (Bootstrapping Liquidity)

กรณีศึกษาจริง การผสมผสานสร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้อย่างไร



เพื่อให้เห็นภาพ "ความละเอียด" ของการทำงานร่วมกัน ลองดูตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงและซับซ้อนเหล่านี้:
A. Flash Loans (เงินกู้ชั่วพริบตา)
Flash Loans คือสุดยอดนวัตกรรมที่เกิดขึ้นได้เพราะ Composability เท่านั้น
       ● หลักการ คุณสามารถกู้เงินจำนวนมหาศาล (เช่น 100 ล้านดอลลาร์) โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่มีข้อแม้ว่า "ต้องคืนเงินภายในบล็อกธุรกรรมเดียวกัน"
       ● กระบวนการผสมผสาน
           1.    กู้เงินจาก Aave (Flash Loan)
           2.    นำเงินไปซื้อเหรียญราคาถูกที่ Uniswap
           3.    นำเหรียญไปขายแพงที่ SushiSwap (Arbitrage)
           4.    นำกำไรส่วนต่างเก็บไว้ และคืนเงินต้นพร้อมค่าธรรมเนียมให้ Aave
       ● ทั้งหมดนี้เขียนอยู่ใน Smart Contract เดียว หากขั้นตอนใดล้มเหลว ธุรกรรมทั้งหมดจะถูกยกเลิกเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น
B. Yield Farming & Vampire Attacks
       ● SushiSwap Vampire Attack SushiSwap เปิดตัวโดยไม่มีสภาพคล่องของตัวเอง แต่ใช้ Composability โดยบอกผู้ใช้ว่า "ให้นำ LP Token (หลักฐานการฝากเงิน) จาก Uniswap มาฝากที่ SushiSwap แล้วเราจะให้เหรียญ SUSHI เป็นรางวัล"
       ● วิธีนี้ SushiSwap สามารถดูดสภาพคล่องจาก Uniswap มาได้โดยตรง เพราะ Smart Contract ของ SushiSwap สามารถอ่านและเข้าใจ LP Token ของ Uniswap ได้

C. Tokenized Strategies (เช่น Yearn Vaults)
ผู้ใช้ฝากเหรียญเข้าไปใน Yearn Finance (Vault) ระบบของ Yearn จะทำหน้าที่เป็น "หุ่นยนต์ผู้จัดการกองทุน"
           1.    รับเหรียญจากผู้ใช้
           2.    เช็คว่า Aave, Compound, หรือ dYdX ที่ไหนดอกเบี้ยดีสุด
           3.    ย้ายเงินไปที่นั่น
           4.    เมื่อได้กำไร (Token) มา ก็จะทำการขาย Token นั้นกลับเป็นเหรียญต้นทาง แล้วทบต้น (Compound) เข้าไปใหม่
           5.    ผู้ใช้ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากถือเหรียญของ Yearn ไว้

ความเสี่ยง ดาบสองคมของ Composability
แม้จะมีประโยชน์มหาศาล แต่การเชื่อมต่อกันอย่างหนาแน่นก็นำมาซึ่งความเสี่ยงระดับวิกฤต (Systemic Risk)
1 ความเสี่ยงแบบโดมิโน (Contagion Risk)
เนื่องจากโปรโตคอล A เชื่อมกับ B และ B เชื่อมกับ C หากโปรโตคอล A ถูกแฮ็กหรือล้มเหลว:
●    สินทรัพย์ใน B ที่อิงมูลค่าจาก A อาจจะด้อยค่าลงทันที
●    ผู้ใช้ใน C ที่ใช้สินทรัพย์จาก B เป็นหลักประกัน อาจถูกบังคับขาย (Liquidation)
●    ตัวอย่าง หาก Stablecoin หลักอย่าง DAI หลุด Peg (มูลค่าไม่เท่ากับ 1 ดอลลาร์) โปรโตคอล DeFi เกือบทั้งหมดที่ใช้ DAI จะพังครืนลงมาเหมือนบ้านไพ่ (House of Cards)
2 ความซับซ้อนที่ตรวจสอบยาก (Complexity)
  เมื่อมีการซ้อนทับกันหลายชั้น (Money LEGOs ต่อกันสูงเกินไป) การตรวจสอบความปลอดภัย (Audit) จะทำได้ยากมาก เพราะเราไม่ได้ตรวจสอบแค่ Code ของเรา แต่ต้องตรวจสอบว่า Code ของเราจะทำปฏิกิริยาอย่างไรกับ Code ของคนอื่น ซึ่งอาจมีการอัปเดตเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
3 ค่าธรรมเนียม (Gas Costs)
       ยิ่งธุรกรรมมีความซับซ้อน (เรียกใช้หลาย Smart Contract ในครั้งเดียว) ค่าธรรมเนียมในการประมวลผล (Gas) ก็จะยิ่งสูงขึ้น ทำให้ผู้รายย่อยอาจเข้าถึงบริการที่ซับซ้อนได้ยากในช่วงที่เครือข่ายหนาแน่น

อนาคตของ Composability ยุค Multi-Chain และ Layer 2
       ปัจจุบัน DeFi กำลังขยายตัวออกจาก Ethereum ไปสู่ Layer 2 (เช่น Arbitrum, Optimism) และเชนอื่นๆ (เช่น Solana, Avalanche) สิ่งนี้สร้างความท้าทายใหม่
       ● Fragmentation (การกระจัดกระจาย) Composability มักจะทำงานได้ดีที่สุดภายในเชนเดียวกัน (Synchronous) แต่การข้ามเชน (Asynchronous) นั้นทำได้ยากและช้ากว่า
       ● Cross-Chain Composability อนาคตของ DeFi คือ การแก้ปัญหานี้ โดยการสร้างมาตรฐานการสื่อสารข้ามเชน (เช่น LayerZero หรือ Chainlink CCIP) เพื่อให้เราสามารถกู้เงินจากเชนหนึ่ง และไปวางค้ำประกันในอีกเชนหนึ่งได้อย่างราบรื่น

บทสรุป
       DeFi Composability ไม่ใช่แค่ฟีเจอร์ทางเทคนิค แต่เป็นปรัชญาพื้นฐานของการเงินยุคใหม่ มันเปลี่ยนจากการสร้างระบบแบบ "ป้อมปราการ" (ธนาคาร) มาเป็น "สนามเด็กเล่น" ที่ทุกคนสามารถนำชิ้นส่วนที่มีอยู่มาประกอบสร้างสิ่งใหม่ได้
       แม้จะมีความเสี่ยงจากการเชื่อมโยงที่ซับซ้อน แต่ศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมที่เติบโตแบบ Exponential นั้นคุ้มค่าต่อการพัฒนา หากเปรียบเทียบกับอินเทอร์เน็ต เราอาจกำลังอยู่ในยุคที่เว็บไซต์ต่างๆ เริ่มลิงก์หากันได้ ซึ่งนำไปสู่การปฏิวัติข้อมูลข่าวสาร DeFi Composability ก็กำลังทำสิ่งเดียวกันนั้น แต่ทำกับ "มูลค่า" และ "เงินตรา" ของโลก
#6
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / ต่อ: Forex Signal
กระทู้ล่าสุด โดย narjant - ธันวาคม 12, 2025, 12:53:20 หลังเที่ยง
#7
การวิเคราะห์ทางเทคนิค / การซื้อขายแบบราคาแกว่งตัว ด้วย...
กระทู้ล่าสุด โดย support-1 - ธันวาคม 12, 2025, 04:13:30 ก่อนเที่ยง
หัวใจหลักของการซื้อขายแบบ ราคาแกว่งตัว หรือ SWING TRADE คือการค้นหา การยืนยันในรูปแบบการเข้าเทรด เพราะประเด็นสำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค การเข้าเทรดที่มีประสิทธิภาพสูง จะต้องได้รับการยืนยันจากวิธีการวิเคราะห์ที่หลากหลายวิธีการ  นอกเหนือจากการใช้วิธีการที่ต่างกันแล้ว ตัวเทรดเดอร์ยังสามารถมองหาการยืนยันจากกรอบเวลาที่สูงขึ้นได้อีก และนี่คือเหตุผลที่การวิเคราะห์หลายช่วงเวลา (TIME FRAME) เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในหมู่เทรดเดอร์ต่าง ๆ มาก  มีวิธีง่าย ๆในการปรับตัวให้เข้ากับภาพขนาดใหญ่.

เทรดเดอร์ในตลาด FOREX ส่วนมากจะเป็นเทรดเดอร์ ประเภท SWING TRADING สืบเนื่องจากว่าราคาในตลาด FOREX นั้นมีความผันผวนสูง จึงอาจทำให้เทรดเดอร์ทั่วไปค่อนข้างกังวลใจ  เพราะความผันผวนจริง ๆ แล้วก็ถือเป็นความเสี่ยง ให้เทรดเดอร์ลองมองมุมกลับว่าจะหาประโยชน์จากการผันผวนดังกล่าวนี้ได้อย่างไร?

ในบทความนี้ จะดูที่กลยุทธ์การซื้อขาย แบบราคาแกว่งตัวโดยใช้สองกรอบเวลาแบบง่าย และจะใช้ค่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่และรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคากราฟแท่งเทียน ในทั้งสองช่วงเวลา ในที่นี้ ใช้ กรอบเวลา D1 และ W1

545.jpg

กฎของการซื้อขายแบบราคาแกว่งตัว ด้วยการสังเกตจากหลายช่วงเวลา

การเทรดในลักษณะการซื้อขายแบบราคาแกว่งตัว (SWING) มักมีเป้าหมายในช่วงสองถึงสามวันเป็นต้นไป กระทั้งสองถึงสามสัปดาห์ ดังนั้นกรอบเวลารายวันจึงเป็นกรอบเวลาหลักในการวิเคราะห์ ส่วนกรอบเวลารายสัปดาห์จะเป็นการสร้างกรอบเวลาที่สูงขึ้น เพื่อการมองไว้ก่อน

ในที่นี้ จะขอกล่าวถึงเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ อีกด้วย โดยกำหนดที่เส้นค่าเฉลี่ย 20 เป็นเส้นแบบ ปรกติ (SIMPLE MOVING AVERAGE - SMA) ให้เทรดเดอร์สังเกตความลาดชันของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ที่กำหนดนี้ด้วย ทั้งในสองช่วงกรอบเวลา

546.jpg

กฎของการเทรดในช่วงตลาดขาขึ้น (BULLISH TREND) มี 4 ข้อหลักๆ ดังนี้

1. เส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE 20  ลาดขึ้นในช่วงกรอบเวลารายสัปดาห์

2. เส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE 20  หันเส้นลง (คล้ายหักหัวลง) ในกรอบเวลารายวัน (มีโอกาสที่กราฟราคาจะย้อนกลับหรือย่อตัวได้)

3. ให้เทรดเดอร์วางคำสั่งซื้อล่วงหน้า (คำสั่งซื้อล่วงหน้าแบบทะลุขึ้นไป แล้วให้ระบบเปิดคำสั่งออเดอร์ทันที – BUY STOP) วางที่ด้านบนสุดของกราฟราคาแท่งเทียน แท่งที่แกว่งตัวสูงสุด โดยที่กราฟยังอยู่ด้านบนของเส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE 20 อีกด้วย

4. ให้เทรดเดอร์ยกเลิกคำสั่งซื้อล่วงหน้า ถ้าเส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE รายสัปดาห์เริ่มลาดลง


กฎของการเทรดในช่วงตลาดขาลง (BEARISH TREND) มี 4 ข้อหลักๆ ดังนี้

1. เส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE 20  ลาดลงในช่วงกรอบเวลารายสัปดาห์

2. เส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE 20  หันเส้นขี้น (คล้ายหักหัวขึ้น) ในกรอบเวลารายวัน (มีโอกาสที่กราฟราคาจะย้อนกลับหรือย่อตัวได้)

3. ให้เทรดเดอร์วางคำสั่งขายล่วงหน้า (คำสั่งขายล่วงหน้าแบบทะลุลงไป แล้วให้ระบบเปิดคำสั่งออเดอร์ทันที – SELL STOP) วางที่ด้านล่างสุดของกราฟราคาแท่งเทียน แท่งที่แกว่งตัวต่ำสุด โดยที่กราฟยังอยู่ด้านล่างของเส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE 20 อีกด้วย

4. ให้เทรดเดอร์ยกเลิกคำสั่งขายล่วงหน้า ถ้าเส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE รายสัปดาห์เริ่มลาดขึ้น

ถ้าเทรดเดอร์สังเกตจะเห็นว่า กฎระหว่าง กฎของการเทรดในช่วงตลาดขาขึ้น (BULLISH TREND) กับ กฎของการเทรดในช่วงตลาดขาลง (BEARISH TREND) จะตรงข้ามกัน ดังนั้นอย่าสับสนระหว่าง เทรนขาขึ้น กับ เทรนขาลง       
                         
ตัวอย่าง - การซื้อขายการซื้อขายแบบราคาแกว่งตัว ด้วยการสังเกตจากหลายช่วงเวลา

                                                                                       TIME FRAME D1

547.jpg

                                                                                                    TIME FRAME W1
     
548.jpg

1.   เส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE 20 ในช่วงเวลารายสัปดาห์ ที่ลาดชันขึ้น เป็นสัญญาณของราคากราฟแท่งเทียนในขาขึ้น

2.   ให้เทรดเดอร์ ดูที่เส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE 20 ที่ช่วงเวลารายวัน เมื่อมีการลาดชันลง นั่นหมายความถึงว่า มีโอกาสเป็นไปได้ที่จะเป็นสัญญาณขาขึ้นของตลาด และให้เทรดเดอร์สังเกต อาจเป็นลักษณะกราฟแท่งเทียนแบบ ย้อนกลับได้ นั่นเอง

3.   ให้เทรดเดอร์วางคำสั่งซื้อล่วงหน้า (BUY STOP) ที่ด้านบนของกราฟแท่งเทียนที่แกว่งตัวลง โดยต้องอยู่บนเส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE 20 คำสั่งซื้อจะทำงานในจุดนี้ ก็ต่อเมื่อมีการแกว่งตัวสูงขึ้นสำหรับกราฟราคา  เทรดเดอร์ทั้งหลายอย่าลืมกำหนดจุดขาดทุนไว้ด้วย โดยมากมักจะกำหนดไว้ที่ การแกว่งตัวที่ต่ำสุดของกราฟแท่งเทียนก่อนหน้า

4.   หลังจากที่ เทรดเดอร์กำหนดจุดที่จะเข้าทำรายการการซื้อขายได้แล้ว แม้ว่ากรอบช่วงเวลากราฟรายวันจะมีการเคลื่อนไหวเหมือนจะปรับตัวลง แต่อย่างไรก็ตาม เส้นค่าเฉลี่ย SIMPLE MOVEING AVERAGE 20 ในช่วงเวลารายสัปดาห์ก็ยังคงมีมุมมองและแนวโน้มเป็นขาขึ้นอยู่ ถึงแม้จะมีการปรับตัวลงในช่วงกรอบเวลารายวัน จากข้อสังเกตนี้เป็นสนับสนุนหรือทำให้ เหล่าเทรดเดอร์ปล่อยให้ผลกำไรของดำเนินไปได้

ทบทวน - การซื้อขายแบบราคาแกว่งตัว ด้วยการสังเกตจากหลายช่วงเวลา

กลยุทธ์การซื้อขายแบบสังเกต สองกรอบเวลานี้ เป็นรูปแบบพื้นฐานของมองกราฟแบบใช้กรอบเวลาเลยทีเดียว ประโยชน์ของการมองกราฟแบบสองกรอบเวลานี้ จะทำให้ตัวเทรดเดอร์มั่นใจได้ว่า การกระทำของกราฟแท่งเทียนเป็นไปตามที่เทรดเดอร์คิดไว้ เรียกได้ว่าเป็นการยืนยันทิศทางในรอบใหญ่ได้

แน่นอนเทรดเดอร์สามารถปรับปรุงกลยุทธ์นี้ได้โดยการเพิ่มกรอบเวลาหรือตัวชี้วัดอื่น ๆ เพิ่มเติม การตั้งค่าการซื้อขายในช่วงเวลาอื่น ๆ ใช้กรอบเวลาได้สูงสุดถึงสามชุด พร้อมตัวบ่งชี้ทางเทคนิคที่แตกต่างกัน เช่น เส้นแนวโน้ม หรือเส้นค่าเฉลี่ย

หากเทรดเดอร์ต้องการเพิ่มกรอบเวลาอื่นในกลยุทธ์การมองสองกรอบเวลานี้ เทรดเดอร์สามารถพิจารณา แล้วใช้กรอบเวลารายเดือนเพื่อตรวจสอบภาวะตลาดได้ นอกจากนี้เทรดเดอร์ยังสามารถเจาะลึกลงไปถึงกรอบเวลาที่ต่ำกว่า เช่นกรอบเวลารายชั่วโมง  เพื่อเป็นการปรับแต่งเวลาของเทรดเดอร์ วิธีการนี้เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการลดความเสี่ยงในการเข้าเทรดของตัวเทรดเดอร์เองได้
#8
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / บทวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค USDJP...
กระทู้ล่าสุด โดย support-2 - ธันวาคม 12, 2025, 02:30:56 ก่อนเที่ยง
UsdJpy 12-12.png
คู่เงิน/สินค้า: USDJPY

Bias: ขาลง (ราคาเพิ่งลงมาจากจุดสูงสุด และมีการพักตัวในบริเวณ Supply Zone ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอาจมีการลงต่อเพื่อทดสอบ Demand Zone ด้านล่าง)

โซนสำคัญ: Supply Zone, Demand Zone

แผน SHORT: พิจารณาเปิดสถานะ Short หากราคาปรับตัวขึ้นไปทดสอบและมีการกลับตัวในบริเวณ Supply Zone

Stop Loss (SL): เหนือจุด SL ในภาพ

เงื่อนไขเปลี่ยนมุมมอง: ราคาทะลุผ่านและปิดเหนือจุด SL ในภาพได้อย่างชัดเจน

--------------------------------------------------------------------------------

GbpUsd 12-12.png
คู่เงิน/สินค้า: GBPUSD

Bias: ขาขึ้น (ราคาได้ทะลุผ่าน Resistance turn to Support ขึ้นไป และกลับลงมาพักตัวในโซน Support ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอาจมีการขึ้นต่อ)

โซนสำคัญ: Resistance turn to Support

แผน LONG: พิจารณาเปิดสถานะ Long หากราคาปรับตัวลงมาทดสอบและมีการกลับตัวในบริเวณ Support

Stop Loss (SL): ต่ำกว่าจุด SL ในภาพ

เงื่อนไขเปลี่ยนมุมมอง: ราคาทะลุผ่านและปิดต่ำกว่าจุด SL ในภาพได้อย่างชัดเจน
#9
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / ต่อ: Forex Signal
กระทู้ล่าสุด โดย narjant - ธันวาคม 12, 2025, 12:30:28 ก่อนเที่ยง
Sell XAUUSD 4280
รึบน 4288
Limit 4290
Sl 4265
#10
วิเคราะห์กราฟ Forex ประจำวัน / Forex Signal
กระทู้ล่าสุด โดย narjant - ธันวาคม 12, 2025, 12:29:12 ก่อนเที่ยง